เป็นโชคดีของกองทัพอากาศ ที่การรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ทำให้รอดพ้นจากการมีแม่ทัพอย่างพลอากาศเอก สุกำพล สุวรรณฑัต ซึ่งขณะนั้นเป็นเสนาธิการกองทัพอากาศ และเป็นตัวเก็งที่ในตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารอากาศ ต่อจาก พลอากาศเอกชลิต พุกผาสุข เพราะเป็นเพื่อนสนิท เตรียมทหารรุ่น 10 กับ นช. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในตอนนั้น
เป็นโชคร้ายของกระทรวงกลาโหม ในยุคนี้ ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมชื่อ พลอากาศเอกสุกำพล สุวรรณฑัต ซึ่งเอาตำแหน่งเสนาบดี และศักดิ์ศรี เกียรติภูมิของกระทรวงไปเป็นข้ารับใช้ผลประโยชน์ของนักการเมืองอย่างเต็มตัว
งานในหน้าที่รับผิดชอบ ด้านความมั่นคง การรักษาอธิปไตยของชาติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่เคยให้ความสำคัญ ยอมทำตามคำบัญชาของฝ่ายการเมืองสั่งถอนกำลังทหาร ออกจากพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา ตามความต้องการของฮุนเซ็น
สถานการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ในรอบเกือบ 2 เดือนที่ผ่านมา ทหาร ตำรวจ ประชาชน ถูกฆ่าตายทุกวัน ล่าสุดคือ กรณี คนร้ายนั่งรถกะบะ 3 คัน ไล่ ยิงทหาร ที่ขี่รถจักรยานยนต์ กลับจากการปฏิบัตหน้าที่ ตายคาที่ 4 ศพ ที่จังหวัดปัตตานี และมีคลิปวิดิโอ ภาพเหตุการณ์แพร่ไปทั่วอินเตอร์เน็ต เป็นเรื่องที่น่าเศร้าสลดเป็นยิ่งนัก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่เคยแสดงท่าทีว่า จะคลี่คลายสถานการณ์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน อย่างไร
แต่กลับเอาจริงเอาจัง กับเรื่องขี้หมูรา ขี้หมาแห้ง ที่จบไป เกือบ 20 ปีแล้ว และมีการพิสูจน์กันแล้วว่า เป็นเรื่องเท็จ คือข้อกล่าวหาว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หนีทหาร ซึ่ง ปปช. เคยชี้แล้วว่า ไม่มีมูล และผู้บัญชาการทหารบก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็บอกว่า เรื่องนี้ไม่มีมูล และจบไปแล้วตั้งแต่ปี 2542
การเปิดห้องประชุมกระทรวงกลาโหม เกณฑ์นายพลมานั่งเรียงแถวเป็นพระอันดับ ให้พลอากาศเอกสุกำพล แถลงข่าวว่า นายอภิสิทธิ์ หนีทหาร เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีเป้าหมายเพียงอย่างเดียวคือ เพื่อช่วยนายจตุพร พรหมพันธุ์ ในการต่อสู้คดีที่ถูกนายอภิสิทธิ์ ฟ้องต่อศาลในคดีหมิ่นประมาทว่า นายอภิสิทธิ์ หนีทหาร
หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า นายจตุพร พ้นสภาพ สส. เพราะไม่ได้ไปเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคมที่ผ่านมา เอกสิทธิ์ คุ้มครอง ในฐานะ สส.ของนายจตุพรก็หมดลง คดีหมิ่นประมาทหลายๆคดี ที่ค้างอยู่ในศาล ก็เดินหน้าทันที นายจตุพร ไม่สามารถใช้ความเป็น สส. ขอเลื่อนการพิจารณาคดีในระหว่างสมัยประชุมได้ จะอ้างเหตุผลอื่นๆ เช่น ป่วย หรือไปต่างประเทศ ก็อ้างได้เพียงหนึ่งหรือสองครั้งเท่านั้น เพราะศาลจะไม่อนุญาตให้เลื่อนการพิจารณาคดีได้บ่อยๆ ตามความต้องการของจำเลย ที่จะเตะถ่วงคดี
ถึงเวลาที่นายจตุพร ต้องรับผิดชอบ พิสูจน์คำพูดของตัวเองในศาล คดีหมิ่นประมาทที่นายอภิสิทธิ์ เป็นโจทก์ฟ้องนายจตุพร มีหลายคดี หนึ่งคดีที่จบไปแล้วคือ คดีที่กล่าวหาว่า นายอภิสิทธิ์ ตีตนเสมอเจ้า ซึ่งศาลพิพากษาจำคุกนายจตุพร 6 เดือน ปรับ 5 หมื่นบาท โทษจำให้รอลงอาญา 2 ปี
คดีที่กล่าวหาว่า นายอภิสิทธิ์ หนีทหาร สืบพยานเสร็จแล้ว ศาลนัดฟังคำพิพากษา วันที่ 27 กันยายนนี้
คดีหมิ่นประมาทแม้ โทษจะไม่สูง และศาลมีแนวโน้มที่จะรอลงอาญา หากเป็นการทำผิดครั้งแรก ทั้งจำเลยยังอุทธรณ์ ฎีกาได้ แต่ถ้าแพ้ทุกคดี หรือแพ้มากกว่าชนะ ก็จะยิ่งตอกย้ำภาพพจน์ นักปั้นน้ำเป็นตัว และเด็กเลี้ยงแกะให้เด่นชัดยิ่งขึ้น นายจตุพรจึงต้องหาตัวช่วย เพื่อให้พยานหลักฐานของตนมีน้ำหนัก รับฟังได้
ในมุมมอง ภายใต้วาทกรรม “อำมาตย์ -ไพร่” ตามจิตนาการของแกนนำ นปช. รวมทั้งนายจตุพรเอง พฤติกรรมของพลอากาศเอกสุกำพล ที่เอากระทรวงกลาโหมไปรับใช้นายจตุพรครั้งนี้ ต้องนับเป็นชัยชนะแบบหมดจดของฝ่ายไพร่ ที่มีต่ออำมาตย์ เพราะในประวัติศาสตร์ มีแต่อำมาตย์เท่านั้น ที่เป็นฝ่ายเกณฑ์แรงงานไพร่มารับใช้ แต่ครั้งนี้ พลอากาศเอกสุกำพล พลิกประวัติศาสตร์ ยอมศิโรราบ ให้ไพร่เกณฑ์ไปเป็นตัวช่วยสู้คดี
โดยชาติกำเนิด พลอากาศเอกสุกำพล แม้จะไม่ได้มีเชื้อเจ้า แต่ต้นตระกูล สุวรรณฑัต นั้น ก็มาจากขุนนาง หรืออำมาตย์ในราชสำนัก สมัย รัชกาลที่ 3 และเจ้าจอมมารดา ในรัชกาลที่ 4 ถ้าจะให้คำจำกัดความแบบที่นักวิชาการเสื้อแดงใช้กัน พลอากาศเอก สุกำพล มาจากตระกูล ผู้ดี หรือ “อีลิท”แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สืบเชื้อสายมาจากขุนนาง
เมื่อเรียนจบสาธิตจุฬา พลอากาศเอกสุกำพล เดินตามรอยบิดา ที่เป็นนายทหารอากาศ เข้าเรียนโรงเรียนเตรียมทหาร หลังจากนั้น เป็นนักเรียนโรงเรียนนายเรืออากาศ เพื่อที่จะเป็นเจ้าคนนายคน ในภายภาคหน้า
ในขณะที่นายจตุพร ซึ่งอุปโลกน์ตัวเองเป็นไพร่ เกิดมาก็จนแล้ว อาศัยอยู่กับ มหาระแบบ พี่ชายต่างมารดา ที่วัดบวรนิเวศ สมัยที่เรียนรามคำแหง ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากเพื่อนๆพี่ๆ มาลืมตาอ้าปาก พลิกชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ ก็ต่อเมื่อ ถูกเกณฑ์ไปทำสงครามโค่นอำมาตย์ ชีวิตเปลี่ยนไป ดีขึ้นจากเดิม ถึงขนาด กลับเป็นฝ่ายเกณฑ์อำมาตย์ใหญ่ ที่เป็นถึงเสนาบดีกระทรวงกลาโหม ให้มาสู้เพื่อตัวเองได้
