สัปดาห์นี้หวั่นไหวกันว่า สถานการณ์การเมืองจะร้อนระอุ เพราะใกล้วันที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาคำร้องการล้มล้างระบบการปกครอง ตามความผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 แต่ถึงเวลาจริง การเมืองกลับไม่ร้อนเท่าไหร่
และมีแต่เสียงเห่าหอนของบรรดาหัวโจกคนเสื้อแดงเท่านั้น
ความพยายามปลุกกระแสคนเสื้อแดงเพื่อคุกคามข่มขู่ศาลรัฐธรรมนูญ ยังคงดำเนินไปอย่างเข้มข้น แต่อิทธิฤทธิ์ของพรรคเพื่อไทย คงมีเพียงเท่านี้
ทำได้เพียงกดดัน ข่มขู่ คุกคาม ซึ่งต้องบอกว่าเป็นการเคลื่อนไหวดิ้นรนที่เหนื่อยเปล่า เพราะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญส่วนใหญ่ ไม่มีใครแสดงความวิตกกังวล
ไม่มีใครออกมาแสดงอาการกลัวหงออิทธิพลของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือลูกสมุนคนเสื้อแดงแต่อย่างใด
การพิจารณาความผิดตามมาตรา 68 จึงมั่นใจได้ว่า จะเป็นไปตามเนื้อผ้า ผิดว่าตามผิด ถูกว่าตามถูก และไม่ว่าพวกไอ้คางคก ไอ้พวกจิ้งจกตุ๊กแกจะเดินสายปลุกระดมมวลชนเพื่อกดดันอย่างไร
จุดยืนของศาลรัฐธรรมนูญก็ยังมั่นคง
หัวโจกเสื้อแดงที่ออกมาอาละวาดยกโขยงมาป่วนเมือง คงได้เพียง “กินแห้ว” เหนื่อยเปล่า เพราะศาลรัฐธรรมนูญไม่อยู่ในฐานะที่จะกลัวใครหรือยอมใครได้ โดยเฉพาะกลุ่มคนเลว ซึ่งกำลังทำตัวเป็นอันธพาลครองเมือง
และกำลังทำตัวเป็นผู้อยู่เหนือกฎหมาย หรือพวกกูเป็นกฎหมายเสียเอง
ถ้าศาลรัฐธรรมนูญยอม ประเทศนี้ก็ไม่ควรมีกฎกติกาใดเหลือไว้ ถ้าศาลรัฐธรรมนูญกลัว แผ่นดินนี้จะหาคนกล้าที่ไหน
พรรคเพื่อไทย และบรรดาหัวโจกเสื้อแดงที่ออกมาเต้นแร้งเต้นกา นอนตายตาหลับได้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาความผิดตามมาตรา 68 อย่างตรงไปตรงมา
อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดจากจุดนี้ เพราะคาราคาซัง ยืดเยื้อ สถานการณ์ยิ่งยาวนาน ประเทศยิ่งบอบช้ำ
พรรคเพื่อไทยประกาศว่า ศาลรัฐธรรมนูญตั้งธงการพิจารณามาตรา 68 ไว้แล้ว ตามความหมายคือ ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินไปล่วงหน้าแล้วว่า การเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญถือเป็นความผิดตามมาตรา 68 จริง
ถ้าพรรคเพื่อไทยพูดจริง ก็เป็นความน่ายินดีของประชาชนทั้งประเทศ เพราะทั้งส.ส.และส.ว.จำนวนกว่า 400 คน ที่ร่วมกันล้มล้างการปกครอง จะได้ถูกล้มล้าง
และถ้ามีความผิดตามมาตรา 68 จริง จะเกิดอะไรตามมา
