ASTVผู้จัดการรายวัน-ตลาดหลักทรัพย์ฯ แจง หุ้นใหม่ดันมาร์เกตแคปตลาดหุ้นไทยเพิ่ม 4.4 หมื่นล้านบาท ครึ่งปีแรก “ชนิตร” แย้มยากหน่อย แต่พยามให้ได้ตามเป้าเพิ่มมาร์เกตแคป 1.2 แสนล้านบาทปีนี้ ชี้หากเกณฑ์ใหม่โฮลดิ้งออกเตรียมให้ข้อมูลกับที่ปรึกษาทางการเงินต่างประเทศ ภาพรวมครึ่งปีหุ้นพุ่ง14%อันดับ2ในภูมิภาค รองจากฟิลิปปินส์
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์แและ บริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนใหม่ในตลาดหลักทรัพย์ฯและตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai)ครึ่งปีแรกมีมูลค่าราคาหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เกตแคป) 4.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งตลท.กำลังพยายามทำให้เป็นไปตามเป้าหมายที่จะเพิ่มมาร์เกตแคปจากหุ้นใหม่จำนวน 1.2 แสนล้านบาท โดยปัจจุบันมีบริษัทเตรียมเข้าจดทะเบียนอยู่หลายแห่ง อีกทั้งมีกองทุนอสังหาริมทรัพย์ และ กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ที่รอจะมีการเสนอขายหุ้นไอพีโอ
อย่างไรก็ตาม จากภาวะตลาดหุ้นไทยที่มีความผันผวนทำให้ มูลค่าระดมทุนของบริษัทที่ได้ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย นั้น มีผลทำให้บริษัทมีการชะลอการเสนอขายหุ้นออกไปได้ แต่หากเกณฑ์การออกและเสนอขายหุ้นของบริษัทที่ประกอบธุรกิจหลักโดยการถือหุ้นบริษัทอื่น (Holding Company)เสร็จ ก.ล.ต.มีประกาศบังคับใช้นั้น เชื่อว่าจะมีบริษัทขนาดใหญ่จำนวนมากเข้ามาจดทะเบียนเพิ่ม
นอกจากนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯจะมีการเดินสายให้ข้อมูล แก่บริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน (FA)ในต่างประเทศว่าตลาดหุ้นไทยมีการปรับเกณฑ์โฮดดิ้งส์ใหม่ โดยลดการถือหุ้นในบริษัทแกนจากเดิมต้องถือหุ้นไม่น้อยกว่า 75% ลดเหลือไม่น้อยกว่า 50% ฯลฯ ซึ่งเอื้อกับบริษัทไทยที่ไปร่วมลงทุน หรือไปลงทุนในต่างประเทศให้เข้ามาระดมทุน จากที่ตลาดหุ้นไทยนั้นถือว่าเป็นตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนที่ดี ทำให้FA ต่างประเทศสามารถที่จะแนะนำลูกค้าให้เข้ามาระดมทุนในตลาดหุ้นไทย รวมถึง บริษัทต่างประเทศที่มีการตั้งบริษัทในประเทศไทยมานานแล้ว และมีแผนที่จะไปลงทุนในต่างประเทศก็สามารถใช้เกณฑ์ดังกล่าวได้
นายชนิตร กล่าวว่า แม้ในช่วงที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงจากปัญหาหนี้วิกฤตยุโรป แต่ในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 14.32% ซึ่งอยู่ในอันดับ 2 รองของภูมิภาค โดยตลาดตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ดัชนีมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 20% เป็นอันดับ 1 อีกทั้ง มูลค่าการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงเพียง 5% เนื่องจาก ตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนของนักลงทุนในประเทศ ซื้อขายเป็นสัดส่วนหลัก ทำให้ ไม่เหมือนกับตลาดหุ้นอื่นที่สัดส่วนการลงทุนจะเป็นกองทุนต่างประเทศซื้อขายเป็นหลัก พอต่างประเทศมีปัญหาจึงต้องมีการขายหุ้นนำเงินกลับ ประกอบกับกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทย และ เศรษฐกิจไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น
โดยในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ กลุ่มที่มี วอลุ่มการซื้อขายหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย หมวด ยานยนต์ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 276% อยู่ที่ 3.5 หมื่นล้านบาท อันดับ 2 หมวดท่องเที่ยว วอลุ่มเพิ่มขึ้น 153% อยู่ที่ 9.1 พันล้านบาท อันดับ 3 หมวดพาณิชย์ วอลุ่มเพิ่มขึ้น 139% อยู่ที่ 2 แสนล้านบาท อันดับ 4 หมวดบริการเฉพาะกิจ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 122% อยู่ที่ 9.7 พันล้านบาท และอันดับ 5 หมวด ประกันภัยและประกันชีวิต ปรับตัวเพิ่มขึ้น 106% อยู่ที่ 2.1 หมื่นล้านบาท