อย่างนี้แล้ว จะไม่เรียกว่า เป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ของไพร่ ที่ทำให้อำมาตย์ต้องศิโรราบ ยอมตนเป็นข้ารับใช้ ได้อย่างไร
เป็นโชคร้ายของกระทรวงกลาโหม ในยุคนี้ ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมชื่อ พลอากาศเอกสุกำพล สุวรรณฑัต ซึ่งเอาตำแหน่งเสนาบดี และศักดิ์ศรี เกียรติภูมิของกระทรวงไปเป็นข้ารับใช้ผลประโยชน์ของนักการเมืองอย่างเต็มตัว
งานในหน้าที่รับผิดชอบ ด้านความมั่นคง การรักษาอธิปไตยของชาติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่เคยให้ความสำคัญ ยอมทำตามคำบัญชาของฝ่ายการเมืองสั่งถอนกำลังทหาร ออกจากพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา ตามความต้องการของฮุนเซ็น
สถานการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ในรอบเกือบ 2 เดือนที่ผ่านมา ทหาร ตำรวจ ประชาชน ถูกฆ่าตายทุกวัน ล่าสุดคือ กรณี คนร้ายนั่งรถกะบะ 3 คัน ไล่ ยิงทหาร ที่ขี่รถจักรยานยนต์ กลับจากการปฏิบัตหน้าที่ ตายคาที่ 4 ศพ ที่จังหวัดปัตตานี และมีคลิปวิดิโอ ภาพเหตุการณ์แพร่ไปทั่วอินเตอร์เน็ต เป็นเรื่องที่น่าเศร้าสลดเป็นยิ่งนัก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่เคยแสดงท่าทีว่า จะคลี่คลายสถานการณ์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน อย่างไร
แต่กลับเอาจริงเอาจัง กับเรื่องขี้หมูรา ขี้หมาแห้ง ที่จบไป เกือบ 20 ปีแล้ว และมีการพิสูจน์กันแล้วว่า เป็นเรื่องเท็จ คือข้อกล่าวหาว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หนีทหาร ซึ่ง ปปช. เคยชี้แล้วว่า ไม่มีมูล และผู้บัญชาการทหารบก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็บอกว่า เรื่องนี้ไม่มีมูล และจบไปแล้วตั้งแต่ปี 2542
การเปิดห้องประชุมกระทรวงกลาโหม เกณฑ์นายพลมานั่งเรียงแถวเป็นพระอันดับ ให้พลอากาศเอกสุกำพล แถลงข่าวว่า นายอภิสิทธิ์ หนีทหาร เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีเป้าหมายเพียงอย่างเดียวคือ เพื่อช่วยนายจตุพร พรหมพันธุ์ ในการต่อสู้คดีที่ถูกนายอภิสิทธิ์ ฟ้องต่อศาลในคดีหมิ่นประมาทว่า นายอภิสิทธิ์ หนีทหาร
หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า นายจตุพร พ้นสภาพ สส. เพราะไม่ได้ไปเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคมที่ผ่านมา เอกสิทธิ์ คุ้มครอง ในฐานะ สส.ของนายจตุพรก็หมดลง คดีหมิ่นประมาทหลายๆคดี ที่ค้างอยู่ในศาล ก็เดินหน้าทันที นายจตุพร ไม่สามารถใช้ความเป็น สส. ขอเลื่อนการพิจารณาคดีในระหว่างสมัยประชุมได้ จะอ้างเหตุผลอื่นๆ เช่น ป่วย หรือไปต่างประเทศ ก็อ้างได้เพียงหนึ่งหรือสองครั้งเท่านั้น เพราะศาลจะไม่อนุญาตให้เลื่อนการพิจารณาคดีได้บ่อยๆ ตามความต้องการของจำเลย ที่จะเตะถ่วงคดี
