xs
xsm
sm
md
lg

ทักษิณขายตัวขายชาติให้สหรัฐฯ

เผยแพร่:   โดย: ว.ร. ฤทธาคนี

การที่สหรัฐอเมริกายอมรับทักษิณให้เข้าประเทศได้ ทั้งๆ ที่ทางการสหรัฐฯ รู้อยู่แก่ใจว่าทักษิณเป็นบุคคลที่ถูกตัดสินโดยกระบวนการยุติธรรมของไทย ให้ต้องโทษจำคุก 2 ปี ฐานใช้อำนาจหน้าที่ทุจริต แต่ทางการสหรัฐฯ กลับละเมิดพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่ทั้งสองประเทศได้ลงนามร่วมกันไว้ ซึ่งประกาศใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 รวมทั้งทั้งสองประเทศได้ลงนามร่วมกันในสนธิสัญญาว่าด้วยการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในทางอาญาอีกด้วย นี่แหละรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เห็นผลประโยชน์ส่วนตนเป็นใหญ่จนม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชเรียกคนอเมริกันว่า “อักรี่อเมริกัน” หรือ “ อเมริกันที่น่าเกลียด”

ประเทศไทยให้ความเคารพกับกฎหมายฉบับนี้ และสนธิสัญญาฉบับนี้อย่างจริงใจ ด้วยให้ความสำคัญกับตัวบทกฎหมายนี้และให้ความร่วมมือตามพันธะผูกพันเป็นอย่างดีตลอดมา เช่น กรณีเมื่อทางการไทยจับกุมนายฮัมบาลี อาชญากรก่อการร้ายที่อยู่ในบัญชีดำผู้ก่อการร้ายข้ามชาติระดับต้นๆ ได้แล้วส่งตัวให้ทางการสหรัฐฯ ทันที หรือการส่งนายวิกเตอร์ บูท พ่อค้าอาวุธข้ามชาติให้ทางการสหรัฐฯ ทั้งๆ ที่รัฐบาลรัสเซียก็ขอตัวกลับรัสเซีย รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ก็ยึกยักพอประมาณ

ในทางกลับกันนั้นสหรัฐฯ ก็เคยส่งนายกมล ศิริปรีชาพงษ์ หรือ ป.เป็ด อดีต ส.ส.นครพนม กลับมาประเทศไทยเพื่อดำเนินคดีค้ายาเสพติด แต่เป็นผลประโยชน์ร่วมสหรัฐฯ จึงไม่รอช้าส่งกลับทันทีเพราะป.เป็ดไม่ได้ค้าขายยาในสหรัฐฯ

แต่กรณีทักษิณอดีตผู้นำประเทศ และปัจจุบันมีน้องสาวเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ได้รับการละเว้นเลือกปฏิบัติ ทั้งๆ ที่ทางการสหรัฐฯ รู้ดีว่าทักษิณเป็นนักโทษคดีทุจริตในหน้าที่ที่ศาลอาญาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ตัดสินลงโทษเป็นที่สุดแล้ว ให้จำคุกทักษิณเป็นเวลา 2 ปี ไม่รอลงอาญา

หากสหรัฐฯ เคารพในกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน และยึดถือสนธิสัญญาให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในทางอาญาแล้ว จะต้องจับกุมทักษิณและจัดการส่งทักษิณกลับมาประเทศไทยเพื่อมารับโทษ

ทางการสหรัฐฯ ต้องรับผิดชอบในการที่อนุญาตให้ทักษิณนักโทษคดีอาญาไม่ใช่เรื่องการเมืองเข้าประเทศ หรือไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ตาม เพราะขณะนี้ความสัมพันธ์อันดีระหว่างทางการสหรัฐฯ กับสังคมไทยกำลังเกิดความเย็นชา และจะมีผลในระยะยาว ในอนาคตหากสหรัฐฯ จะต้องการความช่วยเหลือจากสังคมไทยแล้วอาจจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากสังคมไทยภายใต้เงื่อนไขหลักประชาธิปไตยที่สหรัฐฯ นับถือหนักหนา หรือวันนี้สหรัฐฯ กำลังเล่นเกมการเมืองแก้แค้นสังคมไทย ที่ต่อต้านการไม่ให้สหรัฐฯ ใช้อู่ตะเภาโดยองค์การนาซ่าให้เป็นฐานปฏิบัติการวิจัยภูมิอากาศในชั้นบรรยากาศต่างๆ เพื่อบรรเทาภัยอันตรายทางธรรมชาติอันเป็นเรื่องโกหกมดเท็จเพราะต้องการใช้เป็นฐานทัพทางทหาร

