พุทธทาสภิกขุเป็นปราชญ์นักบวชแห่งยุค ยูเนสโกยกย่องท่านเป็นบุคคลสำคัญของโลกเมื่อปี 2548 และเฉลิมฉลองครบชาตกาล 100 ปีของท่าน เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2549
ผมโชคดีได้ฟังเทศน์หลวงพ่อหลายเรื่อง และเรื่อง “ไอ้ชาติโง่ ไม่รู้จักความถูกต้อง” ที่เป็นชื่อบทความนี้ ผมฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก ท่านเทศน์เมื่อวันอาสาฬหบูชาปี 2535
คำว่าเทศนาคนไทยไม่น้อยเอาไปเล่นลิ้นว่าเป็นการด่า ผมว่าหลวงพ่อคงมิได้ตั้งใจด่าใครโดยเฉพาะ แต่เมื่อฟังแล้วทำให้ผมคิดถึงทักษิณ ชินวัตร และบุคคลที่ยิ่งใหญ่รับผิดชอบบ้านเมืองตั้งแต่ปี 2535 จนถึงปัจจุบันขึ้นมาจับใจ อยากให้ท่านเหล่านั้นลองฟังเทศนาของหลวงพ่อเรื่องนี้ดูบ้าง ท่านจะได้บุญ และเกิดอานิสงส์ถึงประเทศ เป็นการชำระมรดกบาปที่พวกเรา “ไอ้ชาติโง่!” ทั้งหลายร่วมกันสร้างขึ้น แต่ใครมีอำนาจมากก็ควรจะต้องรับผิดชอบมาก
การหาเทศนาของหลวงพ่อมาฟังหรือการค้นหาข้อมูลความรู้และเรื่องราวดีๆต่างๆ ทุกวันนี้ง่ายจนไม่น่าเชื่อ จะว่ามหัศจรรย์ก็ว่าได้ ของหลวงพ่อกดชื่อของท่านลงที่ www.google.com หรือ www.youtube.com ทั้งไทยหรืออังกฤษก็จะมีขึ้นมาให้อ่านมากมาย จำเพาะเรื่อง “ไอ้ชาติโง่ มันไม่รู้จักความถูกต้อง” ขอให้ท่านกดลิงก์อันนี้ http://www.youtube.com/watch?v=lYRNIs2svSo ท่านก็จะได้ฟัง 43 นาทีเต็มๆ
ผมขอให้ท่านผู้อ่านกดฟังของจริงเสียงจริงขนานแท้และดั้งเดิมของหลวงพ่อเดี๋ยวนี้เลยจะดีกว่า จะอ่านหรือไม่อ่านที่ผมสรุปมาพร้อมความเห็นข้างล่างนี้ก็ได้
สรุปสาระคำเทศน์ของหลวงพ่อเป็นหัวข้อย่อๆ ตามความสำคัญที่หลวงพ่อเน้น ไม่เรียงกันตามลำดับในคำเทศนา ดังนี้
1.ธรรมที่เทศน์ครั้งนี้สั้นที่สุด แต่มีความสำคัญที่สุด เพราะเป็นธรรมที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา และทุกๆ ศาสนา นั่นก็คือ ธรรมเรื่องความถูกต้อง
2.ความถูกต้องที่เป็นหัวใจของธรรมนี้มีอยู่ 4 เรื่อง คือ 1. ความถูกต้องทางกาย 2. ความถูกต้องทางจิต 3. ความถูกต้องทางอัตตาหรือตัวตน 4. ความถูกต้องทางความว่างหรือสุญตา
