ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์- วันนี้มีเรื่องยุ่งๆ ที่ผมกับอิง (ภรรยา) ไม่สบายใจ...ผมไม่เคยมีความคิดเล่นการเมืองและไม่อยากเกี่ยวข้องกับปัญหาการเมืองไม่ว่าจะเบื้องหน้าหรือเบื้องหลัง ผมจะชอบใจใคร พรรคไหนขอใช้ดุลยพินิจตัดสินใจด้วยตนเองตอนไปเลือกตั้งเมื่อถึงเวลาตามหน้าที่ของประชาชนชาวไทยอย่างแน่นอน
“กรณีทำธุรกิจอสังหาฯ เรียกง่ายๆ ก็คือการซื้อมาขายไป ที่ดินเพลินจิต 1.5 ไร่ พร้อมสัญญาการเช่าปั๊มน้ำมันให้กับอีกบริษัทหนึ่งในราคาที่ผมพอใจตามปกติแค่นั้น ส่วนกรณีการซื้อที่ที่หัวหิน ก็เป็นการลงทุนกับเพื่อนแทนการฝากเงินที่แบงก์
“ผมยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจใคร พรรคการเมืองไหน
“ปล่อยผมไปตามทางธุรกิจเล็กๆ ของผมเถอะครับ
“ยืนยันหนักแน่นอีกครั้งครับ”
ตัน อิง และครอบครัว ภาสกรนที
นั่นคือ ข้อความที่ถูกส่งผ่านออกมาบนเฟซบุ๊กของ “ตัน ภาสกรนที” หลังจาก “สำนักข่าวอิศรา” (www.isranews.org)ได้เปิดข้อมูลและสายสัมพันธ์ทางธุรกิจของเขากับ “โอ๊ค-พานทองแท้ ชินวัตร” ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร และ “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” พิธีกรนักเล่าข่าวผู้ร่ำรวยด้วย ทรัพย์ศฤงคารแห่งช่อง 3 จนกลายเป็นทอล์ก ออฟ เดอะทาวน์ที่ดังกระหึ่มไปทั้งบ้านทั้งเมือง
ทั้งนี้ แม้ตันจะปฏิเสธถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวที่มีกับเสี่ยโอ๊คและสรยุทธ แต่จากฐานข้อมูลที่ถูกเปิดเผยออกมา ทำให้ยากยิ่งที่จะเชื่อว่านี่เป็นแค่การทำธุรกิจเหมือนอย่างที่ตันกล่าวอ้างและอยากให้สังคมเชื่อ
เกิดอะไรขึ้นกับตัน ทำไมและอะไรคือเบื้องหน้าและเบื้องหลังที่ทำให้เขาตัดสินใจทำธุรกิจกับตระกูลชินวัตรและสรยุทธ
เหล่านี้คือปมปริศนาที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาคำตอบ
**ตันกับพานทองแท้ สมการธุรกิจกับการเมือง
แน่นอน ไม่มีใครปฏิเสธความเป็นนักธุรกิจและนักการตลาดมือฉมังของ ”ตัน ภาสกรนที” ไม่เช่นนั้นแล้วเขาคงไม่สามารถปลุกปั้นชาเขียว “โออิชิ” ให้โด่งดัง กระทั่งสามารถขายหุ้น บริษัท โออิชิ กรุ๊ป (OISHI) จำนวน 103.125 ล้านหุ้น หรือ 43.9% ในราคา 32.50 บาท รวมเป็นมูลค่า 3,352 ล้านบาทให้กับกลุ่มบริษัทไทยเบฟเวอเรจ ของ “เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี” ' เมื่อวันที่ 30 ก.ย.2551 ก่อนที่จะเปิด บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด เพื่อทำธุรกิจในลักษณะเดียวกันจนเป็นที่โจษขานกันทั้งบ้านทั้งเมืองถึงความมีธรรมาภิบาลทางธุรกิจ
และก็แน่นอนอีกเช่นกันว่า ความเป็นนักการตลาดของตันย่อมดำเนินควบคู่ไปกับความเป็น “นักสร้างภาพ” ที่ไม่เป็นสองรองใครเช่นกัน
ดังนั้น สังคมจึงยังไม่ปักใจเชื่อในสิ่งที่ตันเขียนเอาไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่าจะเป็นความจริง
