วานนี้(19 มิ.ย.) ที่รัฐสภา นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ชี้แจงต่อประเด็นที่วุฒิสภา ส่งเรื่องที่นายถาวร เสนเนียม ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นถอดถอนให้กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หลังที่พบว่ามีการทำหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 125 ว่าเป็นเรื่องธรรมดา ในประเด็นที่ยื่นเพราะปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นกลาง ต้องถามว่าไม่เป็นกลางอย่างไร โดยที่ผ่านมาหากติดตามดูการทำงาน ตนได้ยึดการปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ และในประเด็นนี้ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง ที่เขากล่าวหากับข้อเท็จจริงที่เกิดตคนละเรื่องหรือไม่ เราอยู่บนหลักความเป็นจริงและรัฐธรรมนูญ ไม่มีอะไรน่าห่วง
“ผมอาจจะโดนหนักหน่อยในช่วงนี้ สำหรับเรื่องถอดถอนที่ยื่นผ่านวุฒิสภา เป็นกรณีที่ พ.ร.บ.ปรองดองเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเงินเหรือ ตรงนี้ไม่ห่วง เพราะมีความชัดเจนในตัวอยู่แล้ว และผ่านขั้นตอนทุกอย่างตามรัฐธรรมนูญ” นายสมศักดิ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ ป.ป.ช. ได้มีการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน หลังจากที่สำนักข่าวอิศราเปิดเผยว่ามีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นจากการถือครองหุ้น เป็นเงินจำนวน 102 ล้านบาท นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ตนสามารถชี้แจงได้ทั้งหมด สำหรับหุ้นในบริษัท ทิพยประกันชีวิต จำกัด หรือบริษัทประกัน ได้มาก่อนการเลือกตั้งไม่เกี่ยวกับตำแหน่งประธานสภาฯ แน่นอน การที่ข่าวไปลงแบบแต้มสีใส่ไฟ ไม่ใช่อย่างแน่นอน สำหรับเงินส่วน 100 ล้าน เป็นการที่ตนไปทำเอ็มโอยู เพื่อซื้อบริษัทประกันชีวิต จากนั้นก็มาระดมนายทุนที่อยู่ในวงการมาลงทุนร่วมกัน นายทุนในวงการประกัน มองเห็นว่าธุรกิจตรงนี้มีอนาคตดี เขาก็ตกลงร่วมทุน ส่วนเงินมูลค่า 102 ล้านเป็นมูลค่าส่วนต่างขอหุ้น 32เปอร์เซ็นต์ที่เหลือ
นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า หุ้น 102ล้านหุ้นนั้น เป็นในส่วนของายศรัณย์ ลิมป์หิรัญรักษ์ น้องเขยของตน และเป็นผู้ประสานในนามของตัวแทนหุ้นทั้งหมด ดังนั้นการทำสัญญา อันดับแรก หุ้นทั้งหมดจะอยู่ในส่วนของนายศรัณท์ทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะแต่ของตน แต่รวมของทุกคน ในช่วงที่จะมีการเลือกตั้ง ตนมั่นใจว่าจะได้รีบการเลือกตั้งและมีความเป็นไปได้ที่จะนั่งในตำแหน่งรัฐมนตรี จึงไม่จำเป็นที่ต้องโอนหุ้นมาเป็นชื่อของตน คนอื่นก็โอนไปทั้งหมด แต่ของตนฝากไว้ก่อน แต่พอการเลือกตั้งเสร็จสิ้น ตนไม่ได้เป็นรัฐมนตรี แต่ได้ตำแหน่งประธานสภาฯ ซึ่งตามกฎหมายประธานสภาฯ สามารถถือครองหุ้นได้ จึงโอนหุ้นกลับมาเป็นของตน ทีนี้เมื่อโอนหุ้นของตน มีปัญหาตามมาอีก คือ บริษัทประกันที่ว่า เขาจะมีการเพิ่มทุน และมีธนาคารออมสิน และ กบข. เข้ามาร่วมทุนด้วย ตนกลัวว่าจะซวย โดยที่ผมไม่รู้เรื่อง หากบริษัทไปทำส่วนที่มีผลผูกพันกับราชการและรัฐวิสาหกิจ อย่าง ปปท. หรือ การบินไทย มันอาจจะส่งผลถึงเรา โดยที่เราไม่รู้เรื่อง พอมีคนทักท้วงเรื่องนี้ ผมเลยตัดสินใจโอนหุ้นไปให้ลูกสาว แล้วลูกเรียนเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อจบมาก็จะต้องมาทำงานเรื่องนี้ จึงถือโอกาสนี้ยกหุ้นให้ลูกเสียเลย
