บทความนี้ผมเขียนส่งคืนวันพฤหัสบดี 12 กรกฎาคม ก่อนศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการแก้รัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทยหนึ่งวัน ซึ่งผมได้เขียนไปตอนหนึ่งแล้วชื่อ “ศุกร์นี้หัวหรือก้อย การเมืองก็จะเข้ารอยเดิม”
รอยเดิมนี้ผมได้อธิบายแล้วว่าคือการเวียนว่ายตายเกิดของวงจรอุบาทว์กับวัฏจักรน้ำเน่า วงจรอุบาทว์คือการยึดอำนาจขึ้นมาปกครองชั่วคราวโดยกองทัพ แล้วก็ผ่องถ่ายให้พวกพ้องนักการเมืองเอาเงินไปผูกขาดอำนาจรัฐสลับกันไปมา เป็น “สมบัติผลัดกันชม” เรียกว่าวัฏจักรน้ำเน่า จนกระทั่งเกิดระบอบทักษิณซึ่งนำเอาส่วนที่เลวของวงจรอุบาทว์กับวัฏจักรน้ำเน่ามายกกำลังสอง
ขณะนี้อิทธิพลชั่วของวัฏจักรน้ำเน่าแผ่คลุมไปครอบงำการปกครองทั่วประเทศ
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะออกหัว ก้อยหรือกลางก็ตาม ระบอบทักษิณก็จะยังอยู่เหมือนเดิม และนับวันจะเข้มแข็งขึ้น เพราะรัฐบาลสลับฉากทักษิณ คือ รัฐบาลสุรยุทธ์กับรัฐบาลประชาธิปัตย์ล้วนแต่พากันค้ำยันและรักษาระบอบทักษิณไว้ทั้งคู่ และขณะนี้ระบอบทักษิณได้กลับมาครองอำนาจรัฐเป็นครั้งที่ 2 หลังจากที่หัวโจกถูกเฉดหัวจากประเทศ
ฝรั่งเศสมีวลีการเมืองอยู่บทหนึ่งว่า Plus ça change, plus c'est la meme chose แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า The more things change, the more they stay the same วลีนี้ปรากฏครั้งแรกในปี ค.ศ. 1855 แต่เริ่มมีนัยทางการเมืองในปี 1924 การเมืองของฝรั่งเศสล้มลุกคลุกคลานเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาครั้งแล้วครั้งเล่าตั้งแต่เริ่มมีการปฏิวัติในปี 1789 จนกระทั่งปี 1959 เมื่อสถาปนาสาธารณรัฐที่ 5 ภายใต้ประธานาธิบดีเดอโกล ก่อนนั้นได้เปลี่ยนกลับไปเป็นระบอบกษัตริย์ 2 ครั้ง และเป็นสาธารณรัฐรูปแบบต่างๆอีก 4 ครั้ง แต่ละครั้งก็ถูกบ่นว่ายิ่งเปลี่ยนก็ยิ่งเหมือนเดิม มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญถึง 18 ครั้ง จนกระทั่งเดอโกลมอบหมายให้อดีตนายกรัฐมนตรี มิเชล เดเบรส์ เป็นผู้ร่างแต่เพียงผู้เดียว รัฐธรรมนูญและการเมืองฝรั่งเศสจึงมีเสถียรภาพยั่งยืนมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
รัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐที่ 5 เป็นการถอนรากถอนโคนคติรัฐธรรมนูญเก่าๆและวิธีร่างรัฐธรรมนูญแบบเก่าๆ ของฝรั่งเศส สามารถกวาดล้างองค์ประกอบและระบบพฤติกรรมของนักการเมืองเก่าๆ ไปได้จนเกือบจะสิ้นซาก