ทั้งนี้ ความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงและเชื่อมโยงระหว่างตัน ภาสกรนที กับโอ๊ค พานทองแท้ เกิดขึ้นจากบริษัทที่มีชื่อว่า “เพลินจิตอาเขต”
บริษัท เพลินจิตอาเขต จำกัด เดิมชื่อบริษัท เสถียรสุต จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2511 ทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท ปัจจุบันเพิ่มเป็น 200 ล้านบาท ประกอบธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ ตั้งอยู่เลขที่ 1291/1 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทมหานคร
ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์บันทึกรายชื่อผู้ถือหุ้นบริษัท เพลินจิตอาเขต จำกัด ณ วันที่ 23 สิงหาคม 2554 จำนวน 5 รายด้วยกันคือ
1.บริษัท ตัน แอสเซ็ท จำกัด 76,000 หุ้น หรือ 38% ของทุนจดทะเบียน ซึ่งบริษัทแห่งนี้มีทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท ประกอบธุรกิจให้เช่าและบริการพื้นที่ ธุรกิจสนามฟุตบอล มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 คนคือนายตัน ภาสกรนที นางสาววริษา ภาสกรนที และนางสาวสุนิสา สุขพันธุ์ถาวร
2.นางกิติมา ภาสกรนที 44,000 หุ้น หรือ 22%
3.นางสาวอารยา พานิชายุนนท์ 40,000 หุ้นหรือ 20%
4.นายตัน ภาสกรนที 30,000 หุ้น หรือ 15%
5.นางสาวสุภาภรณ์ เจริญโสภา 10,000 หุ้น หรือ 5%
ต่อมาวันที่ 19 กันยายน 2554 ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงกับบริษัทแห่งนี้ เมื่อนายตันได้ตัดสินใจขายหุ้นให้กับบริษัท เวิร์ธ ซัพพลายส์ จำกัด โดยข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าบันทึกรายชื่อผู้ถือหุ้นใหม่จำนวน 3 ราย ได้แก่
1.บริษัท เวิร์ธ ซัพพลายส์ จำกัด 199,998 หุ้น
2.นางกาญจนาภา หงส์เหิน 1 หุ้น
และ 3.นายสมบูรณ์ คุปติมนัส 1 หุ้น
แน่นอน สังคมย่อมรับรู้ว่า นางกาญจนาภา หงส์เหินก็คือเลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร
ขณะที่เมื่อตรวจสอบความเป็นมาเป็นไปของบริษัท เวิร์ธ ซัพพลายส์ จำกัด ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น “บริษัท เรนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด” ก็ทำให้รับรู้ว่า บริษัทแห่งนี้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยมีคนในครอบครัว นช.ทักษิณ ชินวัตรเป็นเจ้าของ และเมื่อค้นลึกลงไปก็พบว่า บริษัทแห่งนี้มีกรรมการ 3 คนประกอบด้วย นายพานทองแท้ ชินวัตร น.ส.แพทองธาร ชินวัตรและนางกาญจนาภา หงส์เหิน เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน
ส่วนผู้ถือหุ้นประกอบไปด้วย น.ส.พินทองทา ชินวัตร ถือหุ้น 235,939,999 หุ้น หรือ 51.29% นายพานทองแท้ ชินวัตร 200,000,100 หุ้น หรือ 43.47% น.ส.แพทองธาร ชินวัตร 14,099,999 หุ้น หรือ 3.06%คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ 9,959,900 หุ้น หรือ 2.16% (หุ้นละ 10 บาท)
