xs
xsm
sm
md
lg

วอลุ่มเทรดหุ้นร่วงตลท.ปรับแผนกระตุ้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน – ตลาดหลักทรัพย์ฯปรับแผนเล็งจัดโปรโมชั่นกระตุ้นวอลุ่มซื้อขาย หลังเดือนมิ.ย.ลดลงเหลือ 2.6 หมื่นล้านบาทจาก ผลกระทบปัญหาวิกฤตหนี้ยุโปร หวั่นสิ้นปีไม่ถึงเป้าที่ 3.1- 3.2 หมื่นล้านบาท ต่อวัน “จรัมพร”ฟุ้ง ไตรมาส2/55 วอลุ่มเทรดตลาดหุ้นไทยสูงสุดอันดับ 1 ในภูมิภาคอาเซียน แย้มแม้ครึ่งปีแรกหุ้นใหม่เพิ่มมาร์เกตแคปเพียง 4.46 หมื่นล้านบาท แต่มั่นใจสิ้นปีนี้ทำได้ตามเป้า า 1.2 แสนล้านบาท

นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯมีความกังวลในเรื่องภาวะตลาดหุ้นไม่ดี ทำให้มีผลกระทบต่อเป้าหมายการเพิ่มมูลค่าการซื้อขายปีนี้อาจจะไม่เป็นไปตามเป้า จากปัจจัยปัญหาวิกฤตหนี้ยุโรป ซึ่งในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานั้นมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ 2.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งลดลงจากเฉลี่ย 3 หมื่นล้านบาท โดยตลาดหลักหลักทรัพย์ฯจะมีการหารือกับทางฝ่ายจัดการว่าจะมีการดำเนินการอย่างไรในช่วง ครึ่งปีหลัง ที่จะทำให้มูลค่าการซื้อขายปีนี้เป็นไปตามเป้าที่เฉลี่ยต่อวัน 3.1-3.2 หมื่นล้านบาทต่อวัน โดย6 เดือนแรกปีนี้เฉลี่ย 2.95 หมื่นล้านบาทต่อวัน
ทั้งนี้จากการที่ภาวะตลาดหุ้นไม่ดีแนวทางการเพิ่มมูลค่าการซื้อขายนั้น จะเป็นการขยายฐานนักลงทุนหน้าใหม่ การขยายฐานนักลงทุนผ่านระบบอินเตอร์เน็ตฯ โดยตลาดหลักทรัพย์ฯจะมีการทำการตลาดร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์ในการจัดโปรโมชั่นต่างๆ แต่จากการที่นักวิเคราะห์ประเมินนั้นยังคงมองว่าทิศทางตลาดหุ้นไทยจากนี้ก็ยังคงเป็นขาขึ้นอยู่แต่จะมีความผันผวนสูงมาก โดยตลาดหุ้นไทยถือว่ามีความน่าสนใจลงทุนจากไตรมาส2/54 ดัชนีมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น14..32% ซึ่งอยู่อันดับที่ 3 รองจากตลาดหุ้นฟิลลิปปินส์ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 20% และ เวียดนามที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 20.15% ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ อยู่ในอันดับ 1 ภูมิภาคหุ้นอาเซียน
“จากที่เดือนมิ.ย.วอลุ่มการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันลดลงอยู่ที่ 2.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งทางฝ่ายจัดการของตลดาหลักทรัพย์ฯจะมีการหารือว่าจะมีการดำเนินการอย่างไรบ้าง เพื่อที่จะเพิ่มมูลค่าการซื้อขายปีนี้ให้เป็นไปตามเป้า เพราะ ในช่วงครึ่งปีหลัง ยังมีความเสี่ยงในเรื่องภาวะตลาดที่ไม่ดี จากผลกระทบปัญหาหนี้วิกฤตยุโรป ทำให้เม็ดเงินลงทุนจากหุ้นไหลไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น บอนด์ของสหรัฐอเมริกา แต่หากปัญหาคลี่คลายเงินก็จะกลับมาลงทุนในหุ้น”นายจรัมพร กล่าว