3.หลวงพ่อได้ย้ำเน้นว่า ความถูกต้องนี้สำคัญที่สุด มีความถูกต้องแล้วปัญหาอะไรมันก็จะไม่เกิดขึ้น ปํญหาที่เกิดขึ้นเพราะความไม่ถูกต้อง นำเอาความถูกต้องมาแก้ไขก็จะลดน้อยหรือหมดไป (แต่จะนำเอาความไม่ถูกต้องมาแก้ไขความไม่ถูกต้องให้เป็นความถูกต้องไม่ได้) 1. ความถูกต้องทางกายจะทำให้ร่างกายแข็งแรงไม่เป็นโรค 2. ความถูกต้องทางจิต จะรักษาให้จิตบริสุทธิ์ไม่เศร้าหมองไม่พอกอยู่ด้วยกองกิเลส 3. ความถูกต้องทางตัวตนก็จะละลดความเป็นตัวกู (อหังการ) ของกู (มมังการ) ความยึดมั่นในตัวกู (มานะทั้ง 8 ว่ากูดีกว่าเสมอกันหรือด้อยกว่าผู้อื่น) และความเคยชิน ความเคยตัว (อนุสัย) รวมกันเป็นสี่ และ 4.ความถูกต้องเรื่องความว่างหรือสุญญตาหรือความปราศจากสิ่งทั้งปวง อันจะนำไปสู่ความหลุดพ้น ไม่ติดแม้แต่สังขารซึ่งเปรียบเหมือนตลิ่งไหล หลวงพ่อได้ยกตัวอย่างบทกลอนเรื่องส้มซ่าหลายครั้งว่าดังนี้ “ต้นส้มซ่า น้องเอยคือน้องส้มซ่า ลูกดกหราร่าร่มฟ้าร่มดิน อีกาตัวไหนจะกล้าเจาะ กระรอกตัวไหนจะกล้ากิน ร่มฟ้าร่มดินร่มหัวแม่มันทั้งเมือง ...โว้ย!!!” เป็นอุปมาอุปไมยว่าความว่างเปล่าเป็นที่พึ่งและหนทางปลอดทุกข์ของทุกคน
4. ตลอดเรื่องหลวงพ่อบอกว่า เพราะ “ไอ้ชาติโง่ มันไม่รู้จักความถูกต้อง” นี้ทำให้เกิด “ความลำบากยุ่งยากรบราฆ่าฟันกันทางการเมืองเศรษฐกิจสังคม และทางอะไรต่างๆ “ปัญหาที่มันฆ่ากันตายแต่ละวันๆ” “ปัญหาทางการเมืองจะหมดสิ้นไปถ้ามันมีสัมมาคือความถูกต้อง ไม่มีความถูกต้องแล้วให้มันทำจนตาย ตายแล้วตายเล่ากี่ร้อยชาติกี่พันชาติ มันก็จะไม่มีความสงบทางการเมืองทางเศรษฐกิจและสังคม”
5. หลวงพ่อทั้ง “ย้ำ” “ยืนยัน” “ค้ำประกัน” ว่าความถูกต้องนี้สำคัญที่สุด “ไม่มีคำไหนที่มันเด็ดขาดเฉียบขาดจริงจังมีค่าสูงยิ่งกว่าคำว่าสัมมาคือความถูกต้อง ความถูกต้องนั้นมันเหนือไปกว่าดี ถ้าดีแต่มันไม่ถูกต้องนั้นมันบ้า ยิ่งดียิ่งบ้า” “คำว่าบุญ คำว่าบ้า บาปนี่คือบ้าที่สุด บุญก็บ้าที่สุดอีกด้านหนึ่ง บุญก็จะเอาแต่ความสนุกสนานเอร็ดอร่อย แต่มันเป็นบ้าด้านบวก บาปเป็นบ้าด้านลบ มันไม่ถูกต้องๆๆๆๆๆ พูดพันคำหมื่นคำแสนคำล้านคำมันก็ไม่ถูกต้อง”
6. ฝังดูเผินๆ หลวงพ่อคล้ายเน้นตัวบุคคลแต่ละคนที่จะได้รับอานิสงส์ความสุขและผลดีจากความถูกต้อง แต่หลวงพ่อกลับย้ำผลเสียที่เกิดขึ้นกับส่วนรวมมากกว่า “ทั้งโลกทั้งจักรวาลมันจะฉิบหายกันหมดแล้ว มันไม่มีความถูกต้อง ประชาธิปไตย และไม่ใช่ประชาธิปไตยมันจะฉิบหายกันหมดแล้ว มันไม่มีความถูกต้อง” การเมืองเศรษฐกิจและสังคม (ที่ไม่ถูกต้อง) จึงเป็นต้นเหตุและผลของความไม่ถูกต้อง
