ผบก.โคราช เผยคดีฆ่าลูก ส.ส.อุทัย คืบหน้ามาก แย้มพบหลักฐานเด็ดเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี พร้อมส่งรอง ผบก.นำชุดสอบสวนลุยสอบปากคำลูกน้อง “ส.ส.ชาดา”ที่อุทัยธานีวันนี้ ขู่ห้ามนำพยานเท็จมาให้ปากคำชี้ผิด กม. ยันมีภาพถ่ายผู้อยู่ในรถคันเกิดเหตุทุกคนและต้องนำปืนมามอบ ตร.ด้วย ระบุระดม ตร.โคราชทั้งจังหวัดพร้อมทุ่มเงินส่วนตัวควานหาตัวคนร้าย ลั่นไม่เชื่อมีการวางแผนฆ่าด้วยมืออาชีพและไม่เอี่ยวกลุ่ม“อดีตทหารพราน”ค่ายปักธงชัย แน่
วานนี้ (26 ส.ค.) พล.ต.ต.องอาจ ผิวเรืองนนท์ ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา เปิดเผยถึงความคืบหน้าคดียิงนายฟารุต ไทยเศรษฐ์ ลูกชายนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) เสียชีวิตคารถยนต์ บริเวณถนนสายเขาใหญ่-วังน้ำเขียว ท้องที่ สภ.หมูสี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เมื่อคืนวันที่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า ขณะนี้ได้ระดมตำรวจโคราชทั้งจังหวัดเข้ามาช่วยกันสืบสวนนี้อย่างหนักโดยให้เอกซเรย์ตรวจสอบทุกจุดอย่างละเอียด และตนได้กำชับเจ้าหน้าที่ทุกนายทุกจุดให้เพิ่มความละเอียดการตรวจสอบยานพาหนะเพิ่มขึ้นอีกเพื่อไม่ให้หลุดรอดไปได้ ซึ่งการทำงานของตำรวจที่ผ่านมามีความคืบหน้าไปมาก และมีหลักฐานบางอย่างที่มีประโยชน์ต่อรูปคดีอย่างมากโดยเฉพาะรถยนต์ของคนร้าย แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ขอให้ตำรวจทำงานกันอีกสักระยะ
"ขอยืนยันว่าตำรวจโคราชไม่ได้นิ่งนอนใจต่อการติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดี ทุกคนทำงานอย่างหนัก ซึ่งผมในฐานะผู้บังคับบัญชาได้ทุ่มเททั้งทรัพย์สินส่วนตัว ในการให้รางวัลนำจับ 100,000 บาทสำหรับผู้ที่แจ้งเบาะแสนำไปสู่การจับกุมคนร้ายได้ และยังควักเงินส่วนตัวให้กับลูกน้องที่ลงพื้นที่ทำงานอีกด้วย เพราะทุกอย่างต้องมีค่าใช้จ่ายทั้งหมด แต่เพื่อให้งานเดินหน้าเราต้องทุ่มเทและดูแลลูกน้องให้ทำงานได้สะดวกอย่าให้ติดขัด"
พล.ต.ต.องอาจ กล่าวต่อว่า ข้อมูลสำคัญที่จะช่วยให้ตำรวจทำงานได้แคบลงคือ ข้อมูลจากพยานที่อยู่ในรถยนต์ของผู้ตายในวันเกิดเหตุ เพราะจะชี้เป้าหมายรถยนต์คันก่อเหตุได้อย่างละเอียด ซึ่งได้มีการนัดหมายกับนายชาดา พ่อของผู้ตายให้นำพยานทั้งหมดเข้าให้ปากคำตำรวจในวันนี้ (27 ส.ค.) เวลา 10.00 น.ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุทัยธานี โดยตนได้ส่ง พ.ต.อ.บุญส่ง อัตวรอนันต์ รอง ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา เป็นหัวหน้าชุดในการนำทีมชุดสอบสวนไปสอบปากคำพยาน ซึ่งในวันนี้ทางกลุ่มลูกน้องของนายชาดา จะต้องนำอาวุธปืนในวันเกิดเหตุมาด้วยเพราะมีการยิงต่อสู้กันและจะต้องนำพยานตัวจริงมาให้ปากคำ เนื่องจากทางตำรวจเรามีภาพถ่ายใบหน้าและลักษณะของผู้ที่อยู่ในรถยนต์คันที่นายฟารุต ผู้ตายขับทั้งหมดทุกคน หากนำพยานเท็จมาให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะต้องมีความผิดตามกฎหมายแน่นอน
"อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า หลังจากวันนี้ (27) ที่พนักงานสอบสวนได้ข้อมูลจากกลุ่มผู้เสียหายแล้วเราจะทำงานกันง่ายขึ้น และคดีจะมีความกระจ่างมากขึ้น"
เมื่อถามถึงกรณีมีคนโทรศัพท์เข้ามาแจ้งเบาะแสข้อมูลผ่าน 191 ระบุว่าพบเห็นมีการวางแผนฆ่านายชาดา และมีอดีตทหารพรานค่ายปักธงชัย จ.นครราชสีมา เข้ามาเกี่ยวข้องนั้นได้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างไร พล.ต.ต.องอาจ กล่าวว่า เรื่องนี้ตนไม่ทราบข้อมูลเพียงแต่เห็นข่าวทางสื่อมวลชนเท่านั้น แต่ส่วนตัวคิดว่าไม่น่าจะเกี่ยวโยงไปไกลขนาดนั้น เพราะหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ระบุชัดเจนว่า อาวุธปืนที่คนร้ายยิงใส่รถยนต์ผู้ตายเป็นขนาด 9 มม.และถูกรถยนต์แค่เพียง 2 นัดเท่านั้น หากเป็นมืออาชีพจริงและมีการวางแผนมาคงไม่ใช้อาวุธปืนสั้นแค่นี้แน่ เพราะมีเป้าหมายใหญ่อย่างน้อยต้องเป็นอาวุธร้ายแรง และคงไม่ยิงใส่น้อยนักขนาดนี้ด้วย
ฉะนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงให้น้ำหนักไปที่เรื่องความขัดแย้งจากเหตุเฉพาะหน้า เรื่องการสาดไฟใส่กัน ซึ่งมีความเป็นไปได้มากที่สุด และคนร้ายอาจมีแค่ 1 คนด้วยซ้ำ เพราะวิถีการยิงกระสุนถูกยิงมาจากคนขับรถ เพราะมีรอยกระสุนเข้าที่ด้านซ้ายของรถผู้ตายในขณะกำลังขับรถตีคู่กันมา และถ้ามีคนร้ายอีกคนที่นั่งคู่คนขับเป็นคนยิงออกมาโดยผ่านหน้าคนขับรถนั้น คิดว่าคงเป็นไปไม่ได้แน่นอน อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะให้ความกระจ่างได้มากที่สุด คือ พยานในรถยนต์ของนายฟารุต ในขณะเกิดเหตุ
ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าผู้ที่อยู่ในรถยนต์กับนายฟารุต ในวันเกิดเหตุเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาคอยคุ้มกันนั้นเป็นไปได้หรือไม่ พล.ต.ต.องอาจ กล่าวว่า ยังไม่ทราบข้อเท็จจริง เพราะมีความเป็นไปได้ทั้งนั้น แต่หากเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจริงก็จะต้องตรวจสอบกันว่ามาได้อย่างไร ผู้บังคับบัญชาทราบหรือไม่ และมาในฐานะอะไร ซึ่งต้องมีความผิดทางวินัยแน่นอน และหากนายชาดา มีการขอกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปคุ้มครองก่อนหน้านี้ก็ทำได้ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ออกมานอกพื้นที่และอยู่นอกเหนือเวลาราชการได้แจ้งผู้บังคับบัญชาให้ทราบหรือไม่ และดำเนินการตามขั้นตอนหรือไม่ เรื่องนี้จะต้องตรวจสอบ แต่ที่แน่ๆ คือ มีความผิดทางวินัยอยู่แล้ว
"มาถึงวันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังเชื่อว่าคนร้ายที่ลงมือยิงต่อสู้กับฝ่ายของนายฟารุต เป็นคนในพื้นที่กว่า 80% และมีแค่ 20% ที่อาจเป็นคนนอกพื้นที่และอาจได้รับบาดเจ็บด้วยซ้ำ เพราะหัวกระสุนของฝ่ายที่นายฟารุต ยิงต่อสู้ออกไปไม่มีพบว่าตกอยู่ในที่เกิดเหตุเลย ฉะนั้น คงต้องติดไปกับรถยนต์ของคนร้ายหรืออาจถูกตัวคนร้ายได้รับบาดเจ็บด้วยซ้ำ ซึ่งคิดว่าเขาคงซุ่มตัวรักษาแผลและรอดูท่าทีก่อน ส่วนรถยนต์คันเกิดเหตุอาจจอดซ่อนไว้ที่ใดที่หนึ่งหรืออาจขับไปทิ้งลงบ่อน้ำก็มีความเป็นไปได้ แต่การหลบหนีจะออกไปประเทศเพื่อนบ้านคิดว่าคงไม่ไปไกลขนาดนั้น ตอนนี้ต้องขอให้เวลาเจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานก่อน เชื่อว่าไม่เกินความสามารถของตำรวจโคราชแน่นอน" พล.ต.ต.องอาจ กล่าว
**พยาน 3 ปากพร้อมให้การตำรวจ
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่บ้านเลขที่ 24 ถนนมณีรัตน์ ต.อุทัยใหม่ อ.เมือง จ.อุทัยธานี ของนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี ในวันครบ 7 วัน ที่ลูกชายคนเดียว คือ นายฟารุต ไทยเศรษฐ์ ถูกมือปืนยิงเสียชีวิต ได้จัดให้มีพิธีทำบุญตามประเพณีศาสนาอิสลาม ในช่วงเช้า ส่วนช่วงบ่ายได้มีการระหมาด บรรยากาศทั่วไปมีญาติสนิทและเพื่อนสนิทของนายชาดา และเพื่อนลูกชายที่เสียชีวิต เดินทางไปแสดงความเสียใจ ตลอดจนให้กำลังใจแก่นายชาดา และครอบครัว อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ พยานจำนวน 3 คนที่อยู่ในเหตุการณ์ขณะที่นายฟารุต ถูกยิงเสียชีวิต ได้เดินทางไปมาอยู่ที่บ้านของนายชาดา แล้ว เพื่อเตรียมพร้อมให้การกับตำรวจที่จะเดินทางไปสอบปากคำพยานในวันนี้ (27 ส.ค.) โดยพยานทั้งหมดไม่ได้รับการเปิดเผยว่า เป็นใครบ้างและเก็บตัวเงียบอยู่ในบ้านโดยไม่ให้ใครที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไป รวมทั้งสื่อมวลชนด้วย.
วานนี้ (26 ส.ค.) พล.ต.ต.องอาจ ผิวเรืองนนท์ ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา เปิดเผยถึงความคืบหน้าคดียิงนายฟารุต ไทยเศรษฐ์ ลูกชายนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) เสียชีวิตคารถยนต์ บริเวณถนนสายเขาใหญ่-วังน้ำเขียว ท้องที่ สภ.หมูสี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เมื่อคืนวันที่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า ขณะนี้ได้ระดมตำรวจโคราชทั้งจังหวัดเข้ามาช่วยกันสืบสวนนี้อย่างหนักโดยให้เอกซเรย์ตรวจสอบทุกจุดอย่างละเอียด และตนได้กำชับเจ้าหน้าที่ทุกนายทุกจุดให้เพิ่มความละเอียดการตรวจสอบยานพาหนะเพิ่มขึ้นอีกเพื่อไม่ให้หลุดรอดไปได้ ซึ่งการทำงานของตำรวจที่ผ่านมามีความคืบหน้าไปมาก และมีหลักฐานบางอย่างที่มีประโยชน์ต่อรูปคดีอย่างมากโดยเฉพาะรถยนต์ของคนร้าย แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ขอให้ตำรวจทำงานกันอีกสักระยะ
