นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงความคืบหน้า เรื่องแก้ปัญหาราคายางพาราตกต่ำ ว่า เมื่อวันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมา ได้จัดการประชุมสภาความร่วมมือด้านยางพาราระหว่างประเทศ (IPRC) โดยเป็นการประชุมร่วมกัน ระหว่างผู้ผลิตยางพารารายใหญ่ คือ ไทย มาเลเซีย และ อินโดนีเซีย ซึ่งผลสรุปก็ได้เกิดความร่วมมือกันว่า จะลดปริมาณการส่งออกยางพาราจำนวน 3 แสนตัน โดยมีกติกาว่า ให้ลดจำนวนปริมาณการส่งออกตามสัดส่วนพื้นที่เพาะปลูกของแต่ละประเทศ ซึ่งประเทศไทยก็จะเป็นผู้ที่ลดปริมาณการส่งออกเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือ ประเทศอินโดนีเซีย และประเทศมาเลเซีย ตามลำดับ
นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า จากมาตรการดังกล่าว จะมีการรณรงค์ให้มีการเร่งโคนต้นยางพารา ที่มีอายุแก่จำนวน 1 แสนไร่ หรือเทียบเป็นปริมาณยางพารา 1.5 แสนตัน ดังนั้นยางพาราจะหายไปจากตลาดโลก อย่างน้อย 4.5 แสนตัน
ล่าสุดได้สั่งให้อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เชิญสมาคมผู้ค้ายาง ผู้ประกอบการ ผู้ส่งออก และนักวิชาการที่เกี่ยวข้องรับทราบมาตราปรับปริมาณการส่งออกว่า แต่ละบริษัทอาจจะได้โควต้ายางไม่เท่ากับปริมาณการส่งออกเดิม ทั้งนี้ก็จะรับฟังความคิดเห็นของผู้ประกอบการด้วย ในกรณีทีได้ทำสัญญาการส่งยางกับต่างประเทศไว้ด้วย หลังจากที่เริ่มมาตรการนี้ จะติดตามประเมินผลเป็นระยะ
อย่างไรก็ตาม การประชุม IPRC จะมี อีกครั้งต้นเดือนกันยายน เพื่อประเมินสถานการณ์และราคา ซึ่งถ้าหากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น ก็จะมี มาตราการที่เข้มข้นกว่าเดิม
เมื่อถามว่า มาตรการนี้จะส่งผลให้ราคายางปรับตัวสูงขึ้นหรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ยังไม่มีการคาดคะเนตัวเลข ต้องรอดูสถานการณ์จริงอีกครั้ง แต่เชื่อมั่นว่าราคายางจะขยับตัวสูงขึ้นแน่
เมื่อถามว่าจะมีการนำยางจากโครงการพยุงราคายางฯ ที่ครม.ได้อนุมัติจำนวน 1.5 หมื่นล้านบาท ส่งออกด้วยหรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ไม่มีนโยบายส่งออกยางพาราชุดนี้
อย่างไรก็ตามในส่วนการสนับสนุนให้ชาวเกษตรโคนต้นยางพาราที่มีอายุมาก ทางกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางมีเงินชดเชยให้ไร่ละ 16,000 บาท เชื่อว่าเกษตรกรจะเข้าใจ และได้รับประโยชน์จากมาตรการดังกล่าว เพราะเป็นมาตรการที่เคยใช้ในสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นรัฐบาล และได้ผลมาแล้ว
นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า จากมาตรการดังกล่าว จะมีการรณรงค์ให้มีการเร่งโคนต้นยางพารา ที่มีอายุแก่จำนวน 1 แสนไร่ หรือเทียบเป็นปริมาณยางพารา 1.5 แสนตัน ดังนั้นยางพาราจะหายไปจากตลาดโลก อย่างน้อย 4.5 แสนตัน
ล่าสุดได้สั่งให้อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เชิญสมาคมผู้ค้ายาง ผู้ประกอบการ ผู้ส่งออก และนักวิชาการที่เกี่ยวข้องรับทราบมาตราปรับปริมาณการส่งออกว่า แต่ละบริษัทอาจจะได้โควต้ายางไม่เท่ากับปริมาณการส่งออกเดิม ทั้งนี้ก็จะรับฟังความคิดเห็นของผู้ประกอบการด้วย ในกรณีทีได้ทำสัญญาการส่งยางกับต่างประเทศไว้ด้วย หลังจากที่เริ่มมาตรการนี้ จะติดตามประเมินผลเป็นระยะ
อย่างไรก็ตาม การประชุม IPRC จะมี อีกครั้งต้นเดือนกันยายน เพื่อประเมินสถานการณ์และราคา ซึ่งถ้าหากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น ก็จะมี มาตราการที่เข้มข้นกว่าเดิม
เมื่อถามว่า มาตรการนี้จะส่งผลให้ราคายางปรับตัวสูงขึ้นหรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ยังไม่มีการคาดคะเนตัวเลข ต้องรอดูสถานการณ์จริงอีกครั้ง แต่เชื่อมั่นว่าราคายางจะขยับตัวสูงขึ้นแน่
เมื่อถามว่าจะมีการนำยางจากโครงการพยุงราคายางฯ ที่ครม.ได้อนุมัติจำนวน 1.5 หมื่นล้านบาท ส่งออกด้วยหรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ไม่มีนโยบายส่งออกยางพาราชุดนี้
อย่างไรก็ตามในส่วนการสนับสนุนให้ชาวเกษตรโคนต้นยางพาราที่มีอายุมาก ทางกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางมีเงินชดเชยให้ไร่ละ 16,000 บาท เชื่อว่าเกษตรกรจะเข้าใจ และได้รับประโยชน์จากมาตรการดังกล่าว เพราะเป็นมาตรการที่เคยใช้ในสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นรัฐบาล และได้ผลมาแล้ว