ทั้งนี้ สำหรับนายพานทองแท้นั้น นอกจากบริษัท เพลินจิต อาเขต จำกัดที่เขาซื้อจากนายตันแล้ว เสี่ยโอ๊คเจ้าของวลีดังสะท้านเมือง “อย่าให้พ่อกูกลับมาได้ก็แล้วกัน” ยังรั้งตำแหน่งกรรมการอีก 4 บริษัทคือ บริษัท นิวโอ๊ค จำกัด บริษัท ว๊อยซ์ทีวี จำกัด บริษัท โอคานิท จำกัดและบริษัท ฮาวคัม สตูดิโอ จำกัด
นายตันกล่าวถึงดีลธุรกิจกับตระกูลชินวัตรกับสำนักข่าวอิศราเอาไว้ว่า “หลังจากเป็นข่าวไปก็ไม่สบายใจ เพราะคนบางส่วนอาจจะอ่านแค่พาดหัว แต่ยังไม่ได้ดูเนื้อข่าว แล้วก็ไปคิดว่าผมเป็นลูกน้องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่เป็นความจริง กระทั่งช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ (9 ก.ค.) ก็ยังมีคนมาถามว่าผมเป็นพวก พ.ต.ท.ทักษิณตั้งแต่เมื่อไร ผมเคยเจอนายพานทองแท้ครั้งเดียวเมื่อ 7ปีที่แล้ว ตอนมากินข้าวที่ร้าน Log Home ของผมในซอยทองหล่อ พร้อมกับลูกชายของคุณดารุณี กฤตบุญญาลัย (นายไอยคุปต์ กฤตบุญญาลัย หรือน้ำนิ่ง เพื่อนสนิทนายพานทองแท้) ก็มีคนมาบอกว่า นายพานทองแท้มากินข้าว ผมก็ลงไปทักทาย ก็แค่นั้น ส่วนคุณทักษิณเคยเจอไม่กี่ครั้งตอนที่ไปทำเนียบรัฐบาล..นานกี่ปีแล้วก็จำไม่ได้”
นอกจากนี้ นายตันยังกล่าวถึงเบื้องหลังการขายบริษัท เพลินจิตอาเขต จำกัด ซึ่งครอบครองที่ดินย่านเพลินจิต 1.5 ไร่ พร้อมสัญญาการเช่าปั๊มน้ำมัน ให้กับบริษัท เวิร์ธ ซัพพลายส์ จำกัด ว่า มีโบรกเกอร์คนไทยชื่อ “โทนี่” มาติดต่อของซื้อบริษัทดังกล่าวจากตนเอง ก็พูดคุยกันจนตกลงได้ราคาที่พอใจ พอถึงวันจ่ายเงินถึงเพิ่งรู้ว่าบริษัทที่มาขอซื้อเป็นของนายพานทองแท้
“ผมรู้มาว่าเขาจะซื้อไปทำโรงแรมขนาดเล็กๆ แต่ตอนนี้ยังทำไม่ได้ เพราะปั๊มน้ำมันคาลเท็กซ์พร้อมด้วยมินิมาร์ทในที่ดินดังกล่าว ยังมีสัญญาการเช่าอีก 5 ปี” นายตันกล่าว
อย่างไรก็ตาม นายตันปฏิเสธที่จะเปิดเผยว่า ขายบริษัทอสังหาฯ ดังกล่าวให้กับบริษัทของนายพานทองแท้ในราคาเท่าใด
แม้นายตันจะปฏิเสธถึงความสัมพันธ์กับตระกูลชินวัตรและยกมือไหว้อ้อนวอนว่า อย่านำเรื่องดังกล่าวไปเชื่อมโยงทางการเมือง พร้อมกล่าวอ้างเหตุผลสารพัด แต่คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ จะเป็นไปได้หรือที่นายตันจะไม่รู้ว่า กำลังทำธุรกิจกับใคร และใครเป็นเจ้าของธุรกิจที่ตัวเองเจรจาต้าอ่วยกันอยู่
เพราะต้องไม่ลืมว่า นี่ไม่ใช่การเล่นขายของ หากแต่คือการดีลธุรกิจที่มีมูลค่าไม่น่าจะต่ำกว่าหลักร้อยล้านหรืออาจจะพันล้านเสียด้วยซ้ำไป นายตันจะไม่ ตรวจสอบให้ถี่ถ้วนเชียวหรือว่า โบรกเกอร์คนไทยที่ชื่อโทนี่นั้นเป็นตัวแทนของใคร
ดังนั้น เหตุผลของนายตันจึงฟังไม่ขึ้นว่า เพิ่งรับรู้ว่าเจ้าของเม็ดเงินก้อนมหึมาที่ตนเองทำธุรกิจด้วยนั้นคือนายพานทองแท้ในวันที่จ่ายเงินจ่ายทองกัน
เป็นไปได้หรือไม่ที่นายตันจะต้องการสานสัมพันธ์กับตระกูลชินวัตรที่กำลังเถลิงอำนาจปกครองประเทศอยู่ในขณะนี้เพื่อสานต่อธุรกิจของเขาให้ก้าวไปข้างหน้า ยิ่งในระยะหลังเสี่ยโอ๊คได้รับการสถาปนาเป็นนักรบไซเบอร์เพื่อต่อกรกับทุกคนที่บังอาจมาวิพากษ์วิจารณ์พ่อและอาปูด้วยแล้ว ชื่อชั้นของเสี่ยโอ๊คจึงน่าจะหอมหวนไม่เบา