ยังคงมีแต่ประเทศไทยเท่านั้นที่ยังยึดถือคติและวิธีโบราณของฝรั่งเศสไว้อย่างเหนียวแน่น รัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นใหม่แต่ละฉบับ นับได้ 18 เท่ากับฝรั่งเศส รวมทั้งฉบับที่ผมร่วมเป็นกรรมการในปี 2516 ล้วนทำให้การเมืองไทยเข้าตำรับยิ่งเปลี่ยนยิ่งเหมือนเดิม แต่ฉบับ 2535 -2540-2550 โฉดช้าสามานย์กว่าเดิมเสียอีก ทั้ง 3 ฉบับร่างโดย ส.ส.ร. ผิดกับที่ McIver ปรมาจารย์วิชารัฐศาสตร์ว่า รัฐธรรมนูญที่ดีจะต้องร่างโดย committee of a FEW experts เท่านั้น
รัฐธรรมนูญที่ยืนยงของญี่ปุ่น อินเดีย ฝรั่งเศส สาธารณรัฐที่ 5 แทบจะร่างด้วยคนคนเดียวด้วยซ้ำ รัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรฉบับแรกของโลกของอเมริกัน จริงๆแล้วก็ร่างโดยคนไม่เกิน 4 คนถึงแม้จะมีสมัชชากว่า 50 คนก็ตาม
ศาสตราจารย์ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ ยืนกระต่ายขาเดียวว่าเมืองไทยไร้รัฐบุรุษอย่างเดอโกล (ผมว่าไม่จริงอย่างน้อยเรามีอยู่หนึ่งที่เหนือกว่า) เมืองไทยจึงไม่มีทางรอดเงื้อมมือทุนนิยมสามานย์ใช้การเลือกตั้งผูกขาดอำนาจ ทำให้ประเทศตกต่ำ ระส่ำระสายและขัดแย้งฆ่าฟันกันอยู่มิรู้จบ
ระบบของเรามีแต่พรรคหัวหน้าตั้งซึ่งไม่มีวันยั่งยืน เป็นพรรคการเมืองจอมปลอมแท้จริงคือแก๊งเลือกตั้ง บางแก๊งเกือบจะเหมือนอั้งยี่ ครอบงำกำกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกระดิกไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญบังคับให้ ส.ส.สังกัดพรรค และส.ส.เป็นที่มาอย่างเดียวของนายกรัฐมนตรี
บทบัญญัติอุบาทว์นี้มีชาติเดียวในโลก โดยไม่มีใครรู้ว่านั่นเป็นการทำลายสิทธิขั้นพื้นฐานทางการเมือง ดูตัวอย่างอังกฤษต้นสัปดาห์นี้ ส.ส.อนุรักษ์พรรครัฐบาลแหกคอกไปโหวตกับฝ่ายค้านถึง 91 คน ไม่มีใครจะลงโทษหรือขับออกจากพรรคได้ ของเรามันอ้างทฤษฎีวินัยของพรรคตื้นๆ ไม่รู้โคตรมันไปเอามาจากที่ไหน เพราะในอเมริกาและฝรั่งเศสเขาก็เหมือนกัน ทั้งนี้ต้องโทษสื่อและนักวิชาการที่พากันขานรับอามิสของนักการเมืองกันหมด
ผมเคยเขียนไว้นับไม่ถ้วนหนแล้วว่า ร่างรัฐธรรมนูญแบบน้ำเน่า คือ แบบที่เราใช้ตั้งแต่ต้นมาจนถึงปัจจุบัน เราจะพากันไปตาย และเรื่องต่อให้สิบ ส.ส.ร.ก็ไม่เป็นประชาธิปไตย และเรื่อง กกต.ก็คือตัวถ่วงประชาธิปไตย และเรื่องจะหามาตรฐานที่ไหนจากศาลรัฐธรรมนูญ (ตั้งแต่ครั้งคดีซุกหุ้น ซึ่งกว่าครึ่งของศาลไม่เข้าใจหลัก mala prohibita คือความผิดฐานกระทำสิ่งที่กฎหมายห้าม ซึ่งจะต้องวินิจฉัยว่าผิดลูกเดียว จะไปคำนึงถึงเจตนาและผลทางการเมืองมิได้ ซ้ำยังหักดิบคำพิพากษาเสียอีก) ต่อให้ศาลตัดสินว่าการร่างรัฐธรรมนูญเป็นการล้มล้างประชาธิปไตยและให้ยุบพรรค ผมแน่ใจว่าการเมืองจะเข้าอีหรอบเดิมอีก คือ โต้เถียงขัดแย้งกันต่อไป เดินขบวนห้ำหั่น ฆ่าฟันกันต่อไป ยึดอำนาจกันต่อไป หรือเลือกตั้งน้ำเน่ากันต่อไป