7. ทั้งขึ้นต้น ตรงกลางและลงท้าย หลวงพ่อขออภัยซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าขอพูดตรงๆด้วยคำหยาบคาย เช่น คำว่า “ไอ้ชาติโง่” “แม่มันทั้งเมือง” หรือ “ฉิบหาย” แต่ผมกลับเห็นว่าน้ำเสียงและวิธีเทศน์ของหลวงพ่อเปี่ยมไปด้วยความเมตตา ท่านบอกว่าท่านเหนื่อยแล้ว อีกไม่นานก็จะตายแล้ว เห็นนิมิตของความตายอยู่ใกล้ๆ แล้วจึงจำเป็นจะต้องพูดให้เกิดความสำนึกเร็วที่สุดถูกต้องที่สุดให้ทุกคนเข้าใจรู้จักและยึดมั่นในความถูกต้อง ทั้งๆ ที่ท่านเหนื่อยแล้วท่านยังดื้อหมอ หมอห้ามไม่ให้พูดก็จะพูด ถึงพูดแล้วจะตายก็สมัครจะตาย ถึงพูดแล้วตายเดี๋ยวนี้ก็จะยอม เพราะอะไรต่ออะไร “มันไม่เขยื้อนเคลื่อนไหว” เอาเสียเลยจึงต้องพูดกันอย่างจริงจังตรงๆ และแรงๆ
8. หลวงพ่อละสังขารจากโลกนี้ไปในวันที่ 8 กรกฎาคม 2536 เกือบจะครบรอบปีของวันเทศนาพอดี 55 วันก่อนที่หลวงพ่อเทศน์ คือวันที่ 17-20 พฤษภาาคมเกิดโศกนาฏกรรมพฤษภาทมิฬ หลวงพ่อมิได้เอ่ยถึงผู้นำประเทศ นักการเมืองหรือ รสช.เลยสักคำ แต่ผมเชื่อว่าเป้าของหลวงพ่อมิได้อยู่ที่ญาติโยมที่มาฟังเทศน์อื่นๆ ของหลวงพ่อก็จะต้องนึกถึงส่วนรวมมากกว่าส่วนบุคคลเสมอ เป้าของหลวงพ่อจึงอยู่ที่สถาบัน เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ผมว่าผู้นำของสถาบันเหล่านี้แหละคือ “ไอ้ชาติโง่” ของหลวงพ่อ ถ้าหากผิดไปผมก็ขออภัยและขอรับผิดเอามาเป็นของผมเองก็แล้วกัน
9. ผมขอเสริมสิ่งที่หลวงพ่อไม่ได้เทศน์ ผมว่าผู้นำทุกสถาบันทุกคนของชาติไทยตั้งแต่ปี 2535 พฤษภาทมิฬเป็นต้นมาจนปัจจุบัน นอกจากจะไม่รู้จักความถูกต้องแล้วยังขาด “เวสารัชชกรณธรรม” หรือธรรม 5 ประการที่ทำให้เกิดความแกล้วกล้า คือ 1. ศรัทธา เชื่อสิ่งที่ควรเชื่อ 2. ศีล มีความประพฤติดีงาม 3. พาหุสัจจะ ได้สดับหรือศึกษามาก 4. วิริยา- รัมภะ เพียรทำกิจอยู่อย่างจริงจัง 5. ปัญญา รู้รอบและรู้ชัดเจนในสิ่งที่ควรรู้ ผมขอยกตัวอย่างเพียงข้อแรก คือ ขาดศรัทธาในความเป็นข้าราชการทหารตำรวจอาชีพ และขาดศรัทธาในชาติศาสนาพระมหากษัตริย์อย่างแท้จริง เป็นต้น
