“ยินดีที่ คุณพัทนัย แก้วแพง ได้กลับสู่ตำแหน่งหน้าที่...
...ต้อนรับ คุณมนตรี แก้วแพง สู่รั้ว มอ.ด้วยความอบอุ่น”
แม้ข้อความข้างต้นจะไม่มีให้เห็นบริเวณหน้าประตูทางเข้า หรือภายในรั้วสถาบันอุดมศึกษาอันเป็นเสาหลักตักศิลาของภาคใต้ แต่ในวันนี้บุคลากรจำนวนหนึ่งของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) กลับรู้สึกเหมือนกับมีป้ายเช่นนั้นอยู่ทั่วบริเวณ
ทั้งนี้ นางพัทนัย และนายมนตรี คือคู่ สามี-ภรรยา ที่กำลังเป็นที่โจษขานของคน มอ.
นางพัทนัย แก้วแพง คือพยาบาลในสังกัดคณะแพทยศาสตร์ และมีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้าหอผู้ป่วยกระดูกและข้อหญิงของโรงพยาบาล มอ. เคยสร้างเรื่องวีรกรรมเป็นข่าวครึกโครมด้วยการใช้ตำแหน่งหน้าที่ และใช้หัวกระดาษตราครุฑทำเรื่องในนามประธานชมรมพัฒนาบทบาทเสียงสตรีสงขลา ขออนุญาตใช้ห้องประชุมคณะแพทย์ฯ จัดกิจกรรมตีปี๊บกองทุนสตรีให้กับแก๊งคนเสื้อแดง หนำซ้ำยังมีการอ้างชื่อนายกฤษฎา บุญราช ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เป็นประธาน เหตุเกิดเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2555
ในวันนั้นคนเสื้อแดงไม่ว่าจะแท้ หรือเทียมเพราะเห็นแก่เงินกู้นับหมื่นที่รออยู่เบื้องหน้า ซึ่งได้เข้าร่วมในจำนวนนับพันคน จึงไม่ต่างจากกองทัพย่อยๆ ที่เคลื่อนพลมาพร้อมๆ กันตามเวลานัดหมาย ทำให้ภายในบริเวณ มอ.โกลาหลไปหมด โดยเฉพาะรอบๆ ห้องประชุมทองจันทร์หงส์ลดารมย์ อาคารเรียนรวมคณะแพทย์ฯ กฎระเบียบจราจรและการจอดรถที่ถูกบังคับใช้เข้มข้น กลับถูกกลุ่มคนเสื้อแดงละเมิดไม่เป็นท่า แม้กระทั่งกฎเหล็กเพิ่งออกใหม่ที่ห้ามรถจักยานยนต์ของบุคคลภายนอกเข้าสู่รั้ว มอ.ก็ไม่เป็นผล
กิจกรรมตีปี๊บกองทุนสตรีของแก๊งเสื้อแดงที่สร้างความปั่นป่วนไปทั่ว มอ.วันนั้น สร้างผลกระทบทั้งต่อการปฏิบัติงาน การเรียนการสอน และโดยเฉพาะโรงพยาบาล มอ.ที่อยู่ไม่ไกลจากห้องประชุม จึงทำให้มีอันต้องยุติกลางคันภายใต้การสั่งการของผู้บริหารคณะแพทย์ฯ
ว่ากันว่า กิจกรรมที่เริ่มจากนายมนตรี แก้วแพง ในนามที่ปรึกษาชมรมเสียงสตรีจังหวัดสงขลา กล่าวต้อนรับวิทยากรและบรรดาคนเสื้อแดง แล้วตามด้วยนางพัทนัย แก้วแพง กล่าวรายงานและแนะนำคณะทำงานชมรม พอถึงช่วงนางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ ที่อ้างว่าเป็นประธานชมรมเสียงสตรีประเทศไทย อดีต รมว.แรงงานและสวัสดิการสังคมในรัฐบาลระบอบทักษิณ ขึ้นเวทีจูงจมูกสาวกเสื้อแดงยังไม่จบด้วยซ้ำ ไฟฟ้าในห้องประชุมเกิดดับเสียก่อน ขณะที่คิวของนายสมพงษ์ สระกวี ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี อดีต ส.ว.สงขลา ที่มีกำหนดจะแสดงถัดไปก็ถูกยกเลิกโดยปริยาย
ไม่เพียงกระแสเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาหนาหูเท่านั้น ถัดไปเพียงวันเดียวคือ วันที่ 22 พฤษภาคม 2555 ยังมีคำสั่งของคณบดีคณะแพทยศาสตร์ มอ. ให้ตั้งกรรมการสอบนางพัทนัย แก้วแพง พร้อมๆ กับปลดให้พ้นจากตำแหน่งหัวหน้าหอผู้ป่วยกระดูกและข้อหญิงของโรงพยาบาล มอ. แถมพกด้วยการขึ้นบัญชีดำทั้งสามีและภรรยาคู่นี้ห้ามไม่ให้ใช้ห้องประชุมหรือใช้พื้นที่จัดกิจกรรมใดๆ ได้อีก
สาเหตุสำคัญๆ ที่มีการลงโทษทัณฑ์นางพัทนัย แก้วแพง เป็นเพราะไม่ทำตามข้อตกลงที่ขออนุญาตใช้สถานที่ไว้ แต่นำไปบิดเบือนทำกิจกรรมทางการเมืองที่สร้างความเสื่อมเสียแก่สถาบัน เอาเวลาราชการไปช่วยสามีทำงานการเมืองให้กับพรรคเพื่อไทย แถมยังกะเกณฑ์ผู้ใต้บังคับบัญชาไปบริการแก๊งเสื้อแดงอีกต่างหาก