ที่สำคัญคือถ้าหากย้อนกลับไปอ่านคำให้สัมภาษณ์ของนายตันที่กล่าวถึงการเจอนายพานทองแท้ครั้งแรกที่บอกว่า “ผมเคยเจอนายพานทองแท้ครั้งเดียวเมื่อ 7ปีที่แล้ว ตอนมากินข้าวที่ร้าน Log Home ของผมในซอยทองหล่อ พร้อมกับลูกชายของคุณดารุณี กฤตบุญญาลัย” ก็อาจจะทำให้การเชื่อมต่อจิ๊กซอว์ดังกล่าวชัดเจนขึ้น
เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็คือ แบรนด์โออิชิของนายตันก่อนที่จะขายให้กับเจริญ สิริวัฒนภักดีนั้น หนึ่งในหุ้นส่วนคนสำคัญที่ช่วยกันก่อร่างสร้างตัวมาตั้งแต่เริ่มแรกนั้นมีชื่อของ “ดารุณี กฤตบุญญาลัย” ไฮโซที่ประกาศตัวเป็นคนเสื้อแดงชัดเจนทั้งตัวและหัวใจ
ที่สำคัญคือเจ๊ดา เสื้อแดงคนนี้เคยเป็นถึงประธานที่ปรึกษาโออิชิกรุ๊ปมาแล้ว
**ตันกับสรยุทธ สมการธุรกิจกับสื่อมวลชน
ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างนายตันกับนายสรยุทธ์ นักเล่าข่าวชื่อดังแห่งช่อง 3 นั้น ในความเป็นจริงแล้วสังคมก็พอจะเห็นร่องรอยดังกล่าวบ้างมาเป็นระยะๆ เพราะนายตันมักปรากฏตัวในรายการของนายสรยุทธ์บ่อยครั้ง จนมีการตั้งข้อสังเกตถึงความผิดปกติดังกล่าว เฉกเช่นเดียวกับนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ที่มักโผล่ในรายการของนายสรยุทธเป็นประจำ
แต่ในที่สุดความสัมพันธ์ดังกล่าวก็แจ่มชัดขึ้น เมื่อสำนักข่าวอิศราเจ้าเก่าได้พบความเชื่อมโยงระหว่างนายตันกับนายสรยุทธผ่านสุภาพสตรีชื่อ “นางสาวสุกัญญา แซ่ลิ่ม” ทั้งนี้ เนื่องเพราะเธอผู้นี้รั้งตำแหน่งกรรมการใน 3 บริษัทด้วยกันคือ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด บริษัท หัวหิน เอส เอส แอสเซ็ท จำกัดและบริษัท ดีเอสที แอสเซ็ท จำกัด
แน่นอน สังคมย่อมคุ้นชื่อ บริษัท ไร่ส้ม จำกัดมากกว่าบริษัทอื่นๆ เพราะเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่า บริษัทแห่งนี้มีเจ้าของชื่อ สรยุทธ สุทัศนะจินดา
นี่คือกุญแจดอกสำคัญยิ่ง
เนื่องจากเมื่อตรวจสอบข้อมูลผู้ถือหุ้นบริษัท ดีเอสที แอสเซ็ท จำกัดที่นางสาวสุกัญญา แซ่ลิ่มนั่งเป็นกรรมการก็พบว่า ผู้ถือหุ้นซึ่งมีอยู่ 3 รายประกอบไปด้วยนายตัน ภาสกรนที จำนวน 350 หุ้น นางอิง ภาสกรนที(ภรรยาของนายตัน) จำนวน 350 หุ้น และนางสาวสุกัญญา แซ่ลิ่ม จำนวน 300 หุ้น
ที่เด็ดไปกว่านั้นคือ สถานที่ตั้งของบริษัท ดีเอสที แอสเซ็ทนั้นอยู่ที่ เลขที่ 8 หมู่บ้านหมู่บ้านอิสระ ซอยรามคำแหง 24 แยก 26 (หมู่บ้านอิสระ) แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นบ้านของนายตันเอง
คำถามที่เกิดขึ้นในฉับพลันทันทีก็คือ นางสาวสุกัญญา แซ่ลิ่มผู้นี้ใช่คือตัวแทนในการทำธุรกิจของนายสรยุทธหรือไม่ เพราะการปรากฏชื่อของนางสาวสุกัญญาเป็นกรรมการทั้งในบริษัท ไร่ส้ม จำกัด และบริษัทดีเอสที แอสเซ็ท จำกัด ย่อมมิใช่เรื่องบังเอิญ