10. ผมขอเสริมด้วยคำถามว่า “ไอ้ชาติโง่” ที่ไหนยังไม่รู้ว่าใครบ้างมีหน้าที่ตอบพระราชปรารภของพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2552 ที่มีข้อความประกาศให้ประชาชนทราบทั่วประเทศว่า “รู้สึกว่าบ้านเมืองของเรากำลังล่มจม เพราะว่าต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างแย่งกัน ต่างคนต่างไม่เข้าใจว่าทำอะไร” และเดี๋ยวนี้บ้านเมืองมีความสงบร่มเย็นดีกว่าเก่าและจะไม่ล่มจมแล้วกระนั้นหรือ
11. ผมขอจบด้วยคำถามเสริมว่า “ไอ้ชาติโง่” คนไหนที่ไม่รู้ว่า รัฐธรรมนูญนั้นถ้าปล่อยให้มันนอนอยู่ในพานเฉยๆ มันก็ไม่อาจจะขัดขวางการบริหารราชการแผ่นดินใดๆ ได้ หรือทำให้ผู้ใดสามารถกระทำผิดกฎหมายโดยไม่ต้องถูกลงโทษได้เลย และในทางกลับกัน “ไอ้ชาติโง่” คนไหนที่ไม่รู้ว่าสถาบันใช้อำนาจอธิปไตยทั้ง 3 ของประเทศ และกลไกต่างๆ ของรัฐ ไม่ว่าจะเรียกชื่อว่าอะไรต่างก็ละเลยการกระทำผิดกฎหมายอาญาของบ้านเมืองโดยตนเป็นผู้กระทำผิดเสียเอง ยุยงให้ผู้อื่นกระทำผิด หรือเห็นผู้ใดกระทำผิดก็ไม่ปราบปรามนำมาลงโทษตามกบิลเมือง
หลวงพ่อทราบไหมครับว่า “ไอ้ชาติโง่” เหล่านี้ชื่ออะไรเป็นใครบ้าง ปวงชนกำลังอยากให้พวกมันปราบดาภิเษกขึ้นรับผิดชอบอนาคตของลูกหลานบ้านเมืองต่อไปให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเสียที
ผมโชคดีได้ฟังเทศน์หลวงพ่อหลายเรื่อง และเรื่อง “ไอ้ชาติโง่ ไม่รู้จักความถูกต้อง” ที่เป็นชื่อบทความนี้ ผมฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก ท่านเทศน์เมื่อวันอาสาฬหบูชาปี 2535
คำว่าเทศนาคนไทยไม่น้อยเอาไปเล่นลิ้นว่าเป็นการด่า ผมว่าหลวงพ่อคงมิได้ตั้งใจด่าใครโดยเฉพาะ แต่เมื่อฟังแล้วทำให้ผมคิดถึงทักษิณ ชินวัตร และบุคคลที่ยิ่งใหญ่รับผิดชอบบ้านเมืองตั้งแต่ปี 2535 จนถึงปัจจุบันขึ้นมาจับใจ อยากให้ท่านเหล่านั้นลองฟังเทศนาของหลวงพ่อเรื่องนี้ดูบ้าง ท่านจะได้บุญ และเกิดอานิสงส์ถึงประเทศ เป็นการชำระมรดกบาปที่พวกเรา “ไอ้ชาติโง่!” ทั้งหลายร่วมกันสร้างขึ้น แต่ใครมีอำนาจมากก็ควรจะต้องรับผิดชอบมาก
การหาเทศนาของหลวงพ่อมาฟังหรือการค้นหาข้อมูลความรู้และเรื่องราวดีๆต่างๆ ทุกวันนี้ง่ายจนไม่น่าเชื่อ จะว่ามหัศจรรย์ก็ว่าได้ ของหลวงพ่อกดชื่อของท่านลงที่ www.google.com หรือ www.youtube.com ทั้งไทยหรืออังกฤษก็จะมีขึ้นมาให้อ่านมากมาย จำเพาะเรื่อง “ไอ้ชาติโง่ มันไม่รู้จักความถูกต้อง” ขอให้ท่านกดลิงก์อันนี้ http://www.youtube.com/watch?v=lYRNIs2svSo ท่านก็จะได้ฟัง 43 นาทีเต็มๆ
