xs
xsm
sm
md
lg

เรื่องของคนแก่

เผยแพร่:   โดย: ชัยอนันต์ สมุทวณิช

พอแก่ตัวลง ผมก็ไม่ค่อยมีงานทำนอกจากการประชุม 2-3 แห่ง ส่วนมากผมจะเป็นฝ่ายที่ฟังมากกว่าพูด จนใครๆ พากันกล่าวว่า ผมพูดน้อยลง คงเป็นเพราะตอนหนุ่มๆ ผมพูดมากหน่อย แก่ลงก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรที่สำคัญๆ เลย นั่งฟังคนอื่นอย่างเดียว

กิจวัตรของคนแก่ก็คือการไปหาหมอ ผมเป็นโรคหลายโรค ตั้งแต่ไต หัวใจ เบาหวาน ความดัน โลหิตจาง เวลานี้จึงต้องกินยาหลายขนาน และฉีดยาเองอีก การไปหาหมอนั้น เสียค่าเจาะเลือดแพงหน่อย ครั้งละเกือบสามพันบาท แต่ความสะดวกมีมากกว่าที่จะไปเจาะเลือดแล้วเบิกได้ตามโรงพยาบาลของรัฐ หมอที่รักษาผมดีใจหาย ไม่เคยคิดค่ารักษาพยาบาลเลย และรู้ว่าซื้อยาที่โรงพยาบาลเอกชนมันแพงและเบิกไม่ได้ ก็เลยสั่งซื้อยาที่โรงพยาบาลของรัฐให้ สั่งยาทีก็ใช้ไปได้ 2 เดือน เสียเงินหมื่นแปด แต่เอาใบเสร็จไปเบิกหลวงได้

คนแก่อย่างผมจะไปว่ายน้ำออกกำลังกายทุกวัน ผมไปว่ายสระ 25 เมตร ที่สปอร์ตคลับ เด็กมาหัดว่ายน้ำกันแยะ ผมจึงเลี่ยงไปว่ายที่สระเล็กของโปโลคลับ ว่ายทีละ 500 เมตร แต่เวลานี้ต้องหยุดพัก นอกจากนั้นผมก็ตีกอล์ฟกับเพื่อนๆ และกินข้าวกลางวันทุกวันพฤหัสฯ ผมเดินไม่ไหวแล้ว ต้องใช้รถกอล์ฟ อาทิตย์หนึ่งผมจะได้นวดหนึ่งครั้ง นับว่าเป็นความสุข เสร็จแล้วก็ไปหาอาหารอร่อยๆ กิน ซึ่งได้แก่ ก๋วยเตี๋ยวราดหน้าสลับกับก๋วยเตี๋ยวหมู

พูดถึงก๋วยเตี๋ยวราดหน้าแล้ว มี 4 แห่งที่อร่อยมาก ร้านแรกที่ผมคิดว่ามาอันดับหนึ่งก็คือ ก๋วยเตี๋ยวของร้านเล้งกี่อยู่ซอยสามย่าน 46 แยกออกจากซอยจุฬาฯ 11 ร้านนี้ทำราดหน้าฮ่องกงอร่อยมาก ชามละ 55 บาทใส่เนื้ออย่างดี นอกจากนั้นยังมีกาแฟเย็นที่รสชาติหอมหวานกลมกล่อม ร้านเล็กๆ คนส่วนมากนิยมสั่งห่อกลับบ้าน คนทำๆ ทีละชามจึงช้าหน่อย แต่ก็คุ้มค่าที่จะรอ อีก 3 ร้านคือร้านแสนยอดเดิมอยู่แถวบางรัก แต่เดี๋ยวนี้มีสาขาที่เซ็นทรัลเวิลด์ รสชาติดีไม่แพ้ร้านเล้งกี่ อีกแห่งหนึ่งก็คือ ร้านจ๊ากกี่ ซึ่งนอกจากราดหน้าแล้วยังมีเกี้ยวกุ้งอีก ส่วนที่สุดท้ายก็คือร้านมะ ยอดผัก ที่ราชวัตร นักเรียนวชิราวุธจะรู้จักทุกคน เพราะถ้าไม่เคย “โดดร่ม” (หนีโรงเรียน) มากินแล้ว ก็จะต้องสั่งซื้อให้ไปส่ง