กล่าวสำหรับนายสรยุทธ ไม่มีใครแปลกใจหรือตั้งข้อสงสัยว่า เขามีเงินมีทองร่ำรวยมาจากไหน เพราะจากข้อมูลพบว่า บริษัทที่เขาเป็นเจ้าของ ทั้งบริษัท ไร่ส้ม จำกัด และบริษัทชัดถ้อยชัดคำ จำกัด มีรายได้ในแต่ละปีเข้าขั้นอู้ฟู่ทีเดียว
กล่าวคือ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด มีกำไรสุทธิต่อเนื่องทุกปี ปี 2553 รายได้ 389,835,726 บาท กำไรสุทธิ 136,976,611 บาท สินทรัพย์ 190,488,689 บาท
ขณะที่บริษัท ชัดถ้อยชัดคำ จำกัด ก็มีกำไรสุทธิต่อเนื่องทุกปีเช่นกัน ปี 2553 รายได้ 65,696,914 บาท กำไรสุทธิ 24,604,786 บาท สินทรัพย์ 38,219,004 บาท
แต่คำถามก็คือ แล้วนายสรยุทธซึ่งเป็นนักธุรกิจสื่อชื่อดังกับนายตันนักธุรกิจเจ้าของอิชิตันสนิทสนมกันถึงขั้นควักเงินมาทำธุรกิจร่วมกันเลยหรือ
และผู้ที่มาเฉลยให้เกิดความกระจ่างในเรื่องนี้จะเป็นใครมิได้เลยนอกจากนายตัน ภาสกรนที
“ไม่ได้ทำธุรกิจกับคุณสรยุทธ์แต่ไปร่วมหุ้นกันซื้อที่ดินที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยตั้งใจว่า เมื่อถึงเวลาหนึ่งก็จะไปตกลงแบ่งที่ดินกัน ตอนแรกผมตั้งใจไปซื้อคอนโดที่หัวหิน แต่คิดๆ ดูแล้ว ถ้าซื้อคอนโดจะมีค่าใช้จ่ายมาก เพราะตอนนี้ ผมก็มีคอนโดอยู่ที่ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ปรากฏว่าต้องเสียค่าดูแลเดือนละ 1-2 แสนบาท เลยตัดสินใจซื้อเป็นที่ดินจะดีกว่า สาเหตุที่ซื้อที่ดินเพราะดูแล้วว่า น่าจะนำไปใช้อะไรในอนาคตได้ ดีกว่านำไปฝากธนาคารที่แม้จะได้ดอกเบี้ย แต่ก็ได้เงินไม่มากนัก” นายตันเปิดเผยกับสำนักข่าวอิศรา
นอกจากนี้ นายตันยังกล่าวถึงความสัมพันธ์กับนายสรยุทธว่า รู้จักกันตั้งแต่นายสรยุทธยังอยู่จัดรายการอยู่ที่สถานีโทรทัศน์เนชั่น แชนแนล เมื่อนายสรยุทธ์มาจัดรายการอยู่ที่สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวี หรือช่อง 9ก็ยังเคยไปให้สัมภาษณ์ 2-3 ครั้ง กระทั่งมาทำรายการเล่าข่าว ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสี หรือช่อง 3 ตนก็เคยไปออกรายการของเขาตลอด แต่สาเหตุที่ทำให้คนรู้สึกว่าตนสนิทสนมกับนายสรยุทธ์ น่าจะมาจากช่วงน้ำท่วม ที่ตนเองเคยไปบริจาคเงินตามสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ ปรากฏว่าไม่มีใครรับ โดยอ้างว่าต้องรอรัฐบาลก่อน พอช่อง 3 ตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม จึงนำถุงยังชีพ 5 หมื่นถุงไปให้ เพราะไม่มีทางขนไปส่งให้ผู้ประสบภัยเองได้ เลยต้องให้ช่อง 3 ขนไปให้
ย้ำกันอีกครั้ง…ไม่มีใครว่า หรือมีข้อสงสัยถึงความสัมพันธ์ระหว่างนายตันกับนายสรยุทธว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่คำถามที่เกิดขึ้นฉับพลันทันทีเช่นกันก็คือ นายตันกับนายสรยุทธมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งถึงขั้นทำธุรกิจร่วมกันหรือซื้อที่ดินร่วมกันเลยหรือ
