**การออกมาชุมนุมของ “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ” (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง เพื่อเคลื่อนไหวล่ารายชื่อยื่นถอดถอน 7 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่หน้ารัฐสภา เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ถูกมองว่าเป็นเพียง “ข้ออ้าง” เท่านั้น
เพราะหากมองให้ลึก วิเคราะห์กันถึงแผนซ้อนแผน ก็จะพบว่าเหตุผลที่แท้จริงของการระดมพลคนเสื้อแดงมาในครั้งนี้ ก็เพียงเพื่อเป็น “เกราะคุ้มกัน” สกัดกั้นการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ที่จะออกมาคัดค้านการออก “กฎหมายทำลายชาติบ้านเมือง” หรือ ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ ที่ฝ่ายรัฐต้องพ่ายแพ้ “พลังบริสุทธิ์” ของมวลชน “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” และแนวร่วมไปอย่างยับเยิน
นัยหนึ่งก็เป็นการชิงพื้นที่ ยึดสมรภูมิหน้ารัฐสภาไว้ก่อน เผื่อว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทย จะซ้อนแผน “ลักไก่” นำร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ เข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ อีกครั้ง
สุดท้ายแล้วการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ปักหลักอยู่หน้ารัฐสภา แบบข้ามวันข้ามคืนนั้น กลับต้องสูญเปล่า พับเสื่อกลับบ้านอย่างไม่เป็นท่า หรือเรียกได้ว่า เดินทางไกลมาเหนื่อยฟรี เมื่อ “ธิดา ถาวรเศรษฐ์” ประธาน นปช. ประกาศยุติการชุมนุมก่อนเวลาที่กำหนดไว้
เพราะนอกจากร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ จะถูกยัดใส่ลิ้นชัก ไม่นำขึ้นมาพิจารณาแล้ว ในการประชุมร่วมรัฐสภาวันนั้น พรรคเพื่อไทย ยังทำให้คนเสื้อแดงต้องผิดหวัง เมื่อไม่กล้าที่จะเดินหน้า ลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระที่ 3 ตามกำหนดการที่วางไว้ เนื่องเพราะติดขัดจากคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ ที่สั่งเบรกไว้ โดยให้รอการวินิจฉัยของศาลฯก่อน ว่าเป็นกระบวนการที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
แต่แล้ว พรรคเพื่อไทย ที่ลั่นวาจาก่อนวันประชุมว่า จะเดินหน้าโดยไม่ฟังคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะถือว่าไม่มีสิทธิ์ที่จะมาก้าวก่ายการทำหน้าที่ของ “ฝ่ายนิติบัญญัติ” กลับไม่กล้า เสนอญัตติให้ลงมติวาระ 3 ชำเรากฎหมายสูงสุดได้เสร็จสิ้นตามที่คนเสื้อแดงตามเชียร์อยู่
โดยเฉพาะอาการของ “ค้อนปลอม” สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ที่ดูจะมีแววกังวลอยู่ตลอดการประชุม เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา คล้ายกลับกลัวว่า ส.ส.เพื่อไทย คนไหนจะเล่นแผลงๆ เสนอญัตติให้ลงมติแบบไม่เตี้ยมกันไว้ก่อน เพราะนั่นอาจหมายถึงขาข้างหนึ่งของ “สมศักดิ์” ก้าวเข้าไปในตาราง เพราะหากสุดท้ายศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นการล้มล้างระบอบการปกครองจริง
** คนแรกที่ต้องรับผิดชอบก็คือ “สมศักดิ์” นั่นเอง
เป็นเหตุให้ต้อง “เตะถ่วง” ทอดเวลาไปอีกอึดใจ ก่อนมาลุ้นกันอีกหน ในวันที่ 12 มิ.ย.นี้