หัวโจกเสื้อแดงหรือบรรดาตัวการใหญ่ที่ปลุกปั่นให้เกิดการเผาบ้านเผาเมือง เห่าคำรามมาเป็นระลอก จะยกมวลชนเสื้อแดงนับล้านบุกศาลรัฐธรรมนูญ จะเกิดความรุนแรงทางการเมือง หรือเกิดเหตุการณ์เลวร้าย
คำประกาศกร้าว คุกคาม ข่มขู่ของบรรดาหัวโจกเสื้อแดง ต้องยอมรับว่า สร้างความหวั่นวิตกให้สังคมอยู่บ้าง เพราะคนไม่มีกำพืดเหล่านี้ ทำเรื่องชั่วร้ายทุกอย่างได้เพียงเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด โดยก่อความปั่นป่วน ยกพวกเผาบ้านเผาเมืองมาหลายครั้งแล้ว
และพร้อมจะทำตัวเป็นอันธพาลป่วนเมืองทุกเมื่อ ถ้าไม่ได้ดั่งใจ
แต่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย และกลุ่มคนเสื้อแดง คงไม่มีความสามารถมากพอจะก่อเรื่องเลวร้ายได้มากไปกว่าที่เคยก่อมาแล้วในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553
สังคมจึงไม่มีความจำเป็นต้องกลัว นอกจากนั้นยังอาจต้องท้าทาย ยุส่งให้หัวโจกเสื้อแดงหรือพลพรรคเพื่อไทย สำแดงฤทธิ์เดชอย่างเต็มที่เสียด้วยซ้ำ
เพราะทุกอย่างจะได้ถึงจุดจบเสียที แม้คาดเดาไม่ได้ว่า จะจบอย่างไรก็ตาม
ทุกคนรู้ว่า ประคับประคองสถานการณ์กันต่อไป เกรงขามอำนาจรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรต่อไป ปล่อยให้หัวโจกเสื้อแดงปลุกปั่นยุยงทำตัวเป็นนักเลงโตต่อไป บ้านเมืองป่นปี้หนักขึ้น
ทุกคนรู้ว่า การเมืองก้าวมาถึงจุดต่ำทรามสุดขีดแล้ว ถ้าปล่อยให้ต่ำทรามกว่านี้ก็คือ กลียุค
ดังนั้น จะต้องมีคนลุกขึ้นมาทำหน้าที่ตัดวงจรจัญไรทางการเมือง กำจัดกลุ่มคนอัปรีย์ออกไป
วันนี้ไม่เหลือใครอีกแล้ว นอกจากฝ่ายตุลาการเท่านั้น มีเพียงฝ่ายตุลาการที่จะดับความเหิมเกริมของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร
และคดีล้มล้างการปกครองตามความผิดมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญจะเป็นจุดเริ่มต้นในการปฏิรูประบบการเมืองไทย
ศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นผู้ที่ประกาศว่า ประเทศยังมีขื่อมีแปร และกฎหมายยังมีความศักดิ์สิทธิ์อยู่
ฝ่ายตุลาการไม่ได้ยืนหยัดอย่างโดดเดี่ยว เพราะประชาชนส่วนใหญ่กำลังลุกขึ้นมายืนเคียงข้าง และแสดงตัวแล้วว่า พร้อมแล้วสำหรับการเผชิญหน้ากับกลุ่มคนที่พยายามใช้กฎหมู่มาข่มขู่กฎหมาย
ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาคำร้องความผิดตามมาตรา 68อย่างไร แต่ถ้าเป็นไปตามที่พรรคเพื่อไทยพูดไว้ เป็นไปตามที่หัวโจกเสื้อแดงยกเมฆขึ้นมาโจมตี โดยระบุว่าศาลรัฐธรรมนูญมีธงไว้แล้วจริง สถานการณ์การเมืองคงสนุกตื่นเต้นน่าดู
เพราะถ้าตัดสินว่า การเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมีความผิดจริง ลองดูซิว่า ใครจะมาทำอะไรศาลรัฐธรรมนูญ