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์แและ บริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนใหม่ในตลาดหลักทรัพย์ฯและตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai)ครึ่งปีแรกมีมูลค่าราคาหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เกตแคป) 4.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งตลท.กำลังพยายามทำให้เป็นไปตามเป้าหมายที่จะเพิ่มมาร์เกตแคปจากหุ้นใหม่จำนวน 1.2 แสนล้านบาท โดยปัจจุบันมีบริษัทเตรียมเข้าจดทะเบียนอยู่หลายแห่ง อีกทั้งมีกองทุนอสังหาริมทรัพย์ และ กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ที่รอจะมีการเสนอขายหุ้นไอพีโอ
อย่างไรก็ตาม จากภาวะตลาดหุ้นไทยที่มีความผันผวนทำให้ มูลค่าระดมทุนของบริษัทที่ได้ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย นั้น มีผลทำให้บริษัทมีการชะลอการเสนอขายหุ้นออกไปได้ แต่หากเกณฑ์การออกและเสนอขายหุ้นของบริษัทที่ประกอบธุรกิจหลักโดยการถือหุ้นบริษัทอื่น (Holding Company)เสร็จ ก.ล.ต.มีประกาศบังคับใช้นั้น เชื่อว่าจะมีบริษัทขนาดใหญ่จำนวนมากเข้ามาจดทะเบียนเพิ่ม
นอกจากนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯจะมีการเดินสายให้ข้อมูล แก่บริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน (FA)ในต่างประเทศว่าตลาดหุ้นไทยมีการปรับเกณฑ์โฮดดิ้งส์ใหม่ โดยลดการถือหุ้นในบริษัทแกนจากเดิมต้องถือหุ้นไม่น้อยกว่า 75% ลดเหลือไม่น้อยกว่า 50% ฯลฯ ซึ่งเอื้อกับบริษัทไทยที่ไปร่วมลงทุน หรือไปลงทุนในต่างประเทศให้เข้ามาระดมทุน จากที่ตลาดหุ้นไทยนั้นถือว่าเป็นตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนที่ดี ทำให้FA ต่างประเทศสามารถที่จะแนะนำลูกค้าให้เข้ามาระดมทุนในตลาดหุ้นไทย รวมถึง บริษัทต่างประเทศที่มีการตั้งบริษัทในประเทศไทยมานานแล้ว และมีแผนที่จะไปลงทุนในต่างประเทศก็สามารถใช้เกณฑ์ดังกล่าวได้
นายชนิตร กล่าวว่า แม้ในช่วงที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงจากปัญหาหนี้วิกฤตยุโรป แต่ในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 14.32% ซึ่งอยู่ในอันดับ 2 รองของภูมิภาค โดยตลาดตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ดัชนีมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 20% เป็นอันดับ 1 อีกทั้ง มูลค่าการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงเพียง 5% เนื่องจาก ตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนของนักลงทุนในประเทศ ซื้อขายเป็นสัดส่วนหลัก ทำให้ ไม่เหมือนกับตลาดหุ้นอื่นที่สัดส่วนการลงทุนจะเป็นกองทุนต่างประเทศซื้อขายเป็นหลัก พอต่างประเทศมีปัญหาจึงต้องมีการขายหุ้นนำเงินกลับ ประกอบกับกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทย และ เศรษฐกิจไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น
โดยในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ กลุ่มที่มี วอลุ่มการซื้อขายหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย หมวด ยานยนต์ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 276% อยู่ที่ 3.5 หมื่นล้านบาท อันดับ 2 หมวดท่องเที่ยว วอลุ่มเพิ่มขึ้น 153% อยู่ที่ 9.1 พันล้านบาท อันดับ 3 หมวดพาณิชย์ วอลุ่มเพิ่มขึ้น 139% อยู่ที่ 2 แสนล้านบาท อันดับ 4 หมวดบริการเฉพาะกิจ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 122% อยู่ที่ 9.7 พันล้านบาท และอันดับ 5 หมวด ประกันภัยและประกันชีวิต ปรับตัวเพิ่มขึ้น 106% อยู่ที่ 2.1 หมื่นล้านบาท