หากอยากรู้ว่าอารมณ์และความรู้สึกของผู้คนในรั้ว มอ.และสังคมไทยที่มีต่อเรื่องนี้อย่างไร ลองติดตามไปที่นี่เลยครับ http://www.manager.co.th/Politics/viewnews.aspx?NewsID=9550000062771 กับ http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9550000062965 และ http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9550000063872
แต่ใครเลยจะคาดคิดว่า สิ่งต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นชนิดคนที่เป็นลูกพระบิดาและชาวบ้านร้านตลาดก่นด่ากันเสียงขรมเวลานั้น ณ ห้วงเวลานี้ในรั้ว มอ.กับดูเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นกับผัว-เมียคู่นี้เลย
เนื่องเพราะเพียงเวลาชั่วสัปดาห์จากที่ถูกตั้งกรรมการสอบ นางพัทนัย แก้วแพง ก็ได้กลับคืนสู่หน้าที่การงานในตำแหน่งอย่างที่หลายคนยังงงๆ ไม่หาย ด้านนายมนตรี แก้วแพง เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ก็มีคนพบเห็นเดินเชิดหน้าระรื่นอยู่ในรั้ว มอ. ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะเขาก็คือลูกหม้อของคณะแพทย์ฯ และเคยกินตำแหน่งถึงหัวหน้าหน่วยซักรีดโรงพยาบาล มอ. ที่ผันตัวออกมาทำธุรกิจก่อสร้างและบ้านจัดสรร หลังประสบปัญหาต้มยำกุ้งก็หันไปซุกปีกก๊วนการเมือง เล่นการเมืองท้องถิ่นไปได้ดีพอสมควร แต่เมื่อลงสมัคร ส.ส.สงขลาในนามพรรคเพื่อไทยสมัยที่แล้วกลับมีทีท่าว่าน่าจะตีบตันอยู่ไม่น้อย
กล่าวกันว่า ภายหลังเกิดเรื่องแก๊งเสื้อแดงบุก มอ.เป็นข่าวครึกโครม ได้มีพลังอำนาจรัฐที่เหนือกว่าบีบคั้นและกดดันให้ผู้บริหารคณะแพทยศาสตร์อย่างหนัก ถึงขั้นก่อนพ้นวาระเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา คนที่เคยเซ็นคำสั่งลงโทษแดงแฝงเร้นในคณะยังต้องออกคำสั่งใหม่ ห้ามบุคลากรในสังกัดใช้เวลาราชการไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง หรือไม่ให้สนับสนุนกิจกรรมของกลุ่มคนเสื้อสีใดๆ ทั้งสิ้นด้วย ซึ่งได้สร้างความกังขาอยู่ไม่น้อย
ถึงตรงนี้ผมอยากให้เราลองไปทบทวนภาพของ มอ.กันสักนิดนะครับ นับตั้งแต่ปี 2548 ที่เกิด “ปรากฏการณ์สนธิ” แล้วพัฒนาเป็น “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ลุกขึ้นขับไล่นักโทษหนีคุกทักษิณ ชินวัตร ต่อเนื่องสู่การสู้รบกับระบอบทักษิณจนเดี๋ยวนี้ แม้จะไม่มีการประกาศ แต่ก็เป็นที่รับรู้ของผู้คนว่า มอ.คือ “มหา’ลัยสีเหลือง”
เมื่อการเลือกตั้ง ส.ส.สมัยที่ผ่านมาที่พันธมิตรฯ รณรงค์โหวตโน สีเหลืองอาจจะเจือจางลงไปด้วยมี “สีฟ้า” ปรากฏขึ้นมาทาบทับ แต่ทั้งหมดทั้งปวงแล้วภาพของ มอ.แทบไม่เคยมีใครสามารถไปแต่งแต้มหรือป้าย “สีแดง” ให้สังคมได้เห็น
ทว่า หลังจากระบอบทักษิณได้อำนาจรัฐไปไว้ในกำมืออีกครั้ง ตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดให้น้องสาวสัมภเวสีหนีตะแรงแกงขึ้นไปกุมบังเหียน กลุ่มคนเสื้อแดงในรั้ว มอ.ที่เคยมีอยู่น้อยนิดก็สบช่องที่จะหาหนทางแสดงศักยภาพเพื่อโอกาสแห่งผลประโยชน์ขึ้นมาได้บ้าง จึงไม่แปลกที่จะเกิดเหตุการณ์กองทัพเสื้อแดงบุกตะลุยสถาบันการศึกษา และกลายเป็นข่าวใหญ่โตช่วงปลายเดือนก่อน
เวลานี้ที่เพิ่งมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร มอ.ชุดใหม่ แต่ไฉนบรรดาลูกพระบิดาจำนวนมากกลับรู้สึกถึงภาพลักษณ์ของสถาบันกำลังถูกทำให้เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย โดยเฉพาะปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับนางพัทนัย-นายมนตรี แก้วแพง ดังที่กล่าวมาแล้วเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดี
หรือว่าเวลานี้ มอ.ได้ถูกระบอบทักษิณละเลงสีแดงระเรื่อไปเสียแล้ว??!!
ผู้ที่จะให้คำตอบในเรื่องนี้ได้ดีที่สุดน่าจะคือ รศ.ดร.ชูศักดิ์ ลิ่มสกุล อธิการบดี มอ.คนใหม่หมาดๆ นั่นเอง