และลองดูซิว่า ประชาชนทั้งประเทศจะยอมให้คนประเภทเศษสวะทางการเมือง ทำอะไรศาลรัฐธรรมนูญหรือ
และมีแต่เสียงเห่าหอนของบรรดาหัวโจกคนเสื้อแดงเท่านั้น
ความพยายามปลุกกระแสคนเสื้อแดงเพื่อคุกคามข่มขู่ศาลรัฐธรรมนูญ ยังคงดำเนินไปอย่างเข้มข้น แต่อิทธิฤทธิ์ของพรรคเพื่อไทย คงมีเพียงเท่านี้
ทำได้เพียงกดดัน ข่มขู่ คุกคาม ซึ่งต้องบอกว่าเป็นการเคลื่อนไหวดิ้นรนที่เหนื่อยเปล่า เพราะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญส่วนใหญ่ ไม่มีใครแสดงความวิตกกังวล
ไม่มีใครออกมาแสดงอาการกลัวหงออิทธิพลของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือลูกสมุนคนเสื้อแดงแต่อย่างใด
การพิจารณาความผิดตามมาตรา 68 จึงมั่นใจได้ว่า จะเป็นไปตามเนื้อผ้า ผิดว่าตามผิด ถูกว่าตามถูก และไม่ว่าพวกไอ้คางคก ไอ้พวกจิ้งจกตุ๊กแกจะเดินสายปลุกระดมมวลชนเพื่อกดดันอย่างไร
จุดยืนของศาลรัฐธรรมนูญก็ยังมั่นคง
หัวโจกเสื้อแดงที่ออกมาอาละวาดยกโขยงมาป่วนเมือง คงได้เพียง “กินแห้ว” เหนื่อยเปล่า เพราะศาลรัฐธรรมนูญไม่อยู่ในฐานะที่จะกลัวใครหรือยอมใครได้ โดยเฉพาะกลุ่มคนเลว ซึ่งกำลังทำตัวเป็นอันธพาลครองเมือง
และกำลังทำตัวเป็นผู้อยู่เหนือกฎหมาย หรือพวกกูเป็นกฎหมายเสียเอง
ถ้าศาลรัฐธรรมนูญยอม ประเทศนี้ก็ไม่ควรมีกฎกติกาใดเหลือไว้ ถ้าศาลรัฐธรรมนูญกลัว แผ่นดินนี้จะหาคนกล้าที่ไหน
พรรคเพื่อไทย และบรรดาหัวโจกเสื้อแดงที่ออกมาเต้นแร้งเต้นกา นอนตายตาหลับได้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาความผิดตามมาตรา 68 อย่างตรงไปตรงมา
อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดจากจุดนี้ เพราะคาราคาซัง ยืดเยื้อ สถานการณ์ยิ่งยาวนาน ประเทศยิ่งบอบช้ำ
พรรคเพื่อไทยประกาศว่า ศาลรัฐธรรมนูญตั้งธงการพิจารณามาตรา 68 ไว้แล้ว ตามความหมายคือ ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินไปล่วงหน้าแล้วว่า การเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญถือเป็นความผิดตามมาตรา 68 จริง
ถ้าพรรคเพื่อไทยพูดจริง ก็เป็นความน่ายินดีของประชาชนทั้งประเทศ เพราะทั้งส.ส.และส.ว.จำนวนกว่า 400 คน ที่ร่วมกันล้มล้างการปกครอง จะได้ถูกล้มล้าง
และถ้ามีความผิดตามมาตรา 68 จริง จะเกิดอะไรตามมา
หัวโจกเสื้อแดงหรือบรรดาตัวการใหญ่ที่ปลุกปั่นให้เกิดการเผาบ้านเผาเมือง เห่าคำรามมาเป็นระลอก จะยกมวลชนเสื้อแดงนับล้านบุกศาลรัฐธรรมนูญ จะเกิดความรุนแรงทางการเมือง หรือเกิดเหตุการณ์เลวร้าย