กินก๋วยเตี๋ยวพวกนี้ถูกกว่ากินอาหารญี่ปุ่นหลายเท่าตัว และอร่อยกว่ากันมาก ผมกินก๋วยเตี๋ยวชามละ 55 บาท กาแฟเย็น 15 บาท รวม 70 บาทก็อิ่มแล้ว แถมตอนเย็นก็เกือบจะไม่ต้องกินอาหาร

กิจวัตรอีกอย่างหนึ่งของคนแก่ก็คือ การนอนกลางวันครั้งละ 1-2 ชั่วโมง ตื่นมาก็นั่งดูทีวีซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยทำตอนหนุ่มๆ เวลานี้ไปดูหนังเก่าๆ หลายเรื่องและดูละครหลายช่อง เพราะพอถึงโฆษณาก็เปลี่ยนย้ายช่องได้

ละครสมัยนี้จะว่าไปแล้ว ส่วนใหญ่ก็เหมือนๆ กันคือ นอกจากพระเอก และนางเอกแล้ว ก็มีตัวนางร้าย และที่ขาดเสียไม่ได้ก็คือ ตัวตลกซึ่งมักจะเป็นคนใช้

ละครที่นำมาแสดงกันนี้ ส่วนมากจะเป็นนวนิยายเก่าๆ ผมมีข้อสงสัยมากว่า การแปลบทมาเป็นละครทีวีนั้น เขาทำกันได้มากน้อยแค่ไหน มีการเคารพผู้แต่งคนเดิมบ้างหรือไม่ ผมเคยอ่านเรื่อง “แววมยุรา” ของพนมเทียนนานมาแล้ว พอมาเป็นละครแทบจะจำเรื่องไม่ได้ น่าสงสารพนมเทียนมาก เพราะคนเขียนบทเพิ่มตัวละครเข้ามาอีกตั้งโขยง เหลือแต่ชื่อพระเอกกับนางเอกไว้ เรื่องที่แต่งทำให้บุคลิกภาพของตัวเองต้องเปลี่ยนแปลงไป เช่น แววมยุรา นั้น แม้จะเป็นผู้หญิงที่หยิ่ง แต่ก็เรียบร้อย ส่วนที่แต่งขึ้นมาใหม่ ดูออกจะก๋ากั่นอยู่มาก เรื่องที่พนมเทียนเคยเขียนก็เปลี่ยนไปเกือบหมด เพราะเรื่องเดิมนั้นเรียบๆ

อีกเรื่องหนึ่งที่ผมดูแล้วคิดว่าทำได้ดีก็คือ เรื่องขุนศึก ที่ทำให้เราเห็นวิถีของชาวบ้าน ไพร่ และขุนนางว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร แต่ที่น่าสังเกตก็คือตัวละคร ทุกวันดูเป็นคนหูเบา และแสดงให้เห็นว่า สังคมโบราณนั้น มีการซุบซิบนินทาและให้ร้ายกันมาก ขนบธรรมเนียมไทยที่ดีก็คือ การรักนวลสงวนตัวของสตรีซึ่งในเรื่องทำได้ดี จะเห็นว่าอย่างดีก็แค่จับมือ ให้ดอกไม้กัน ที่ชอบมากก็คือภาษาพูดของคนโบราณที่ผมเห็นว่าเพราะมาก

วันนี้การเมืองน่าเซ็ง ผมก็เลยเขียนเรื่องเบาๆ เป็นเรื่องของคนแก่อายุจวน 70 นะครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น