“แล้วเรื่องนี้ชี้แจงได้โดยเอกสารและพยานบุคคล ทุกอย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมา และที่สำคัญ เปิดเผยด้วยเพราะได้ยื่น ป.ป.ช. หลังการเลือกตั้ง พร้อมแจ้งว่ามีหุ้นอยู่ในส่วนดังกล่าวจำนวน 102 ล้านหุ้นฝากไว้ในนามของนายศรัณท์ หากผมไม่พูดใครจะรู้ และนี่เป็นความตรงไปตรงมา เปิดเผยถึงแจ้งกับป.ป.ช. เมื่อแจ้งแล้วจะมีอะไรอีก” นายสมศักดิ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าสำหรับการทำกิจการของ บริษัท พี.เค.มิวสิคจำกัด และบริษัทสไมล์ เฮลธ์ จำกัด ที่ได้มีการโอนกิจการให้บุคคลอื่น นายสมศักดิ์กล่าวว่าต้องไปดูรายละเอียด เพราะมันนานแล้ว ลืมไปแล้ว ขณะนี้อยู่กำลังรวบรวมเอกสารอยู่
ถามต่อว่าได้เลิกกิจการหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ยกเลิกกิจการไปนานแล้ว เพียงแต่อาจจะยังไม่ได้ไปยกเลิกบริษัท เรื่องนานแล้วก็ลืม ขอรวมบรวมรายละเอียด แต่ยืนยันทุกอย่างตรงไปตรงมาและโปร่งใส ทั้งหมด หุ้นก็ไม่กี่ตังค์ เป็นหลักแสน ขนาด 100 ล้านยังตรงไปตรงมาเลย ที่จริงปิดก็ได้ไม่มีใครรู้ ถูกหรือไม่ แต่ก็เปิดเผย เงินไม่กี่แสน
ถามต่อว่าในประเด็นการถือครองหุ้นของ น.ส.จินตนา ถาโคตร และ น.ส.ชุติภรณ์ อังคศิริมงคล จะชี้แจงอย่างไร นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ทั้ง 2 คน เป็นคณะทำงานที่อยู่ในบริษัท ในเครือข่ายมีบริษัทของเครือญาติ ของหลาน และมีส่วนหนึ่งของผม และตอนหลังยกกิจการไปให้เขา เพราะเป็นงานอดิเรกมากกว่า
ถามต่อว่า เป็นการโอนหรือซื้อขาย นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เป็นการทำค่ายเพลง เป็นงานอดิเรก เพราะตนเป็นคนชอบฟังเพลง โดยเฉพาะเพลงเก่าๆ เช่น สวลี (ผกาพันธ์) รวงทอง (ทองลั่นทม) ทำด้วยใจรัก เป็นงานอดิเรก พอเสร็จเริ่มเบื่อก็ยกให้ สรุปทุกอย่างตรงไปตรงมาโปร่งใส
“ผมอาจจะโดนหนักหน่อยในช่วงนี้ สำหรับเรื่องถอดถอนที่ยื่นผ่านวุฒิสภา เป็นกรณีที่ พ.ร.บ.ปรองดองเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเงินเหรือ ตรงนี้ไม่ห่วง เพราะมีความชัดเจนในตัวอยู่แล้ว และผ่านขั้นตอนทุกอย่างตามรัฐธรรมนูญ” นายสมศักดิ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ ป.ป.ช. ได้มีการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน หลังจากที่สำนักข่าวอิศราเปิดเผยว่ามีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นจากการถือครองหุ้น เป็นเงินจำนวน 102 ล้านบาท นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ตนสามารถชี้แจงได้ทั้งหมด สำหรับหุ้นในบริษัท ทิพยประกันชีวิต จำกัด หรือบริษัทประกัน ได้มาก่อนการเลือกตั้งไม่เกี่ยวกับตำแหน่งประธานสภาฯ แน่นอน การที่ข่าวไปลงแบบแต้มสีใส่ไฟ ไม่ใช่อย่างแน่นอน สำหรับเงินส่วน 100 ล้าน เป็นการที่ตนไปทำเอ็มโอยู เพื่อซื้อบริษัทประกันชีวิต จากนั้นก็มาระดมนายทุนที่อยู่ในวงการมาลงทุนร่วมกัน นายทุนในวงการประกัน มองเห็นว่าธุรกิจตรงนี้มีอนาคตดี เขาก็ตกลงร่วมทุน ส่วนเงินมูลค่า 102 ล้านเป็นมูลค่าส่วนต่างขอหุ้น 32เปอร์เซ็นต์ที่เหลือ
นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า หุ้น 102ล้านหุ้นนั้น เป็นในส่วนของายศรัณย์ ลิมป์หิรัญรักษ์ น้องเขยของตน และเป็นผู้ประสานในนามของตัวแทนหุ้นทั้งหมด ดังนั้นการทำสัญญา อันดับแรก หุ้นทั้งหมดจะอยู่ในส่วนของนายศรัณท์ทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะแต่ของตน แต่รวมของทุกคน ในช่วงที่จะมีการเลือกตั้ง ตนมั่นใจว่าจะได้รีบการเลือกตั้งและมีความเป็นไปได้ที่จะนั่งในตำแหน่งรัฐมนตรี จึงไม่จำเป็นที่ต้องโอนหุ้นมาเป็นชื่อของตน คนอื่นก็โอนไปทั้งหมด แต่ของตนฝากไว้ก่อน แต่พอการเลือกตั้งเสร็จสิ้น ตนไม่ได้เป็นรัฐมนตรี แต่ได้ตำแหน่งประธานสภาฯ ซึ่งตามกฎหมายประธานสภาฯ สามารถถือครองหุ้นได้ จึงโอนหุ้นกลับมาเป็นของตน ทีนี้เมื่อโอนหุ้นของตน มีปัญหาตามมาอีก คือ บริษัทประกันที่ว่า เขาจะมีการเพิ่มทุน และมีธนาคารออมสิน และ กบข. เข้ามาร่วมทุนด้วย ตนกลัวว่าจะซวย โดยที่ผมไม่รู้เรื่อง หากบริษัทไปทำส่วนที่มีผลผูกพันกับราชการและรัฐวิสาหกิจ อย่าง ปปท. หรือ การบินไทย มันอาจจะส่งผลถึงเรา โดยที่เราไม่รู้เรื่อง พอมีคนทักท้วงเรื่องนี้ ผมเลยตัดสินใจโอนหุ้นไปให้ลูกสาว แล้วลูกเรียนเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อจบมาก็จะต้องมาทำงานเรื่องนี้ จึงถือโอกาสนี้ยกหุ้นให้ลูกเสียเลย
“แล้วเรื่องนี้ชี้แจงได้โดยเอกสารและพยานบุคคล ทุกอย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมา และที่สำคัญ เปิดเผยด้วยเพราะได้ยื่น ป.ป.ช. หลังการเลือกตั้ง พร้อมแจ้งว่ามีหุ้นอยู่ในส่วนดังกล่าวจำนวน 102 ล้านหุ้นฝากไว้ในนามของนายศรัณท์ หากผมไม่พูดใครจะรู้ และนี่เป็นความตรงไปตรงมา เปิดเผยถึงแจ้งกับป.ป.ช. เมื่อแจ้งแล้วจะมีอะไรอีก” นายสมศักดิ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าสำหรับการทำกิจการของ บริษัท พี.เค.มิวสิคจำกัด และบริษัทสไมล์ เฮลธ์ จำกัด ที่ได้มีการโอนกิจการให้บุคคลอื่น นายสมศักดิ์กล่าวว่าต้องไปดูรายละเอียด เพราะมันนานแล้ว ลืมไปแล้ว ขณะนี้อยู่กำลังรวบรวมเอกสารอยู่
ถามต่อว่าได้เลิกกิจการหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ยกเลิกกิจการไปนานแล้ว เพียงแต่อาจจะยังไม่ได้ไปยกเลิกบริษัท เรื่องนานแล้วก็ลืม ขอรวมบรวมรายละเอียด แต่ยืนยันทุกอย่างตรงไปตรงมาและโปร่งใส ทั้งหมด หุ้นก็ไม่กี่ตังค์ เป็นหลักแสน ขนาด 100 ล้านยังตรงไปตรงมาเลย ที่จริงปิดก็ได้ไม่มีใครรู้ ถูกหรือไม่ แต่ก็เปิดเผย เงินไม่กี่แสน
ถามต่อว่าในประเด็นการถือครองหุ้นของ น.ส.จินตนา ถาโคตร และ น.ส.ชุติภรณ์ อังคศิริมงคล จะชี้แจงอย่างไร นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ทั้ง 2 คน เป็นคณะทำงานที่อยู่ในบริษัท ในเครือข่ายมีบริษัทของเครือญาติ ของหลาน และมีส่วนหนึ่งของผม และตอนหลังยกกิจการไปให้เขา เพราะเป็นงานอดิเรกมากกว่า
ถามต่อว่า เป็นการโอนหรือซื้อขาย นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เป็นการทำค่ายเพลง เป็นงานอดิเรก เพราะตนเป็นคนชอบฟังเพลง โดยเฉพาะเพลงเก่าๆ เช่น สวลี (ผกาพันธ์) รวงทอง (ทองลั่นทม) ทำด้วยใจรัก เป็นงานอดิเรก พอเสร็จเริ่มเบื่อก็ยกให้ สรุปทุกอย่างตรงไปตรงมาโปร่งใส