ผมขอให้ท่านผู้อ่านกดฟังของจริงเสียงจริงขนานแท้และดั้งเดิมของหลวงพ่อเดี๋ยวนี้เลยจะดีกว่า จะอ่านหรือไม่อ่านที่ผมสรุปมาพร้อมความเห็นข้างล่างนี้ก็ได้
สรุปสาระคำเทศน์ของหลวงพ่อเป็นหัวข้อย่อๆ ตามความสำคัญที่หลวงพ่อเน้น ไม่เรียงกันตามลำดับในคำเทศนา ดังนี้
1.ธรรมที่เทศน์ครั้งนี้สั้นที่สุด แต่มีความสำคัญที่สุด เพราะเป็นธรรมที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา และทุกๆ ศาสนา นั่นก็คือ ธรรมเรื่องความถูกต้อง
2.ความถูกต้องที่เป็นหัวใจของธรรมนี้มีอยู่ 4 เรื่อง คือ 1. ความถูกต้องทางกาย 2. ความถูกต้องทางจิต 3. ความถูกต้องทางอัตตาหรือตัวตน 4. ความถูกต้องทางความว่างหรือสุญตา
3.หลวงพ่อได้ย้ำเน้นว่า ความถูกต้องนี้สำคัญที่สุด มีความถูกต้องแล้วปัญหาอะไรมันก็จะไม่เกิดขึ้น ปํญหาที่เกิดขึ้นเพราะความไม่ถูกต้อง นำเอาความถูกต้องมาแก้ไขก็จะลดน้อยหรือหมดไป (แต่จะนำเอาความไม่ถูกต้องมาแก้ไขความไม่ถูกต้องให้เป็นความถูกต้องไม่ได้) 1. ความถูกต้องทางกายจะทำให้ร่างกายแข็งแรงไม่เป็นโรค 2. ความถูกต้องทางจิต จะรักษาให้จิตบริสุทธิ์ไม่เศร้าหมองไม่พอกอยู่ด้วยกองกิเลส 3. ความถูกต้องทางตัวตนก็จะละลดความเป็นตัวกู (อหังการ) ของกู (มมังการ) ความยึดมั่นในตัวกู (มานะทั้ง 8 ว่ากูดีกว่าเสมอกันหรือด้อยกว่าผู้อื่น) และความเคยชิน ความเคยตัว (อนุสัย) รวมกันเป็นสี่ และ 4.ความถูกต้องเรื่องความว่างหรือสุญญตาหรือความปราศจากสิ่งทั้งปวง อันจะนำไปสู่ความหลุดพ้น ไม่ติดแม้แต่สังขารซึ่งเปรียบเหมือนตลิ่งไหล หลวงพ่อได้ยกตัวอย่างบทกลอนเรื่องส้มซ่าหลายครั้งว่าดังนี้ “ต้นส้มซ่า น้องเอยคือน้องส้มซ่า ลูกดกหราร่าร่มฟ้าร่มดิน อีกาตัวไหนจะกล้าเจาะ กระรอกตัวไหนจะกล้ากิน ร่มฟ้าร่มดินร่มหัวแม่มันทั้งเมือง ...โว้ย!!!” เป็นอุปมาอุปไมยว่าความว่างเปล่าเป็นที่พึ่งและหนทางปลอดทุกข์ของทุกคน
4. ตลอดเรื่องหลวงพ่อบอกว่า เพราะ “ไอ้ชาติโง่ มันไม่รู้จักความถูกต้อง” นี้ทำให้เกิด “ความลำบากยุ่งยากรบราฆ่าฟันกันทางการเมืองเศรษฐกิจสังคม และทางอะไรต่างๆ “ปัญหาที่มันฆ่ากันตายแต่ละวันๆ” “ปัญหาทางการเมืองจะหมดสิ้นไปถ้ามันมีสัมมาคือความถูกต้อง ไม่มีความถูกต้องแล้วให้มันทำจนตาย ตายแล้วตายเล่ากี่ร้อยชาติกี่พันชาติ มันก็จะไม่มีความสงบทางการเมืองทางเศรษฐกิจและสังคม”