นอกเหนือจากระบวนการในรัฐสภาที่ผิดพลาด ผิดแผน จนตก “ปฏิทินการเมือง” ที่วางเอาไว้ แบบแผนรวนไปยกกระบิแล้ว สิ่งที่รับรู้ได้จาก 2-3 วัน ที่กลุ่มคนเสื้อแดงมาปักหลักชุมนุมที่หน้ารัฐสภา ก็คือการอำนวยความสะดวกจากเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ดูแลเหล่าผู้เข้าร่วมชุมนุมแบบแทบจะปูพรมแดงให้เดินกันเลยทีเดียว
กำลังเจ้าหน้าที่ ที่นำมาใช้ดูแลกลุ่มคนเสื้อแดงที่ทนนอนตากน้ำค้างอยู่หน้ารัฐสภา เป็นกำลังจาก “กองบัญชาการตำรวจนครบาล” เพียง 3 กองร้อย หรือราว 450 นาย เท่านั้น ต่างจากการชุมนุมของพันธมิตรฯ เมื่อสัปดาห์ก่อน ที่ระดมตำรวจนครบาล-ภูธร-หน่วยปราบจลาจล สิริรวมกว่า 30 กองร้อย หรือมากกว่า 4,000 นาย เข้าห้ำหั่นกับผู้ชุมนุม ที่มาทำหน้าที่พลเมืองตามรัฐธรรมนูญ อย่างสงบ และปราศจากอาวุธ
รวมทั้งก่อนหน้าที่ “พันธมิตรฯ” จะเคลื่อนมารวมตัวที่หน้ารัฐสภาได้ ก็ต้องฝ่าเครื่องกีดขวางต่างๆ นานา มากมาย เจรจากันอยู่หลายหน กว่าจะเข้ามาแสดงพลังที่หน้าหน้ารัฐสภาได้
ขณะเดียวกันการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในครั้งนี้ ก็ต้องยอมรับว่า มีการนำแท่นปูน-รั้วลวดหนาม มาติดตั้งบริเวณโดยรอบรัฐสภาอย่างแน่นหนา เช่นเดียวกับการชุมนุมของพันธมิตรฯ หากเพียงวัตถุประสงค์ของสิ่งกีดขวางเหล่านั้นกลับผิดกันราวฟ้ากับเหว
เพราะตอนที่พันธมิตรฯ มาชุมนุม ใช้เป็นเครื่องกีดขวางไม่ให้เข้าใกล้บริเวณรัฐสภาได้ แต่ของกลุ่มคนเสื้อแดง กลับนำมาใช้เป็นเครื่องป้องกัน รักษาความปลอดภัยไปในตัว ให้กับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงได้ปลอดภัย แต่ละด้านมีการตั้งด่านไว้ 2 ชั้น พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยืนดูแลอยู่ประจำจุดด้วย
เป็นเหมือนกับการป้องกันไม่ให้คนภายนอก เข้ามาสร้างความปั่นป่วน มากกว่าป้องกันการชุมนุม
ซึ่งจะผิดไปจากการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ และแนวร่วม ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะป้องกันอย่างเต็มที่ ไม่ให้ผู้ชุมนุมเข้าในพื้นที่
ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเป็น “สองมาตรฐาน” ของรัฐบาลชุดนี้ได้เป็นอย่างดี คือ คนที่มาดูแลจัดแจงสถานที่ก่อนที่กลุ่มคนเสื้อแดงจะทยอยมายึดพื้นที่หน้ารัฐสภา ก็เป็น พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. ได้เดินทางมาดูพื้นที่หน้ารัฐสภา เพื่อตรวจความเรียบร้อยด้วยตัวเอง
**ไม่ต่างจากการทำความสะอาดสถานที่ เพื่อต้อนรับ “แขกกิตติมศักดิ์” ของรัฐบาล
เมื่อดูให้ละเอียดก็จะพบอีกว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำหน้าที่อยู่เคียงคู่กับการ์ดของคนเสื้อแดงอยู่ตลอดเวลา ราวกับเป็นทีมงานเดียวกัน
และที่สร้างความฮือฮาให้กับสังคมได้ตั้งข้อสงสัยอีกเรื่อง ก็เมื่อมีการเปิดเผยของสื่อมวลชนบางสำนักว่าพบเห็น “ชายฉกรรจ์” ที่ถูกระบุว่า เจ้าหน้าที่ และลูกจ้างในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ จำนวนมาก ที่เดินทางมานอนหลับพักอยู่บนอาคารที่จอดรถของสวนสัตว์ดุสิต
มีการกางเต๊น ผูกเปลนอนกันเกือบทุกชั้น ซึ่งมีการคาดการณ์กันว่า ชายฉกรรจ์กลุ่มนี้จะเดินทางมาเพื่อเป็นการ์ดให้กับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ในครั้งนี้
ต่างๆเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนของ “ฝ่ายรัฐ” ได้เป็นอย่างดี หรือจะว่าไป วันนี้เราได้เห็น “ม็อบมีเส้น” ตัวจริง เสียงจริง
ตลอดจนสุ้มเสียงของ “คนในรัฐบาล” ที่เปลี่ยนคีย์ เปลี่ยนอารมณ์ ต่างจากการที่เคย “ตวาด” ใส่ผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ มาคราวนี้กลับออกอาการให้ท้ายกลุ่มคนเสื้อแดง ไม่มีแม้แต่การตำหนิว่าจะมาสร้างความวุ่นวาย ซึ่งเหมือนการเลือกปฏิบัติ ทั้งที่เป็นรัฐบาลของประชาชนทั้งประเทศ โดยเฉพาะ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ที่ออกชื่นชมการแสดงพลังของคนเสื้อแดงไม่ขาดปาก
ถึงบรรทัดนี้นอกจากจะสรุปว่า รัฐบาลชุดนี้ให้ท้ายกลุ่มคนเสื้อแดงแล้ว ยังมองได้อีกว่า “ฝ่ายบริหาร” ผู้รับผิดชอบประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ยังร่วมสนับสนุนการกระทำที่ไม่ส่งผลดีต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ในการปล่อยให้กลุ่มบุคคลคุกคาม โจมตีการทำหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ขัดขวางการทำหน้าที่ของ “ฝ่ายตุลาการ” ซึ่งเป็น 1 ใน 3 อำนาจที่สำคัญของประเทศ
โดยเฉพาะ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ก็ลอยตัวอยู่เหนือเรื่องนี้อย่างชัดเจน ไม่มีการห้ามปรามคนของตัวเองให้ยุติการกระทำในลักษณะสร้างความวุ่นวาย ความเดือดร้อนให้กับคนอื่นที่ยืนอยู่ในสังคม
เพราะที่ผ่านมาก็มีความชัดเจนว่า กลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุมอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าพรรคการเมืองที่ตัวเองสนับสนุน จะได้เป็นรัฐบาลแล้วก็ตาม จึงทำให้มีความน่าเป็นห่วงว่า หลังจากนี้ไปสังคมไทยจะมีแต่ความแตกแยกของประชาชนมากยิ่งขึ้นไป
**โดยที่รัฐบาลเป็นตัวการสำคัญ
เพราะหากมองให้ลึก วิเคราะห์กันถึงแผนซ้อนแผน ก็จะพบว่าเหตุผลที่แท้จริงของการระดมพลคนเสื้อแดงมาในครั้งนี้ ก็เพียงเพื่อเป็น “เกราะคุ้มกัน” สกัดกั้นการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ที่จะออกมาคัดค้านการออก “กฎหมายทำลายชาติบ้านเมือง” หรือ ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ ที่ฝ่ายรัฐต้องพ่ายแพ้ “พลังบริสุทธิ์” ของมวลชน “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” และแนวร่วมไปอย่างยับเยิน
นัยหนึ่งก็เป็นการชิงพื้นที่ ยึดสมรภูมิหน้ารัฐสภาไว้ก่อน เผื่อว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทย จะซ้อนแผน “ลักไก่” นำร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ เข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ อีกครั้ง
สุดท้ายแล้วการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ปักหลักอยู่หน้ารัฐสภา แบบข้ามวันข้ามคืนนั้น กลับต้องสูญเปล่า พับเสื่อกลับบ้านอย่างไม่เป็นท่า หรือเรียกได้ว่า เดินทางไกลมาเหนื่อยฟรี เมื่อ “ธิดา ถาวรเศรษฐ์” ประธาน นปช. ประกาศยุติการชุมนุมก่อนเวลาที่กำหนดไว้
เพราะนอกจากร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ จะถูกยัดใส่ลิ้นชัก ไม่นำขึ้นมาพิจารณาแล้ว ในการประชุมร่วมรัฐสภาวันนั้น พรรคเพื่อไทย ยังทำให้คนเสื้อแดงต้องผิดหวัง เมื่อไม่กล้าที่จะเดินหน้า ลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระที่ 3 ตามกำหนดการที่วางไว้ เนื่องเพราะติดขัดจากคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ ที่สั่งเบรกไว้ โดยให้รอการวินิจฉัยของศาลฯก่อน ว่าเป็นกระบวนการที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
แต่แล้ว พรรคเพื่อไทย ที่ลั่นวาจาก่อนวันประชุมว่า จะเดินหน้าโดยไม่ฟังคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะถือว่าไม่มีสิทธิ์ที่จะมาก้าวก่ายการทำหน้าที่ของ “ฝ่ายนิติบัญญัติ” กลับไม่กล้า เสนอญัตติให้ลงมติวาระ 3 ชำเรากฎหมายสูงสุดได้เสร็จสิ้นตามที่คนเสื้อแดงตามเชียร์อยู่
โดยเฉพาะอาการของ “ค้อนปลอม” สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ที่ดูจะมีแววกังวลอยู่ตลอดการประชุม เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา คล้ายกลับกลัวว่า ส.ส.เพื่อไทย คนไหนจะเล่นแผลงๆ เสนอญัตติให้ลงมติแบบไม่เตี้ยมกันไว้ก่อน เพราะนั่นอาจหมายถึงขาข้างหนึ่งของ “สมศักดิ์” ก้าวเข้าไปในตาราง เพราะหากสุดท้ายศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นการล้มล้างระบอบการปกครองจริง
** คนแรกที่ต้องรับผิดชอบก็คือ “สมศักดิ์” นั่นเอง
เป็นเหตุให้ต้อง “เตะถ่วง” ทอดเวลาไปอีกอึดใจ ก่อนมาลุ้นกันอีกหน ในวันที่ 12 มิ.ย.นี้
นอกเหนือจากระบวนการในรัฐสภาที่ผิดพลาด ผิดแผน จนตก “ปฏิทินการเมือง” ที่วางเอาไว้ แบบแผนรวนไปยกกระบิแล้ว สิ่งที่รับรู้ได้จาก 2-3 วัน ที่กลุ่มคนเสื้อแดงมาปักหลักชุมนุมที่หน้ารัฐสภา ก็คือการอำนวยความสะดวกจากเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ดูแลเหล่าผู้เข้าร่วมชุมนุมแบบแทบจะปูพรมแดงให้เดินกันเลยทีเดียว
กำลังเจ้าหน้าที่ ที่นำมาใช้ดูแลกลุ่มคนเสื้อแดงที่ทนนอนตากน้ำค้างอยู่หน้ารัฐสภา เป็นกำลังจาก “กองบัญชาการตำรวจนครบาล” เพียง 3 กองร้อย หรือราว 450 นาย เท่านั้น ต่างจากการชุมนุมของพันธมิตรฯ เมื่อสัปดาห์ก่อน ที่ระดมตำรวจนครบาล-ภูธร-หน่วยปราบจลาจล สิริรวมกว่า 30 กองร้อย หรือมากกว่า 4,000 นาย เข้าห้ำหั่นกับผู้ชุมนุม ที่มาทำหน้าที่พลเมืองตามรัฐธรรมนูญ อย่างสงบ และปราศจากอาวุธ
รวมทั้งก่อนหน้าที่ “พันธมิตรฯ” จะเคลื่อนมารวมตัวที่หน้ารัฐสภาได้ ก็ต้องฝ่าเครื่องกีดขวางต่างๆ นานา มากมาย เจรจากันอยู่หลายหน กว่าจะเข้ามาแสดงพลังที่หน้าหน้ารัฐสภาได้
ขณะเดียวกันการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในครั้งนี้ ก็ต้องยอมรับว่า มีการนำแท่นปูน-รั้วลวดหนาม มาติดตั้งบริเวณโดยรอบรัฐสภาอย่างแน่นหนา เช่นเดียวกับการชุมนุมของพันธมิตรฯ หากเพียงวัตถุประสงค์ของสิ่งกีดขวางเหล่านั้นกลับผิดกันราวฟ้ากับเหว
เพราะตอนที่พันธมิตรฯ มาชุมนุม ใช้เป็นเครื่องกีดขวางไม่ให้เข้าใกล้บริเวณรัฐสภาได้ แต่ของกลุ่มคนเสื้อแดง กลับนำมาใช้เป็นเครื่องป้องกัน รักษาความปลอดภัยไปในตัว ให้กับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงได้ปลอดภัย แต่ละด้านมีการตั้งด่านไว้ 2 ชั้น พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยืนดูแลอยู่ประจำจุดด้วย
เป็นเหมือนกับการป้องกันไม่ให้คนภายนอก เข้ามาสร้างความปั่นป่วน มากกว่าป้องกันการชุมนุม
ซึ่งจะผิดไปจากการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ และแนวร่วม ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะป้องกันอย่างเต็มที่ ไม่ให้ผู้ชุมนุมเข้าในพื้นที่
ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเป็น “สองมาตรฐาน” ของรัฐบาลชุดนี้ได้เป็นอย่างดี คือ คนที่มาดูแลจัดแจงสถานที่ก่อนที่กลุ่มคนเสื้อแดงจะทยอยมายึดพื้นที่หน้ารัฐสภา ก็เป็น พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. ได้เดินทางมาดูพื้นที่หน้ารัฐสภา เพื่อตรวจความเรียบร้อยด้วยตัวเอง
**ไม่ต่างจากการทำความสะอาดสถานที่ เพื่อต้อนรับ “แขกกิตติมศักดิ์” ของรัฐบาล
เมื่อดูให้ละเอียดก็จะพบอีกว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำหน้าที่อยู่เคียงคู่กับการ์ดของคนเสื้อแดงอยู่ตลอดเวลา ราวกับเป็นทีมงานเดียวกัน
และที่สร้างความฮือฮาให้กับสังคมได้ตั้งข้อสงสัยอีกเรื่อง ก็เมื่อมีการเปิดเผยของสื่อมวลชนบางสำนักว่าพบเห็น “ชายฉกรรจ์” ที่ถูกระบุว่า เจ้าหน้าที่ และลูกจ้างในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ จำนวนมาก ที่เดินทางมานอนหลับพักอยู่บนอาคารที่จอดรถของสวนสัตว์ดุสิต
มีการกางเต๊น ผูกเปลนอนกันเกือบทุกชั้น ซึ่งมีการคาดการณ์กันว่า ชายฉกรรจ์กลุ่มนี้จะเดินทางมาเพื่อเป็นการ์ดให้กับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ในครั้งนี้
ต่างๆเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนของ “ฝ่ายรัฐ” ได้เป็นอย่างดี หรือจะว่าไป วันนี้เราได้เห็น “ม็อบมีเส้น” ตัวจริง เสียงจริง
ตลอดจนสุ้มเสียงของ “คนในรัฐบาล” ที่เปลี่ยนคีย์ เปลี่ยนอารมณ์ ต่างจากการที่เคย “ตวาด” ใส่ผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ มาคราวนี้กลับออกอาการให้ท้ายกลุ่มคนเสื้อแดง ไม่มีแม้แต่การตำหนิว่าจะมาสร้างความวุ่นวาย ซึ่งเหมือนการเลือกปฏิบัติ ทั้งที่เป็นรัฐบาลของประชาชนทั้งประเทศ โดยเฉพาะ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ที่ออกชื่นชมการแสดงพลังของคนเสื้อแดงไม่ขาดปาก
ถึงบรรทัดนี้นอกจากจะสรุปว่า รัฐบาลชุดนี้ให้ท้ายกลุ่มคนเสื้อแดงแล้ว ยังมองได้อีกว่า “ฝ่ายบริหาร” ผู้รับผิดชอบประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ยังร่วมสนับสนุนการกระทำที่ไม่ส่งผลดีต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ในการปล่อยให้กลุ่มบุคคลคุกคาม โจมตีการทำหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ขัดขวางการทำหน้าที่ของ “ฝ่ายตุลาการ” ซึ่งเป็น 1 ใน 3 อำนาจที่สำคัญของประเทศ
โดยเฉพาะ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ก็ลอยตัวอยู่เหนือเรื่องนี้อย่างชัดเจน ไม่มีการห้ามปรามคนของตัวเองให้ยุติการกระทำในลักษณะสร้างความวุ่นวาย ความเดือดร้อนให้กับคนอื่นที่ยืนอยู่ในสังคม
เพราะที่ผ่านมาก็มีความชัดเจนว่า กลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุมอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าพรรคการเมืองที่ตัวเองสนับสนุน จะได้เป็นรัฐบาลแล้วก็ตาม จึงทำให้มีความน่าเป็นห่วงว่า หลังจากนี้ไปสังคมไทยจะมีแต่ความแตกแยกของประชาชนมากยิ่งขึ้นไป
**โดยที่รัฐบาลเป็นตัวการสำคัญ