ไม่ต้องใช้ภูมิปัญญาอะไรมากมาย แค่ใช้สามัญสำนึกก็ย่อมต้องอดตั้งข้อสงสัยถึงประเด็นดังกล่าวไม่ได้ เพราะการซื้อที่ดินที่หัวหิน ไม่ใช่มีเงินแค่หลักหมื่นหลักแสนก็สามารถซื้อได้ แต่ต้องมีเงินเป็นหลักล้าน และถ้าจะว่าไปแล้วน่าจะหลายล้านเสียด้วยซ้ำไป
ดังนั้น เป็นไปได้หรือไม่ว่า นี่คืออีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้สังคมมักเห็นนายตันไปปรากฏตัวในรายการของนายสรยุทธอยู่เสมอ ยิ่งในช่วงมหาอุทกภัย 2544 ที่โรงงานอุตสาหกรรมและธุรกิจใหญ่น้อยต้องประสบชะตากรรมหนักหนาสาหัสไม่แพ้กัน แถมบางรายเชื่อว่าเสียหายมากว่าโรงงานใหม่ของอิชิตันเสียด้วยซ้ำไป แต่ทำไมนายตันถึงมานั่งหน้าแป้นแล้นโอดครวญถึงความเสียหายใน รายการของนายสรยุทธเพื่อเรียกคะแนนสงสารและทำการตลาดให้กับแบรนด์อิชิตันได้อย่างสุดเนียน
ความสัมพันธ์ระหว่างนายตันกับนายสรยุทธในทางธุรกิจมีมากไปกว่าการซื้อที่ดินร่วมกันที่หัวหินแค่นั้นหรือ หรือมีอะไรซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากไปกว่านี้
หรือนี่เป็นอีกหนึ่งสมการธุรกิจของนายตันและนายสรยุทธที่บังเอิญลงตัวอย่างร้ายกาจ
แต่ที่ไม่น่าเชื่อก็คือ ขณะที่สังคมเพียงตั้งข้อสงสัยถึงความสัมพันธ์ของทั้ง 3 คน เสี่ยโอ๊ค-พานทองแท้ถึงกับลงทุนแก้ตัวให้ทั้ง 2 คนผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Oak Panthongtae เลยทีเดียว
“ที่ต้องขอโทษพี่ทั้ง 2 ก็เพราะผมทราบดีครับว่า โทษของผู้ที่ถูกหาว่ามาเกี่ยวพันกับผมและครอบครัวนั้น หากการเมืองเปลี่ยนขั้วแล้วท่านจะโดนอะไรบ้าง และก็ทราบดีครับว่าผู้ที่เป็นปฏิปักษ์กับผมและครอบครัวนั้น ที่ผ่านมาได้รับการปูนบำเหน็จอย่างไรบ้าง ผมจึงไม่อยากให้ใครจะต้องมาเดือดร้อนเพราะผมเป็นต้นเหตุครับ”
“ในมุมมองของผมพี่ทั้ง 2 มีความเป็นกลางทางการเมืองครับ โดยเฉพาะพี่สรยุทธฯ พี่อาจเคยพูดในสิ่งที่ถูกใจพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ก็ย่อมไม่ชอบ พูดถูกใจพรรคประชาธิปัตย์พรรคเพื่อไทยก็ย่อมไม่ชอบ แต่ทั้ง 2 พรรคฯ ก็ต้องมีน้ำใจนักกีฬาและยอมรับฟังและน้อมรับสิ่งที่สื่อมวลชนสะท้อนความคิดเห็นของพี่น้องประชาชนมาวิเคราะห์และปรับปรุงตัว ทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมมากขึ้นครับ”
ถ้าถอดรหัสจากคำแก้ตัวของนายพานทองแท้ เป็นไปได้หรือไม่ว่า จริงๆ แล้วความสัมพันธ์ระหว่างนายตัน นายพานทองแท้และนายสรยุทธอิรุงตุงนังมากไปกว่าหลักฐานที่ปรากฏต่อสังคม และสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่า เป็นสมการที่ลงตัวระหว่างภาคธุรกิจ การเมืองและสื่อสารมวลชน
ถึงตรงนี้ แม้ไม่มีใครรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วความสัมพันธ์ของตัน ภาสกรนที ชินวัตร พานทองแท้ ชินวัตรและสรยุทธ สุทัศนะจินดาลึกซึ้งหรือแนบแน่นเพียงใด รวมถึงมีการประกอบกิจการอื่นๆ ร่วมกันอีกหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ คือ สังคมได้เห็นถึงร่องรอยซึ่งผิดปกติบางประการของทั้ง 3 คนได้บ้างไม่มากก็น้อย