5. หลวงพ่อทั้ง “ย้ำ” “ยืนยัน” “ค้ำประกัน” ว่าความถูกต้องนี้สำคัญที่สุด “ไม่มีคำไหนที่มันเด็ดขาดเฉียบขาดจริงจังมีค่าสูงยิ่งกว่าคำว่าสัมมาคือความถูกต้อง ความถูกต้องนั้นมันเหนือไปกว่าดี ถ้าดีแต่มันไม่ถูกต้องนั้นมันบ้า ยิ่งดียิ่งบ้า” “คำว่าบุญ คำว่าบ้า บาปนี่คือบ้าที่สุด บุญก็บ้าที่สุดอีกด้านหนึ่ง บุญก็จะเอาแต่ความสนุกสนานเอร็ดอร่อย แต่มันเป็นบ้าด้านบวก บาปเป็นบ้าด้านลบ มันไม่ถูกต้องๆๆๆๆๆ พูดพันคำหมื่นคำแสนคำล้านคำมันก็ไม่ถูกต้อง”
6. ฝังดูเผินๆ หลวงพ่อคล้ายเน้นตัวบุคคลแต่ละคนที่จะได้รับอานิสงส์ความสุขและผลดีจากความถูกต้อง แต่หลวงพ่อกลับย้ำผลเสียที่เกิดขึ้นกับส่วนรวมมากกว่า “ทั้งโลกทั้งจักรวาลมันจะฉิบหายกันหมดแล้ว มันไม่มีความถูกต้อง ประชาธิปไตย และไม่ใช่ประชาธิปไตยมันจะฉิบหายกันหมดแล้ว มันไม่มีความถูกต้อง” การเมืองเศรษฐกิจและสังคม (ที่ไม่ถูกต้อง) จึงเป็นต้นเหตุและผลของความไม่ถูกต้อง
7. ทั้งขึ้นต้น ตรงกลางและลงท้าย หลวงพ่อขออภัยซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าขอพูดตรงๆด้วยคำหยาบคาย เช่น คำว่า “ไอ้ชาติโง่” “แม่มันทั้งเมือง” หรือ “ฉิบหาย” แต่ผมกลับเห็นว่าน้ำเสียงและวิธีเทศน์ของหลวงพ่อเปี่ยมไปด้วยความเมตตา ท่านบอกว่าท่านเหนื่อยแล้ว อีกไม่นานก็จะตายแล้ว เห็นนิมิตของความตายอยู่ใกล้ๆ แล้วจึงจำเป็นจะต้องพูดให้เกิดความสำนึกเร็วที่สุดถูกต้องที่สุดให้ทุกคนเข้าใจรู้จักและยึดมั่นในความถูกต้อง ทั้งๆ ที่ท่านเหนื่อยแล้วท่านยังดื้อหมอ หมอห้ามไม่ให้พูดก็จะพูด ถึงพูดแล้วจะตายก็สมัครจะตาย ถึงพูดแล้วตายเดี๋ยวนี้ก็จะยอม เพราะอะไรต่ออะไร “มันไม่เขยื้อนเคลื่อนไหว” เอาเสียเลยจึงต้องพูดกันอย่างจริงจังตรงๆ และแรงๆ
8. หลวงพ่อละสังขารจากโลกนี้ไปในวันที่ 8 กรกฎาคม 2536 เกือบจะครบรอบปีของวันเทศนาพอดี 55 วันก่อนที่หลวงพ่อเทศน์ คือวันที่ 17-20 พฤษภาาคมเกิดโศกนาฏกรรมพฤษภาทมิฬ หลวงพ่อมิได้เอ่ยถึงผู้นำประเทศ นักการเมืองหรือ รสช.เลยสักคำ แต่ผมเชื่อว่าเป้าของหลวงพ่อมิได้อยู่ที่ญาติโยมที่มาฟังเทศน์อื่นๆ ของหลวงพ่อก็จะต้องนึกถึงส่วนรวมมากกว่าส่วนบุคคลเสมอ เป้าของหลวงพ่อจึงอยู่ที่สถาบัน เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ผมว่าผู้นำของสถาบันเหล่านี้แหละคือ “ไอ้ชาติโง่” ของหลวงพ่อ ถ้าหากผิดไปผมก็ขออภัยและขอรับผิดเอามาเป็นของผมเองก็แล้วกัน