คำประกาศกร้าว คุกคาม ข่มขู่ของบรรดาหัวโจกเสื้อแดง ต้องยอมรับว่า สร้างความหวั่นวิตกให้สังคมอยู่บ้าง เพราะคนไม่มีกำพืดเหล่านี้ ทำเรื่องชั่วร้ายทุกอย่างได้เพียงเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด โดยก่อความปั่นป่วน ยกพวกเผาบ้านเผาเมืองมาหลายครั้งแล้ว
และพร้อมจะทำตัวเป็นอันธพาลป่วนเมืองทุกเมื่อ ถ้าไม่ได้ดั่งใจ
แต่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย และกลุ่มคนเสื้อแดง คงไม่มีความสามารถมากพอจะก่อเรื่องเลวร้ายได้มากไปกว่าที่เคยก่อมาแล้วในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553
สังคมจึงไม่มีความจำเป็นต้องกลัว นอกจากนั้นยังอาจต้องท้าทาย ยุส่งให้หัวโจกเสื้อแดงหรือพลพรรคเพื่อไทย สำแดงฤทธิ์เดชอย่างเต็มที่เสียด้วยซ้ำ
เพราะทุกอย่างจะได้ถึงจุดจบเสียที แม้คาดเดาไม่ได้ว่า จะจบอย่างไรก็ตาม
ทุกคนรู้ว่า ประคับประคองสถานการณ์กันต่อไป เกรงขามอำนาจรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรต่อไป ปล่อยให้หัวโจกเสื้อแดงปลุกปั่นยุยงทำตัวเป็นนักเลงโตต่อไป บ้านเมืองป่นปี้หนักขึ้น
ทุกคนรู้ว่า การเมืองก้าวมาถึงจุดต่ำทรามสุดขีดแล้ว ถ้าปล่อยให้ต่ำทรามกว่านี้ก็คือ กลียุค
ดังนั้น จะต้องมีคนลุกขึ้นมาทำหน้าที่ตัดวงจรจัญไรทางการเมือง กำจัดกลุ่มคนอัปรีย์ออกไป
วันนี้ไม่เหลือใครอีกแล้ว นอกจากฝ่ายตุลาการเท่านั้น มีเพียงฝ่ายตุลาการที่จะดับความเหิมเกริมของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร
และคดีล้มล้างการปกครองตามความผิดมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญจะเป็นจุดเริ่มต้นในการปฏิรูประบบการเมืองไทย
ศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นผู้ที่ประกาศว่า ประเทศยังมีขื่อมีแปร และกฎหมายยังมีความศักดิ์สิทธิ์อยู่
ฝ่ายตุลาการไม่ได้ยืนหยัดอย่างโดดเดี่ยว เพราะประชาชนส่วนใหญ่กำลังลุกขึ้นมายืนเคียงข้าง และแสดงตัวแล้วว่า พร้อมแล้วสำหรับการเผชิญหน้ากับกลุ่มคนที่พยายามใช้กฎหมู่มาข่มขู่กฎหมาย
ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาคำร้องความผิดตามมาตรา 68อย่างไร แต่ถ้าเป็นไปตามที่พรรคเพื่อไทยพูดไว้ เป็นไปตามที่หัวโจกเสื้อแดงยกเมฆขึ้นมาโจมตี โดยระบุว่าศาลรัฐธรรมนูญมีธงไว้แล้วจริง สถานการณ์การเมืองคงสนุกตื่นเต้นน่าดู
เพราะถ้าตัดสินว่า การเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมีความผิดจริง ลองดูซิว่า ใครจะมาทำอะไรศาลรัฐธรรมนูญ
และลองดูซิว่า ประชาชนทั้งประเทศจะยอมให้คนประเภทเศษสวะทางการเมือง ทำอะไรศาลรัฐธรรมนูญหรือ