กลไกของระบบราชการและองค์กรอิสระ ซึ่งตั้งขึ้นมาชุ่ยๆ ขัดกับหลักวิชา ล้วนแต่ไปลอกต่างประเทศเขามาโก้ๆ แบบหัวมงกุฎท้ายมังกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำองค์กรที่เหมาะกับสาธารณ-สมาพันธรัฐมาใช่กับเอกรัฐราชอาณาจักร ทั้งโครงสร้างทางการเมือง รัฐธรรมนูญ ระบบราชการ ระบบพรรคการเมืองและระบบเลือกตั้งแบบเก่า ก็จะนำบ้านเมืองไปสู่ห้วงเหวแห่งหายนะเหมือนเดิม แต่ต้องยกกำลัง 2 เพราะส่วนใหญ่โอนเอียงไปตามระบอบทักษิณ และความสามารถชั่วร้ายแบบระบอบทักษิณ การเลือกตั้งคราวหน้าระบอบทักษิณภายใต้พรรคการเมืองชื่อใหม่ก็จะชนะถล่มทลายยิ่งกว่าเดิม คราวนี้อาจจะมีประเทศอภิมหาอำนาจเข้ามาแทรกแซงช่วยเหลืออย่างเปิดเผย ต่างกับคราวที่แล้วซึ่งกำบังกายหายตนมาในรูปแบบต่างๆ ศาลและกองทัพของเราก็จะไร้ความหมายทั้งในและนอกประเทศอย่างสิ้นเชิง
ผมจึงแน่ใจว่า “ยิ่งเปลี่ยนก็ยิ่งเหมือนเดิม หากไม่ขุดรากถอนโคน”
ขุดรากถอนโคนอะไร ขุดรากถอนโคนรัฐธรรมนูญและขบวนการแก้รัฐธรรมนูญแบบเดิม ภายใต้การครอบงำ บังคับขู่เข็ญ ลวงล่อหลอก และซื้อหากรรมการและประชาชนเหมือนงัวเหมือนควาย
ดร.อมร ตั้งข้อสังเกตไว้ ตราบใดที่หมายังไม่เลิกกินขี้ นักการเมืองโกงที่ไหนจะยอมแก้ไขกติกาการเมืองที่ทำลายผลประโยชน์ตนเอง
การปฏิวัติรัฐธรรมนูญ (มิใช่ปฏิวัติยึดอำนาจแบบอำมาตย์) เท่านั้น จึงจะขุดรากถอนโคนระบบทุนนิยมสามานย์และนักการเมืองโคตรโกงหรือโกงทั้งโคตรได้
ประชาชนไทยจะได้เงยหน้าอ้าปากได้ ไม่ต้องกลัวน้ำมันแพง และหนี้ที่ถีบทะยานขึ้นถึงครัวเรือนละกว่าหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท ในขณะที่นักการเมืองและบริวารพากันรวยเอาๆ แซงขึ้นหน้าผู้นำประชาธิปไตยต่างประ เทศไม่รู้กี่เท่าๆ
เอาไหมล่ะ พี่น้องไทย ทั้งแดงและเหลืองมาช่วยกันปฏิวัติการเมือง มิใช่แก้รัฐธรรมนูญแบบชุ่ยๆ โดยนักการเมืองชุ่ยๆ แบบคราวที่แล้ว (ประชาธิปัตย์) และครั้งนี้(ไทยรักไทย-เพื่อไทย) ยิ่งเปลี่ยนก็ยิ่งเหมือนเดิม หรือเลวยิ่งกว่าเดิม ทั้งรัฐธรรมนูญและชีวิตของประชาชน
จงดูตัวอย่าง 10 ประเทศยอดประชาธิปไตย ที่ประชาชนมีทั้งเสรีภาพและความมั่งคั่ง 8 ใน 10 ของประเทศนั้นมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ส่งนักวิชาการทั้งแดงและเหลืองไปศึกษาดูบ้างว่าเขาปฏิวัติรัฐธรรมนูญกันอย่างไร
รอยเดิมนี้ผมได้อธิบายแล้วว่าคือการเวียนว่ายตายเกิดของวงจรอุบาทว์กับวัฏจักรน้ำเน่า วงจรอุบาทว์คือการยึดอำนาจขึ้นมาปกครองชั่วคราวโดยกองทัพ แล้วก็ผ่องถ่ายให้พวกพ้องนักการเมืองเอาเงินไปผูกขาดอำนาจรัฐสลับกันไปมา เป็น “สมบัติผลัดกันชม” เรียกว่าวัฏจักรน้ำเน่า จนกระทั่งเกิดระบอบทักษิณซึ่งนำเอาส่วนที่เลวของวงจรอุบาทว์กับวัฏจักรน้ำเน่ามายกกำลังสอง
ขณะนี้อิทธิพลชั่วของวัฏจักรน้ำเน่าแผ่คลุมไปครอบงำการปกครองทั่วประเทศ
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะออกหัว ก้อยหรือกลางก็ตาม ระบอบทักษิณก็จะยังอยู่เหมือนเดิม และนับวันจะเข้มแข็งขึ้น เพราะรัฐบาลสลับฉากทักษิณ คือ รัฐบาลสุรยุทธ์กับรัฐบาลประชาธิปัตย์ล้วนแต่พากันค้ำยันและรักษาระบอบทักษิณไว้ทั้งคู่ และขณะนี้ระบอบทักษิณได้กลับมาครองอำนาจรัฐเป็นครั้งที่ 2 หลังจากที่หัวโจกถูกเฉดหัวจากประเทศ
ฝรั่งเศสมีวลีการเมืองอยู่บทหนึ่งว่า Plus ça change, plus c'est la meme chose แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า The more things change, the more they stay the same วลีนี้ปรากฏครั้งแรกในปี ค.ศ. 1855 แต่เริ่มมีนัยทางการเมืองในปี 1924 การเมืองของฝรั่งเศสล้มลุกคลุกคลานเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาครั้งแล้วครั้งเล่าตั้งแต่เริ่มมีการปฏิวัติในปี 1789 จนกระทั่งปี 1959 เมื่อสถาปนาสาธารณรัฐที่ 5 ภายใต้ประธานาธิบดีเดอโกล ก่อนนั้นได้เปลี่ยนกลับไปเป็นระบอบกษัตริย์ 2 ครั้ง และเป็นสาธารณรัฐรูปแบบต่างๆอีก 4 ครั้ง แต่ละครั้งก็ถูกบ่นว่ายิ่งเปลี่ยนก็ยิ่งเหมือนเดิม มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญถึง 18 ครั้ง จนกระทั่งเดอโกลมอบหมายให้อดีตนายกรัฐมนตรี มิเชล เดเบรส์ เป็นผู้ร่างแต่เพียงผู้เดียว รัฐธรรมนูญและการเมืองฝรั่งเศสจึงมีเสถียรภาพยั่งยืนมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
รัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐที่ 5 เป็นการถอนรากถอนโคนคติรัฐธรรมนูญเก่าๆและวิธีร่างรัฐธรรมนูญแบบเก่าๆ ของฝรั่งเศส สามารถกวาดล้างองค์ประกอบและระบบพฤติกรรมของนักการเมืองเก่าๆ ไปได้จนเกือบจะสิ้นซาก
ยังคงมีแต่ประเทศไทยเท่านั้นที่ยังยึดถือคติและวิธีโบราณของฝรั่งเศสไว้อย่างเหนียวแน่น รัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นใหม่แต่ละฉบับ นับได้ 18 เท่ากับฝรั่งเศส รวมทั้งฉบับที่ผมร่วมเป็นกรรมการในปี 2516 ล้วนทำให้การเมืองไทยเข้าตำรับยิ่งเปลี่ยนยิ่งเหมือนเดิม แต่ฉบับ 2535 -2540-2550 โฉดช้าสามานย์กว่าเดิมเสียอีก ทั้ง 3 ฉบับร่างโดย ส.ส.ร. ผิดกับที่ McIver ปรมาจารย์วิชารัฐศาสตร์ว่า รัฐธรรมนูญที่ดีจะต้องร่างโดย committee of a FEW experts เท่านั้น
รัฐธรรมนูญที่ยืนยงของญี่ปุ่น อินเดีย ฝรั่งเศส สาธารณรัฐที่ 5 แทบจะร่างด้วยคนคนเดียวด้วยซ้ำ รัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรฉบับแรกของโลกของอเมริกัน จริงๆแล้วก็ร่างโดยคนไม่เกิน 4 คนถึงแม้จะมีสมัชชากว่า 50 คนก็ตาม
ศาสตราจารย์ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ ยืนกระต่ายขาเดียวว่าเมืองไทยไร้รัฐบุรุษอย่างเดอโกล (ผมว่าไม่จริงอย่างน้อยเรามีอยู่หนึ่งที่เหนือกว่า) เมืองไทยจึงไม่มีทางรอดเงื้อมมือทุนนิยมสามานย์ใช้การเลือกตั้งผูกขาดอำนาจ ทำให้ประเทศตกต่ำ ระส่ำระสายและขัดแย้งฆ่าฟันกันอยู่มิรู้จบ
ระบบของเรามีแต่พรรคหัวหน้าตั้งซึ่งไม่มีวันยั่งยืน เป็นพรรคการเมืองจอมปลอมแท้จริงคือแก๊งเลือกตั้ง บางแก๊งเกือบจะเหมือนอั้งยี่ ครอบงำกำกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกระดิกไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญบังคับให้ ส.ส.สังกัดพรรค และส.ส.เป็นที่มาอย่างเดียวของนายกรัฐมนตรี
บทบัญญัติอุบาทว์นี้มีชาติเดียวในโลก โดยไม่มีใครรู้ว่านั่นเป็นการทำลายสิทธิขั้นพื้นฐานทางการเมือง ดูตัวอย่างอังกฤษต้นสัปดาห์นี้ ส.ส.อนุรักษ์พรรครัฐบาลแหกคอกไปโหวตกับฝ่ายค้านถึง 91 คน ไม่มีใครจะลงโทษหรือขับออกจากพรรคได้ ของเรามันอ้างทฤษฎีวินัยของพรรคตื้นๆ ไม่รู้โคตรมันไปเอามาจากที่ไหน เพราะในอเมริกาและฝรั่งเศสเขาก็เหมือนกัน ทั้งนี้ต้องโทษสื่อและนักวิชาการที่พากันขานรับอามิสของนักการเมืองกันหมด
ผมเคยเขียนไว้นับไม่ถ้วนหนแล้วว่า ร่างรัฐธรรมนูญแบบน้ำเน่า คือ แบบที่เราใช้ตั้งแต่ต้นมาจนถึงปัจจุบัน เราจะพากันไปตาย และเรื่องต่อให้สิบ ส.ส.ร.ก็ไม่เป็นประชาธิปไตย และเรื่อง กกต.ก็คือตัวถ่วงประชาธิปไตย และเรื่องจะหามาตรฐานที่ไหนจากศาลรัฐธรรมนูญ (ตั้งแต่ครั้งคดีซุกหุ้น ซึ่งกว่าครึ่งของศาลไม่เข้าใจหลัก mala prohibita คือความผิดฐานกระทำสิ่งที่กฎหมายห้าม ซึ่งจะต้องวินิจฉัยว่าผิดลูกเดียว จะไปคำนึงถึงเจตนาและผลทางการเมืองมิได้ ซ้ำยังหักดิบคำพิพากษาเสียอีก) ต่อให้ศาลตัดสินว่าการร่างรัฐธรรมนูญเป็นการล้มล้างประชาธิปไตยและให้ยุบพรรค ผมแน่ใจว่าการเมืองจะเข้าอีหรอบเดิมอีก คือ โต้เถียงขัดแย้งกันต่อไป เดินขบวนห้ำหั่น ฆ่าฟันกันต่อไป ยึดอำนาจกันต่อไป หรือเลือกตั้งน้ำเน่ากันต่อไป
กลไกของระบบราชการและองค์กรอิสระ ซึ่งตั้งขึ้นมาชุ่ยๆ ขัดกับหลักวิชา ล้วนแต่ไปลอกต่างประเทศเขามาโก้ๆ แบบหัวมงกุฎท้ายมังกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำองค์กรที่เหมาะกับสาธารณ-สมาพันธรัฐมาใช่กับเอกรัฐราชอาณาจักร ทั้งโครงสร้างทางการเมือง รัฐธรรมนูญ ระบบราชการ ระบบพรรคการเมืองและระบบเลือกตั้งแบบเก่า ก็จะนำบ้านเมืองไปสู่ห้วงเหวแห่งหายนะเหมือนเดิม แต่ต้องยกกำลัง 2 เพราะส่วนใหญ่โอนเอียงไปตามระบอบทักษิณ และความสามารถชั่วร้ายแบบระบอบทักษิณ การเลือกตั้งคราวหน้าระบอบทักษิณภายใต้พรรคการเมืองชื่อใหม่ก็จะชนะถล่มทลายยิ่งกว่าเดิม คราวนี้อาจจะมีประเทศอภิมหาอำนาจเข้ามาแทรกแซงช่วยเหลืออย่างเปิดเผย ต่างกับคราวที่แล้วซึ่งกำบังกายหายตนมาในรูปแบบต่างๆ ศาลและกองทัพของเราก็จะไร้ความหมายทั้งในและนอกประเทศอย่างสิ้นเชิง
ผมจึงแน่ใจว่า “ยิ่งเปลี่ยนก็ยิ่งเหมือนเดิม หากไม่ขุดรากถอนโคน”
ขุดรากถอนโคนอะไร ขุดรากถอนโคนรัฐธรรมนูญและขบวนการแก้รัฐธรรมนูญแบบเดิม ภายใต้การครอบงำ บังคับขู่เข็ญ ลวงล่อหลอก และซื้อหากรรมการและประชาชนเหมือนงัวเหมือนควาย
ดร.อมร ตั้งข้อสังเกตไว้ ตราบใดที่หมายังไม่เลิกกินขี้ นักการเมืองโกงที่ไหนจะยอมแก้ไขกติกาการเมืองที่ทำลายผลประโยชน์ตนเอง
การปฏิวัติรัฐธรรมนูญ (มิใช่ปฏิวัติยึดอำนาจแบบอำมาตย์) เท่านั้น จึงจะขุดรากถอนโคนระบบทุนนิยมสามานย์และนักการเมืองโคตรโกงหรือโกงทั้งโคตรได้
ประชาชนไทยจะได้เงยหน้าอ้าปากได้ ไม่ต้องกลัวน้ำมันแพง และหนี้ที่ถีบทะยานขึ้นถึงครัวเรือนละกว่าหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท ในขณะที่นักการเมืองและบริวารพากันรวยเอาๆ แซงขึ้นหน้าผู้นำประชาธิปไตยต่างประ เทศไม่รู้กี่เท่าๆ
เอาไหมล่ะ พี่น้องไทย ทั้งแดงและเหลืองมาช่วยกันปฏิวัติการเมือง มิใช่แก้รัฐธรรมนูญแบบชุ่ยๆ โดยนักการเมืองชุ่ยๆ แบบคราวที่แล้ว (ประชาธิปัตย์) และครั้งนี้(ไทยรักไทย-เพื่อไทย) ยิ่งเปลี่ยนก็ยิ่งเหมือนเดิม หรือเลวยิ่งกว่าเดิม ทั้งรัฐธรรมนูญและชีวิตของประชาชน
จงดูตัวอย่าง 10 ประเทศยอดประชาธิปไตย ที่ประชาชนมีทั้งเสรีภาพและความมั่งคั่ง 8 ใน 10 ของประเทศนั้นมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ส่งนักวิชาการทั้งแดงและเหลืองไปศึกษาดูบ้างว่าเขาปฏิวัติรัฐธรรมนูญกันอย่างไร