9. ผมขอเสริมสิ่งที่หลวงพ่อไม่ได้เทศน์ ผมว่าผู้นำทุกสถาบันทุกคนของชาติไทยตั้งแต่ปี 2535 พฤษภาทมิฬเป็นต้นมาจนปัจจุบัน นอกจากจะไม่รู้จักความถูกต้องแล้วยังขาด “เวสารัชชกรณธรรม” หรือธรรม 5 ประการที่ทำให้เกิดความแกล้วกล้า คือ 1. ศรัทธา เชื่อสิ่งที่ควรเชื่อ 2. ศีล มีความประพฤติดีงาม 3. พาหุสัจจะ ได้สดับหรือศึกษามาก 4. วิริยา- รัมภะ เพียรทำกิจอยู่อย่างจริงจัง 5. ปัญญา รู้รอบและรู้ชัดเจนในสิ่งที่ควรรู้ ผมขอยกตัวอย่างเพียงข้อแรก คือ ขาดศรัทธาในความเป็นข้าราชการทหารตำรวจอาชีพ และขาดศรัทธาในชาติศาสนาพระมหากษัตริย์อย่างแท้จริง เป็นต้น
10. ผมขอเสริมด้วยคำถามว่า “ไอ้ชาติโง่” ที่ไหนยังไม่รู้ว่าใครบ้างมีหน้าที่ตอบพระราชปรารภของพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2552 ที่มีข้อความประกาศให้ประชาชนทราบทั่วประเทศว่า “รู้สึกว่าบ้านเมืองของเรากำลังล่มจม เพราะว่าต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างแย่งกัน ต่างคนต่างไม่เข้าใจว่าทำอะไร” และเดี๋ยวนี้บ้านเมืองมีความสงบร่มเย็นดีกว่าเก่าและจะไม่ล่มจมแล้วกระนั้นหรือ
11. ผมขอจบด้วยคำถามเสริมว่า “ไอ้ชาติโง่” คนไหนที่ไม่รู้ว่า รัฐธรรมนูญนั้นถ้าปล่อยให้มันนอนอยู่ในพานเฉยๆ มันก็ไม่อาจจะขัดขวางการบริหารราชการแผ่นดินใดๆ ได้ หรือทำให้ผู้ใดสามารถกระทำผิดกฎหมายโดยไม่ต้องถูกลงโทษได้เลย และในทางกลับกัน “ไอ้ชาติโง่” คนไหนที่ไม่รู้ว่าสถาบันใช้อำนาจอธิปไตยทั้ง 3 ของประเทศ และกลไกต่างๆ ของรัฐ ไม่ว่าจะเรียกชื่อว่าอะไรต่างก็ละเลยการกระทำผิดกฎหมายอาญาของบ้านเมืองโดยตนเป็นผู้กระทำผิดเสียเอง ยุยงให้ผู้อื่นกระทำผิด หรือเห็นผู้ใดกระทำผิดก็ไม่ปราบปรามนำมาลงโทษตามกบิลเมือง
หลวงพ่อทราบไหมครับว่า “ไอ้ชาติโง่” เหล่านี้ชื่ออะไรเป็นใครบ้าง ปวงชนกำลังอยากให้พวกมันปราบดาภิเษกขึ้นรับผิดชอบอนาคตของลูกหลานบ้านเมืองต่อไปให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเสียที