เอเจนซีส์ - เจ้าหน้าที่วางแผนครอบครัวและประชากรของมณฑลส่านซีถูกประณามเละ ภายหลังเว็บจีนเผยแพร่ภาพและข่าวสตรีผู้หนึ่งที่ตั้งครรภ์ได้ 7 เดือนแล้ว ถูกบังคับทำแท้งเมื่อราว 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากไม่มีเงินจ่ายค่าปรับราว 2 แสนบาทจากการมีลูกมากกว่าที่ทางการกำหนด ล่าสุดรัฐบาลมณฑลออกมาแถลงในวันพฤหัสบดี(14)ว่า เรื่องนี้เป็นความจริง
กลุ่มสิทธิมนุษยชนต่างพากันประณามทางการผู้รับผิดชอบในมณฑลทางภาคเหนือของจีนแห่งนี้ ที่บังคับทำแท้ง นางเฝิง เจี้ยนเหมย เนื่องจากเธอไม่สามารถชำระค่าปรับ 40,000 หยวน (ประมาณ 200,000 บาท) สำหรับการมีบุตรมากเกินกว่าที่กำหนดไว้ในนโยบายควบคุมประชากรของทางการแดนมังกร
ภายหลังข่าวนี้แพร่กระจายออกไปและมีเสียงประณามอย่างโกรธกริ้วไปทั่ว คณะกรรมการวางแผนครอบครัวและประชากรมณฑลส่านซี ก็ออกคำแถลงว่า ได้ส่งหน่วยตรวจสอบไปยังเมืองอานคัง ซึ่งเป็นพื้นที่เกิดเหตุ เพื่อทำการสอบสวนแล้ว
ต่อมา รัฐบาลมณฑลส่านซีได้ออกคำแถลงวันพฤหัสบดีระบุว่า การสอบสวนขั้นต้นยืนยันว่ากรณีนี้ “เป็นความจริงโดยพื้นฐาน” และคณะผู้สอบสวนได้เสนอแนะสิ่งที่ต้องดำเนินการต่อผู้ละเมิดแล้ว
“นี่เป็นการละเมิดนโยบายต่างๆ ของคณะกรรมการวางแผนครอบครัวและประชากรแห่งชาติอย่างร้ายแรง, เป็นภัยต่องานควบคุมประชากร และก่อให้เกิดความกังวลใจขึ้นในสังคม” คำแถลงของรัฐบาลส่านซีบอก แต่ไม่ได้ระบุว่าใครคือผู้ละเมิด เพียงแต่ให้คำมั่นว่าจะไม่ให้เกิดกรณีเช่นนี้ขึ้นอีก โดยที่การกระทำเช่นนี้ก็เป็นการกระทำผิดระเบียบกฎเกณฑ์ที่ใช้กันมาตั้งแต่ปี 2001 ที่ห้ามการทำแท้งในช่วงที่เด็กในครรภ์เติบโตมากแล้ว
นางเฝิง วัย 22 ปี กับสามีมีบุตรสาววัย 5 ขวบอยู่แล้ว การที่เธอมีบุตรคนที่สองจึงขัดกับนโยบายลูกคนเดียวของจีน และจะต้องเสียค่าปรับ ซึ่งเธอและครอบครัวไม่มีจ่าย อย่างไรก็ดี รายงานข่าวระบุว่า ทั้งๆ ที่เธอครรภ์แก่แล้ว ก็ยังคงถูกเจ้าหน้าที่วางแผนครอบครัวเขตเจิงเจีย เมืองอานคัง บีบบังคับอยู่ถึง 3 วันเพื่อให้ทำแท้ง กระทั่งวันที่ 2 มิ.ย.จึงถูกจับฉีดยาขับทารก
ยิ่งภาพศพเด็กทารกเพศหญิง 7 เดือนที่ถูกฉีดยาขับออก ถูกนำมาวางคู่กับนางเฝิงได้แพร่ไปในโลกออนไลน์ ยิ่งทำให้กระแสโกรธเกรี้ยวลุกโหมไปทั่ว โดยในภาพจะเห็นนางเฝิงนอนหมดเรี่ยวแรง ใบหน้าโรยราไร้กำลังกายกำลังใจ
ชาวเน็ตคนหนึ่งประณามการกระทำดังกล่าวว่าเป็นการฆาตกรรมอย่างไร้มนุษยธรรมพอ ๆ กับการสังหารล้างเผ่าพันธุ์ของนาซีและของญี่ปุ่นช่วงสงคราม ตลอดจนการฆ่าเด็กในซีเรีย ส่วนชาวเน็ตคนอื่น ๆ เรียกร้องให้มีการทบทวนการปฏิบัติตามนโยบายลูกคนเดียวอย่างโหดร้ายเช่นนี้
ทั้งนี้จีนใช้นโยบายลูกคนเดียวตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1970 โดยครอบครัวในเขตเมืองจะได้รับอนุญาตให้มีลูกเพียงคนเดียว ส่วนครอบครัวในชนบทอาจจะได้รับอนุญาตให้มีลูกได้เป็นคนที่ 2 ในบางกรณี
นายเติ้ง จี้หยวน สามีของนางเฝิงให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ทางโทรศัพท์เมื่อวันพุธ(13) ว่า “ภรรยาของผมยังอาการไม่ดีขึ้น เธอเศร้าสลดหมดอาลัยตายอยาก บางทีจู่ ๆ ก็อารมณ์ร้ายและสับสนในตัวเอง”
ในระหว่างที่ภรรยาถูกบังคับทำแท้ง เติ้งผู้สามีกำลังทำงานอยู่ในเขตมองโกเลียใน เขาได้ข่าวภรรยาหลังจากเจ้าหน้าที่นำตัวนางเฝิงไป เขาบอกว่าไม่มีเงินจ่ายค่าปรับสำหรับการมีลูกอีกคน ซึ่งเป็นเงินที่“มากกว่าเงินที่ผมทำงานมา 4 ปีเสียอีก”
เติ้งเขียนข้อความในอินเทอร์เน็ตระบุว่า เจ้าหน้าที่ในเมืองใช้ผ้าสีดำมาคลุมศีรษะนางเฝิงขณะที่เธอถูกนำตัวขึ้นรถขับตรงดิ่งไปยังโรงพยาบาลอำเภอเจิ้นผิง ในเมืองอานคัง หลังจากนั้นก็ฉีดยาเร่งปฏิกิริยาให้กล้ามเนื้อของเธอหดตัวเพื่อบีบเอาเด็กออก
กลุ่มสิทธิมนุษยชนต่างพากันประณามทางการผู้รับผิดชอบในมณฑลทางภาคเหนือของจีนแห่งนี้ ที่บังคับทำแท้ง นางเฝิง เจี้ยนเหมย เนื่องจากเธอไม่สามารถชำระค่าปรับ 40,000 หยวน (ประมาณ 200,000 บาท) สำหรับการมีบุตรมากเกินกว่าที่กำหนดไว้ในนโยบายควบคุมประชากรของทางการแดนมังกร
ภายหลังข่าวนี้แพร่กระจายออกไปและมีเสียงประณามอย่างโกรธกริ้วไปทั่ว คณะกรรมการวางแผนครอบครัวและประชากรมณฑลส่านซี ก็ออกคำแถลงว่า ได้ส่งหน่วยตรวจสอบไปยังเมืองอานคัง ซึ่งเป็นพื้นที่เกิดเหตุ เพื่อทำการสอบสวนแล้ว
ต่อมา รัฐบาลมณฑลส่านซีได้ออกคำแถลงวันพฤหัสบดีระบุว่า การสอบสวนขั้นต้นยืนยันว่ากรณีนี้ “เป็นความจริงโดยพื้นฐาน” และคณะผู้สอบสวนได้เสนอแนะสิ่งที่ต้องดำเนินการต่อผู้ละเมิดแล้ว
“นี่เป็นการละเมิดนโยบายต่างๆ ของคณะกรรมการวางแผนครอบครัวและประชากรแห่งชาติอย่างร้ายแรง, เป็นภัยต่องานควบคุมประชากร และก่อให้เกิดความกังวลใจขึ้นในสังคม” คำแถลงของรัฐบาลส่านซีบอก แต่ไม่ได้ระบุว่าใครคือผู้ละเมิด เพียงแต่ให้คำมั่นว่าจะไม่ให้เกิดกรณีเช่นนี้ขึ้นอีก โดยที่การกระทำเช่นนี้ก็เป็นการกระทำผิดระเบียบกฎเกณฑ์ที่ใช้กันมาตั้งแต่ปี 2001 ที่ห้ามการทำแท้งในช่วงที่เด็กในครรภ์เติบโตมากแล้ว
นางเฝิง วัย 22 ปี กับสามีมีบุตรสาววัย 5 ขวบอยู่แล้ว การที่เธอมีบุตรคนที่สองจึงขัดกับนโยบายลูกคนเดียวของจีน และจะต้องเสียค่าปรับ ซึ่งเธอและครอบครัวไม่มีจ่าย อย่างไรก็ดี รายงานข่าวระบุว่า ทั้งๆ ที่เธอครรภ์แก่แล้ว ก็ยังคงถูกเจ้าหน้าที่วางแผนครอบครัวเขตเจิงเจีย เมืองอานคัง บีบบังคับอยู่ถึง 3 วันเพื่อให้ทำแท้ง กระทั่งวันที่ 2 มิ.ย.จึงถูกจับฉีดยาขับทารก
ยิ่งภาพศพเด็กทารกเพศหญิง 7 เดือนที่ถูกฉีดยาขับออก ถูกนำมาวางคู่กับนางเฝิงได้แพร่ไปในโลกออนไลน์ ยิ่งทำให้กระแสโกรธเกรี้ยวลุกโหมไปทั่ว โดยในภาพจะเห็นนางเฝิงนอนหมดเรี่ยวแรง ใบหน้าโรยราไร้กำลังกายกำลังใจ
ชาวเน็ตคนหนึ่งประณามการกระทำดังกล่าวว่าเป็นการฆาตกรรมอย่างไร้มนุษยธรรมพอ ๆ กับการสังหารล้างเผ่าพันธุ์ของนาซีและของญี่ปุ่นช่วงสงคราม ตลอดจนการฆ่าเด็กในซีเรีย ส่วนชาวเน็ตคนอื่น ๆ เรียกร้องให้มีการทบทวนการปฏิบัติตามนโยบายลูกคนเดียวอย่างโหดร้ายเช่นนี้
ทั้งนี้จีนใช้นโยบายลูกคนเดียวตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1970 โดยครอบครัวในเขตเมืองจะได้รับอนุญาตให้มีลูกเพียงคนเดียว ส่วนครอบครัวในชนบทอาจจะได้รับอนุญาตให้มีลูกได้เป็นคนที่ 2 ในบางกรณี
นายเติ้ง จี้หยวน สามีของนางเฝิงให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ทางโทรศัพท์เมื่อวันพุธ(13) ว่า “ภรรยาของผมยังอาการไม่ดีขึ้น เธอเศร้าสลดหมดอาลัยตายอยาก บางทีจู่ ๆ ก็อารมณ์ร้ายและสับสนในตัวเอง”
ในระหว่างที่ภรรยาถูกบังคับทำแท้ง เติ้งผู้สามีกำลังทำงานอยู่ในเขตมองโกเลียใน เขาได้ข่าวภรรยาหลังจากเจ้าหน้าที่นำตัวนางเฝิงไป เขาบอกว่าไม่มีเงินจ่ายค่าปรับสำหรับการมีลูกอีกคน ซึ่งเป็นเงินที่“มากกว่าเงินที่ผมทำงานมา 4 ปีเสียอีก”
เติ้งเขียนข้อความในอินเทอร์เน็ตระบุว่า เจ้าหน้าที่ในเมืองใช้ผ้าสีดำมาคลุมศีรษะนางเฝิงขณะที่เธอถูกนำตัวขึ้นรถขับตรงดิ่งไปยังโรงพยาบาลอำเภอเจิ้นผิง ในเมืองอานคัง หลังจากนั้นก็ฉีดยาเร่งปฏิกิริยาให้กล้ามเนื้อของเธอหดตัวเพื่อบีบเอาเด็กออก