อย่างไรก็ตามตลาดหลักทรัพย์ฯมีแผนที่จะไปนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์)ต่างประเทศต่อเนื่อง ซึ่งในวันที่ 29 กรกฎาคมถึง วันที่ 4 สิงหาคม จะมีการเดินทางไปพบนักลงทุนที่ญี่ปุ่น และ แคนาดา จากในช่วง ไตรมาส 2/55 ที่ได้เดินทงไปที่ราชอาณาจักรบาร์เรน และ รัฐกาตาร์ สาธารณรัฐประชาชนจีน และ สรัฐอเมริกา ส่วนการเปิดการซื้อขายอาเชียนลิงค์ มีความคืนหน้า คาดว่าจะมีการเปิดการเชื่อมโยงและซื้อขายได้หลังระบบซื้อขายใหม่ของตลาดเริ่มใช้งานภายในไตรมาส3/55นี้
สำหรับการเป้าหมายการเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(มาร์เกตแคป)ของบริษัทเข้าใหม่ที่ 1.2 แสนล้านบาท นั้นตลาดหลักทรัพย์ฯมั่นใจว่าสามารถทำได้ตามเป้า แม้ในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้จะอยู่ที่ 4.46 หมื่นล้านบาท เนื่องจาก ปัจจุบันมีบริษัทที่อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)จำนวน 11 บริษัท มาร์เกตแคปรวมประมาณ 2 หมื่นล้านบาท และมีบริษัทอีกจำนวน 15 บริษัท ที่อยู่ระหว่างรอให้เกณฑ์การออกเสนอขายกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน และ เกณฑ์การออกเสนอขายหุ้นของบริษัทที่ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (โฮลดิ้งคอมพานี)
นายจรัมพร กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทจดทะเบียนมีการระดมทุนในตลาดรอง จำนวน 6.04 หมื่นล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ปีนี้จะอยู่ที่ 7.5 หมื่นล้านบาท มีบัญชีซื้อขายณ เดือนพฤษภาคมนี้อยู่ที่ 7.39 แสนบัญชี จากเป้าหมายปีนี้ที่จะเพิ่มเป็น 7.4-7.5 แสนบัญชี ส่วนเป้าหมายการเพิ่มมูลค่าการซื้อขายผ่านระบบออนไลน์ในส่วนของนักลงทุนบุคคลนั้นอยู่ที่ 50.50% ซึ่งทะลุเป้าหมยที่ตั้งไว้ปีนี้จะอยู่ที่ 50% ของมูลค่าการซื้อขายของผู้ลงทุนบุคคล ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ปริมาณการซื้อขายอนุพันธ์เฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 4.37 หมื่นสัญญาต่อวัน โดยมีเป้าหมายปีนี้จะอยู่ที่ 5.5 -5.7 หมื่นลัญญาต่อวัน
นางนงราม วงษ์วานิช รองผู้จัดการ สายงานปฏิบัติการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า จากตลาดหลักทรัพย์ฯได้มีการจัดทำแผนแม่บทงานปฏิบัติการ (Operation master plan) ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯได้ผลการศึกษาแผนดังกล่าวแล้ว โดยจะมีการนำเสนอผลการศึกษาให้กับคณะกรรมการ (บอร์ด)ตลาดหลักทรัพย์ฯในวันที่ 18 กรกฎาคม นี้ ซึ่งผลศึกษานั้นแนะนำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯมีการดำเนินการหลายเรื่อง เช่น เสนอให้บริหารความเสี่ยงจากการชำระราคาในระบบปัจจุบัน(เรียลไทม์) จากปัจจุบันจะทำได้ในสิ้นวัน ซึ่งจะทำให้ตลาดหลักทรัพย์ทราบถึงความเสี่ยงของบริษัทหลักทรัพย์
ทั้งนี้วัตถุประสงค์การทำ Operation master planเนื่องจาก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของตลาดหลักทรัพย์ และลดต้นทุนในการทำงาน ซึ่งตามแผนนั้นจากที่ตลาดหลักทรัพย์ฯจะมีการเปลี่ยนระบบเทรดใหม่ในไตรมาส3/55 นี้ แต่ยังคงใช้ระบบเคลียร์ริ่งเดิม แต่ในปีหน้า ตลาดหลักทรัพย์ฯจะมีการเปลี่ยนระบบเทรดดิ้งอนุพันธ์ และ ระบบชำระราคาอนุพันธ์ เสร็จแล้ว หลังจากนั้นจะมีการเปลี่ยนระบบเคลียร์ริ่งซื้อขายหุ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น