"ขอยืนยันว่าตำรวจโคราชไม่ได้นิ่งนอนใจต่อการติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดี ทุกคนทำงานอย่างหนัก ซึ่งผมในฐานะผู้บังคับบัญชาได้ทุ่มเททั้งทรัพย์สินส่วนตัว ในการให้รางวัลนำจับ 100,000 บาทสำหรับผู้ที่แจ้งเบาะแสนำไปสู่การจับกุมคนร้ายได้ และยังควักเงินส่วนตัวให้กับลูกน้องที่ลงพื้นที่ทำงานอีกด้วย เพราะทุกอย่างต้องมีค่าใช้จ่ายทั้งหมด แต่เพื่อให้งานเดินหน้าเราต้องทุ่มเทและดูแลลูกน้องให้ทำงานได้สะดวกอย่าให้ติดขัด"
พล.ต.ต.องอาจ กล่าวต่อว่า ข้อมูลสำคัญที่จะช่วยให้ตำรวจทำงานได้แคบลงคือ ข้อมูลจากพยานที่อยู่ในรถยนต์ของผู้ตายในวันเกิดเหตุ เพราะจะชี้เป้าหมายรถยนต์คันก่อเหตุได้อย่างละเอียด ซึ่งได้มีการนัดหมายกับนายชาดา พ่อของผู้ตายให้นำพยานทั้งหมดเข้าให้ปากคำตำรวจในวันนี้ (27 ส.ค.) เวลา 10.00 น.ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุทัยธานี โดยตนได้ส่ง พ.ต.อ.บุญส่ง อัตวรอนันต์ รอง ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา เป็นหัวหน้าชุดในการนำทีมชุดสอบสวนไปสอบปากคำพยาน ซึ่งในวันนี้ทางกลุ่มลูกน้องของนายชาดา จะต้องนำอาวุธปืนในวันเกิดเหตุมาด้วยเพราะมีการยิงต่อสู้กันและจะต้องนำพยานตัวจริงมาให้ปากคำ เนื่องจากทางตำรวจเรามีภาพถ่ายใบหน้าและลักษณะของผู้ที่อยู่ในรถยนต์คันที่นายฟารุต ผู้ตายขับทั้งหมดทุกคน หากนำพยานเท็จมาให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะต้องมีความผิดตามกฎหมายแน่นอน
"อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า หลังจากวันนี้ (27) ที่พนักงานสอบสวนได้ข้อมูลจากกลุ่มผู้เสียหายแล้วเราจะทำงานกันง่ายขึ้น และคดีจะมีความกระจ่างมากขึ้น"
เมื่อถามถึงกรณีมีคนโทรศัพท์เข้ามาแจ้งเบาะแสข้อมูลผ่าน 191 ระบุว่าพบเห็นมีการวางแผนฆ่านายชาดา และมีอดีตทหารพรานค่ายปักธงชัย จ.นครราชสีมา เข้ามาเกี่ยวข้องนั้นได้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างไร พล.ต.ต.องอาจ กล่าวว่า เรื่องนี้ตนไม่ทราบข้อมูลเพียงแต่เห็นข่าวทางสื่อมวลชนเท่านั้น แต่ส่วนตัวคิดว่าไม่น่าจะเกี่ยวโยงไปไกลขนาดนั้น เพราะหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ระบุชัดเจนว่า อาวุธปืนที่คนร้ายยิงใส่รถยนต์ผู้ตายเป็นขนาด 9 มม.และถูกรถยนต์แค่เพียง 2 นัดเท่านั้น หากเป็นมืออาชีพจริงและมีการวางแผนมาคงไม่ใช้อาวุธปืนสั้นแค่นี้แน่ เพราะมีเป้าหมายใหญ่อย่างน้อยต้องเป็นอาวุธร้ายแรง และคงไม่ยิงใส่น้อยนักขนาดนี้ด้วย
ฉะนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงให้น้ำหนักไปที่เรื่องความขัดแย้งจากเหตุเฉพาะหน้า เรื่องการสาดไฟใส่กัน ซึ่งมีความเป็นไปได้มากที่สุด และคนร้ายอาจมีแค่ 1 คนด้วยซ้ำ เพราะวิถีการยิงกระสุนถูกยิงมาจากคนขับรถ เพราะมีรอยกระสุนเข้าที่ด้านซ้ายของรถผู้ตายในขณะกำลังขับรถตีคู่กันมา และถ้ามีคนร้ายอีกคนที่นั่งคู่คนขับเป็นคนยิงออกมาโดยผ่านหน้าคนขับรถนั้น คิดว่าคงเป็นไปไม่ได้แน่นอน อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะให้ความกระจ่างได้มากที่สุด คือ พยานในรถยนต์ของนายฟารุต ในขณะเกิดเหตุ
ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าผู้ที่อยู่ในรถยนต์กับนายฟารุต ในวันเกิดเหตุเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาคอยคุ้มกันนั้นเป็นไปได้หรือไม่ พล.ต.ต.องอาจ กล่าวว่า ยังไม่ทราบข้อเท็จจริง เพราะมีความเป็นไปได้ทั้งนั้น แต่หากเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจริงก็จะต้องตรวจสอบกันว่ามาได้อย่างไร ผู้บังคับบัญชาทราบหรือไม่ และมาในฐานะอะไร ซึ่งต้องมีความผิดทางวินัยแน่นอน และหากนายชาดา มีการขอกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปคุ้มครองก่อนหน้านี้ก็ทำได้ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ออกมานอกพื้นที่และอยู่นอกเหนือเวลาราชการได้แจ้งผู้บังคับบัญชาให้ทราบหรือไม่ และดำเนินการตามขั้นตอนหรือไม่ เรื่องนี้จะต้องตรวจสอบ แต่ที่แน่ๆ คือ มีความผิดทางวินัยอยู่แล้ว
"มาถึงวันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังเชื่อว่าคนร้ายที่ลงมือยิงต่อสู้กับฝ่ายของนายฟารุต เป็นคนในพื้นที่กว่า 80% และมีแค่ 20% ที่อาจเป็นคนนอกพื้นที่และอาจได้รับบาดเจ็บด้วยซ้ำ เพราะหัวกระสุนของฝ่ายที่นายฟารุต ยิงต่อสู้ออกไปไม่มีพบว่าตกอยู่ในที่เกิดเหตุเลย ฉะนั้น คงต้องติดไปกับรถยนต์ของคนร้ายหรืออาจถูกตัวคนร้ายได้รับบาดเจ็บด้วยซ้ำ ซึ่งคิดว่าเขาคงซุ่มตัวรักษาแผลและรอดูท่าทีก่อน ส่วนรถยนต์คันเกิดเหตุอาจจอดซ่อนไว้ที่ใดที่หนึ่งหรืออาจขับไปทิ้งลงบ่อน้ำก็มีความเป็นไปได้ แต่การหลบหนีจะออกไปประเทศเพื่อนบ้านคิดว่าคงไม่ไปไกลขนาดนั้น ตอนนี้ต้องขอให้เวลาเจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานก่อน เชื่อว่าไม่เกินความสามารถของตำรวจโคราชแน่นอน" พล.ต.ต.องอาจ กล่าว
**พยาน 3 ปากพร้อมให้การตำรวจ
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่บ้านเลขที่ 24 ถนนมณีรัตน์ ต.อุทัยใหม่ อ.เมือง จ.อุทัยธานี ของนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี ในวันครบ 7 วัน ที่ลูกชายคนเดียว คือ นายฟารุต ไทยเศรษฐ์ ถูกมือปืนยิงเสียชีวิต ได้จัดให้มีพิธีทำบุญตามประเพณีศาสนาอิสลาม ในช่วงเช้า ส่วนช่วงบ่ายได้มีการระหมาด บรรยากาศทั่วไปมีญาติสนิทและเพื่อนสนิทของนายชาดา และเพื่อนลูกชายที่เสียชีวิต เดินทางไปแสดงความเสียใจ ตลอดจนให้กำลังใจแก่นายชาดา และครอบครัว อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ พยานจำนวน 3 คนที่อยู่ในเหตุการณ์ขณะที่นายฟารุต ถูกยิงเสียชีวิต ได้เดินทางไปมาอยู่ที่บ้านของนายชาดา แล้ว เพื่อเตรียมพร้อมให้การกับตำรวจที่จะเดินทางไปสอบปากคำพยานในวันนี้ (27 ส.ค.) โดยพยานทั้งหมดไม่ได้รับการเปิดเผยว่า เป็นใครบ้างและเก็บตัวเงียบอยู่ในบ้านโดยไม่ให้ใครที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไป รวมทั้งสื่อมวลชนด้วย.