ถึงเวลาที่นายจตุพร ต้องรับผิดชอบ พิสูจน์คำพูดของตัวเองในศาล คดีหมิ่นประมาทที่นายอภิสิทธิ์ เป็นโจทก์ฟ้องนายจตุพร มีหลายคดี หนึ่งคดีที่จบไปแล้วคือ คดีที่กล่าวหาว่า นายอภิสิทธิ์ ตีตนเสมอเจ้า ซึ่งศาลพิพากษาจำคุกนายจตุพร 6 เดือน ปรับ 5 หมื่นบาท โทษจำให้รอลงอาญา 2 ปี
คดีที่กล่าวหาว่า นายอภิสิทธิ์ หนีทหาร สืบพยานเสร็จแล้ว ศาลนัดฟังคำพิพากษา วันที่ 27 กันยายนนี้
คดีหมิ่นประมาทแม้ โทษจะไม่สูง และศาลมีแนวโน้มที่จะรอลงอาญา หากเป็นการทำผิดครั้งแรก ทั้งจำเลยยังอุทธรณ์ ฎีกาได้ แต่ถ้าแพ้ทุกคดี หรือแพ้มากกว่าชนะ ก็จะยิ่งตอกย้ำภาพพจน์ นักปั้นน้ำเป็นตัว และเด็กเลี้ยงแกะให้เด่นชัดยิ่งขึ้น นายจตุพรจึงต้องหาตัวช่วย เพื่อให้พยานหลักฐานของตนมีน้ำหนัก รับฟังได้
ในมุมมอง ภายใต้วาทกรรม “อำมาตย์ -ไพร่” ตามจิตนาการของแกนนำ นปช. รวมทั้งนายจตุพรเอง พฤติกรรมของพลอากาศเอกสุกำพล ที่เอากระทรวงกลาโหมไปรับใช้นายจตุพรครั้งนี้ ต้องนับเป็นชัยชนะแบบหมดจดของฝ่ายไพร่ ที่มีต่ออำมาตย์ เพราะในประวัติศาสตร์ มีแต่อำมาตย์เท่านั้น ที่เป็นฝ่ายเกณฑ์แรงงานไพร่มารับใช้ แต่ครั้งนี้ พลอากาศเอกสุกำพล พลิกประวัติศาสตร์ ยอมศิโรราบ ให้ไพร่เกณฑ์ไปเป็นตัวช่วยสู้คดี
โดยชาติกำเนิด พลอากาศเอกสุกำพล แม้จะไม่ได้มีเชื้อเจ้า แต่ต้นตระกูล สุวรรณฑัต นั้น ก็มาจากขุนนาง หรืออำมาตย์ในราชสำนัก สมัย รัชกาลที่ 3 และเจ้าจอมมารดา ในรัชกาลที่ 4 ถ้าจะให้คำจำกัดความแบบที่นักวิชาการเสื้อแดงใช้กัน พลอากาศเอก สุกำพล มาจากตระกูล ผู้ดี หรือ “อีลิท”แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สืบเชื้อสายมาจากขุนนาง
เมื่อเรียนจบสาธิตจุฬา พลอากาศเอกสุกำพล เดินตามรอยบิดา ที่เป็นนายทหารอากาศ เข้าเรียนโรงเรียนเตรียมทหาร หลังจากนั้น เป็นนักเรียนโรงเรียนนายเรืออากาศ เพื่อที่จะเป็นเจ้าคนนายคน ในภายภาคหน้า
ในขณะที่นายจตุพร ซึ่งอุปโลกน์ตัวเองเป็นไพร่ เกิดมาก็จนแล้ว อาศัยอยู่กับ มหาระแบบ พี่ชายต่างมารดา ที่วัดบวรนิเวศ สมัยที่เรียนรามคำแหง ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากเพื่อนๆพี่ๆ มาลืมตาอ้าปาก พลิกชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ ก็ต่อเมื่อ ถูกเกณฑ์ไปทำสงครามโค่นอำมาตย์ ชีวิตเปลี่ยนไป ดีขึ้นจากเดิม ถึงขนาด กลับเป็นฝ่ายเกณฑ์อำมาตย์ใหญ่ ที่เป็นถึงเสนาบดีกระทรวงกลาโหม ให้มาสู้เพื่อตัวเองได้
อย่างนี้แล้ว จะไม่เรียกว่า เป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ของไพร่ ที่ทำให้อำมาตย์ต้องศิโรราบ ยอมตนเป็นข้ารับใช้ ได้อย่างไร