การเข้าสหรัฐฯ ของทักษิณนั้น นายนพดล ปัทมะ ทนายหน้าหอคนสำคัญของทักษิณได้แถลงออกมาว่า “ทักษิณได้รับเชิญจากคณะกรรมการร่วมมือด้านความมั่นคงในภูมิภาคยุโรป หรือ Commission on Security and Cooperation in Europe-CSCE” ซึ่งกำลังวิเคราะห์เหตุการณ์รัฐบาลไทยสลายฝูงชนเสื้อแดงที่ราชประสงค์เมื่อปี พ.ศ. 2553

CSCE หรืออีกชื่อหนึ่งเรียกว่าคณะกรรมการเฮลซิงกิ เป็นองค์กรอิสระในรัฐบาลสหรัฐฯ ได้รับการสถาปนาขึ้นในปี ค.ศ. 1976 เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์การใช้กำลังทหารหรือตำรวจในการควบคุมหรือสลายฝูงชนของรัฐบาลต่างชาติ

องค์กรนี้ประกอบด้วยสมาชิกรวมทั้งหมด 21 คน ประกอบด้วยผู้แทน 9 คนจากวุฒิสภาสหรัฐฯ 9 คนจากสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ และผู้แทนจากกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม และกระทรวงพาณิชย์ รวมอีก 3 คน

นายนพดล กล่าวว่า “คณะกรรมการชุดนี้ให้ความสำคัญและเฝ้าดูพฤติกรรมของสังคมและฝ่ายรัฐที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ในฐานะที่ประเทศไทยก็มีองค์กรเช่นนี้อยู่ด้วย และทั้งสององค์กรได้ให้ความร่วมมือกันมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2543 และคณะกรรมการชุดนี้ต้องการให้ทักษิณไปให้การเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยโดยเฉพาะในห้วงเดือนพฤษภามหาโหด 2553”

ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า เหตุใดคณะกรรมการ CSCE ของสหรัฐฯ ซึ่งมีนักการเมืองทั้งสองสภาสหรัฐฯ รวม 18 คน จึงได้จงใจเชิญทักษิณไปให้การ ทั้งๆ ที่ทักษิณก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ เพียงแต่สั่งการจากนอกประเทศ แต่เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยตัวจริง ทั้งยังเป็นเจ้าของยุทธศาสตร์แก้วสามประการ คือ พรรคการเมือง มวลชน และกองกำลังติดอาวุธ

ทำไมทางการสหรัฐฯ ไม่เชิญนักวิชาการ อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยหลายท่านที่รู้จักสหรัฐฯ ดี หรือองค์กรอิสระของไทยที่หน่วยงานข่าวกรองสหรัฐฯ สามารถเจาะจงเลือกใครก็ได้ไปให้การที่รัฐสภา หรือที่ทำการองค์กร CSCE ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.ซึ่งบุคคลเหล่านี้จะสร้างความกระจ่างได้ดีกว่าทักษิณซึ่งมีแต่การให้การฝ่ายเดียวจึงดูเหมือนว่าการเชิญครั้งนี้มีวาระอะไรซ่อนเร้น เพราะแท้จริงแล้วก็คงไม่ใช่เรื่องสิทธิมนุษยชนในไทย แต่เป็นเรื่องเก่าเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว คือ การขอใช้สนามบินอู่ตะเภาของสหรัฐฯ เพื่อการกดดันจีน เพื่อรักษาผลประโยชน์พลังงานในอ่าวไทย และเพื่อการขยายเขตอิทธิพลและอำนาจในการควบคุมเส้นทางเดินเรือในเขตทะเลจีนใต้ ช่องแคบมะละกา และสุมาตรา

สงครามเย็นยุคที่ 2 ได้เข้มข้นมาแล้วตั้งแต่การประชุมเอเปกที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพเมื่อปี ค.ศ. 2003 เกือบ 10 ปีมาแล้ว โดยรัฐบาลสหรัฐฯ พยายามกดดันให้จีนเพิ่มค่าเงินหยวน แต่จีนไม่ปฏิบัติตาม ทำให้ได้เปรียบทางการค้ากับสหรัฐฯ ทำให้ร่ำรวยขึ้นอย่างรวดเร็ว จนปัจจุบันจีนสามารถไปอวกาศได้ มีเรือบรรทุกเครื่องบิน สามารถสร้างเครื่องบินขับไล่ประเภทล่องหนได้ และมีขีปนาวุธยิงดาวเทียมในอวกาศได้อย่างแม่นยำ จนสหรัฐฯ ออกมาประท้วงว่าจีนสะสมอาวุธร้ายแรง

ในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดวิวาทะระหว่างทางการสหรัฐฯ กับทางการจีนอย่างเข้มข้นเกี่ยวกับอำนาจอิทธิพลของทั้งสองประเทศเหนือทะเลจีนใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐฯ ได้เสริมกำลังจนผิดสังเกตในบริเวณทะเลจีนใต้โดยเฉพาะเพิ่มกองเรือ ขณะที่ทางการสหรัฐฯ แถลงว่าการเสริมกำลังทางทหารของสหรัฐฯ นั้น เป็นการเสริมสร้างกลไกทางการทูตเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ในภูมิภาคให้มีความเสถียร และด้วยวลีประโยคนี้ทางการจีนได้เชิญนายโรเบิร์ต แวง หัวหน้าคณะทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศจีน ไปชี้แจงถึงความหมายนี้ ซึ่งทางการจีนถือว่าเป็นสัญญาณที่ไม่ดี และส่อให้เห็นว่าสหรัฐฯ กำลังกดดันจีนด้วยกำลังทหาร

จีนอ้างสิทธิอำนาจอธิปไตยเหนือหมู่เกาะหลายแห่งในทะเลจีนใต้ และทับซ้อนกับการอ้างสิทธิของเวียดนาม ไต้หวัน มาเลเซีย บรูไน และฟิลิปปินส์ รวมทั้งจีนได้สถาปนาค่ายทหาร และสร้างหน่วยงานในการบริหารจัดการกับหมู่เกาะหลายแห่ง ที่ยังเป็นปัญหากันกับประเทศที่ได้กล่าวมาแล้วโดยไม่สนใจการคัดค้าน

สหรัฐฯ มองว่าหมู่เกาะในบริเวณทะเลจีนใต้นั้นเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางทะเล เพราะสามารถควบคุมเส้นทางเดินเรือได้ และถ้าจีนได้หมู่เกาะเหล่านี้อย่างสมบูรณ์แบบ ก็จะทำให้จีนได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์นาวี ซึ่งเป็นภัยคุกคามสหรัฐฯ โดยตรงดังนั้น อู่ตะเภาก็จะยังคงเป็นฐานทัพเรือและฐานทัพอากาศ ที่สหรัฐฯ ต้องการเป็นอย่างมาก และในการใช้นาซ่าบังหน้าครั้งที่แล้วไม่ได้ผล จึงทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ จำเป็นต้องหาวิธีการใหม่เข้ามาใช้อู่ตะเภาให้ได้

ทักษิณจึงเป็นหมากตัวสำคัญของสหรัฐฯ ที่สหรัฐฯ จะต้องใช้ประโยชน์จากพลังเฉพาะตนของทักษิณ โดยเฉพาะหลักแก้วสามประการที่ทักษิณมีอยู่ในมือ และทักษิณสามารถใช้ได้อย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอาศัยยุทธวิธีหลักการประชาธิปไตยนำหน้า เช่น การใช้มวลชนของทักษิณสามารถเรียกร้องให้รัฐบาลหุ่นนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้อนรับหน่วยงานของสหรัฐฯ เข้ามาตั้งฐานปฏิบัติการที่อู่ตะเภา ซึ่งเมื่อ 3 เดือนที่แล้วก็มีนักวิชาการบางคนได้ออกมาสนับสนุนการเข้ามาของนาซ่าอยู่แล้ว

สหรัฐฯ ก็คงจะสัญญากับทักษิณได้ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ จะสนับสนุนการกลับเข้ามาในประเทศของทักษิณ สหรัฐฯ คงจะช่วยโฆษณาชวนเชื่อว่าทักษิณเป็นคนดีของสังคม

สื่อสหรัฐฯ มีอำนาจอิทธิพลอย่างมหาศาลในการสร้างขาวให้เป็นดำ และสร้างให้ดำเป็นขาว เช่น กรณีอดีตประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน และทางการสหรัฐฯประโคมข่าวเรื่องอาวุธร้ายแรงของอิรัก จนอดีตประธานาธิบดีบุช สามารถส่งกองทัพบุกโค่นรัฐบาลอดีตประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซนสำเร็จ และยึดบ่อน้ำมันในอิรักได้ทั้งหมด แต่กองทัพสหรัฐฯ ไม่พบอาวุธร้ายแรงอะไรเลย

ทักษิณกำลังจะขายตัวขายชาติให้กับสหรัฐฯ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการกลับเข้าประเทศของเขาอย่างผู้บริสุทธิ์ และในอนาคตคนไทยคงจะต้องออกมาต่อต้านการเข้ามาใช้สนามบินอู่ตะเภาของสหรัฐฯ อีกวาระหนึ่งอย่างแน่นอน ขณะนี้ปัญญาชนคนไทยต้องร่วมใจกันออกมาประท้วงสหรัฐฯ และกดดันตำรวจ อัยการ และ ป.ป.ช.ให้เร่งดำเนินการกับผู้เกี่ยวข้องในการเรียกร้องให้สหรัฐฯ ส่งผู้ร้ายข้ามแดนมาติดคุกเมืองไทยให้ได้
กำลังโหลดความคิดเห็น