ASTVผู้จัดการรายวัน-ศาลอาญาพิพากษาตัดสินจำคุก "ธรรมรักษ์" 3 ปี 4 เดือน ข้อหาจ้างพรรคเล็กลงเลือกตั้ง โอดไร้คนในพรรคไทยรักไทยเหลียวแล ต้องสู้คดีคนเดียว ดิ้นอุทธรณ์อ้างบริสุทธิ์ "จาตุรนต์"ชี้ศาลตัดสินผิดเฉพาะตัว พรรคและคนอื่นไม่เกี่ยว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (30 พ.ค.) เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ห้องพิจารณา 913 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 5 เป็นโจทก์ฟ้อง พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีต รมว.กลาโหมและกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย นายอมรวิทย์ สุวรรณผล อดีตเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยและพัฒนาระบบบริหารฐานข้อมูลพรรคการเมือง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายชวการ หรือ กรกฤต โตสวัสดิ์ อดีตสมาชิกพรรคพัฒนาชาติไทย นายสุขสันต์ หรือ จตุชัย ชัยเทศ อดีตผู้อำนวยการการเลือกตั้งพรรคพัฒนาชาติไทย และนายบุญทวีศักดิ์ อมรสินธุ์ อดีตหัวหน้าพรรคพัฒนาชาติไทย เป็นจำเลยที่ 1-5 ตามลำดับ ในความผิดฐานกระทำผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ
คำฟ้องโจทก์สรุปว่า ระหว่างวันที่ 2-7 มี.ค.2549 ต่อเนื่องกัน จำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 3 จ้างวานให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพนักงานสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต โดยมอบเงินค่าตอบแทนให้จำเลยที่ 2 จำนวน 30,000 บาท ให้ดำเนินการตัดต่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายชื่อข้อมูลสมาชิกของพรรคพัฒนาชาติไทยที่ไม่มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากเป็นสมาชิกพรรคพัฒนาชาติไทยไม่ครบ 90 วัน ตามที่กฎหมายกำหนด เหตุเกิดหลายท้องที่เกี่ยวพันกัน
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เจตนากระทำความผิดจริง เพราะจำเลยที่ 2 เป็นบุคคลเดียวที่มีรหัสผ่านเข้าสู่ระบบฐานข้อมูลสมาชิกพรรคในคอมพิวเตอร์และเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่โดยตรงในการนำข้อมูลสมาชิกพรรคที่เปลี่ยนแปลงเข้าไปบันทึกในฐานข้อมูลนายทะเบียน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะต้องถูกต้องตามข้อมูลที่พรรคการเมืองส่งมา โดยจำเลยที่ 2 รับสารภาพว่าเป็นผู้ไปรับแบบเอกสารแจ้งเปลี่ยนข้อมูลสมาชิกพรรค พร้อมแผ่นบันทึกข้อมูลจากจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคพัฒนาชาติไทย เพื่อนำมาแก้ไขข้อมูล และจำเลยที่ 2 ได้เข้าไปแก้ไขการบันทึกเปลี่ยนแปลง โดยไม่ผ่านขั้นตอนการลงรับเอกสารงานสารบรรณของสำนักกิจการพรรคการเมืองและการออกเสียงประชามติ กกต. ทั้งยังไม่มีการเสนอเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาตามระดับชั้นอนุมัติจากนายทะเบียน และได้รับค่าตอบแทนด้วย ประกอบกับจำเลยที่ 2 ทำงานมานาน 2 ปีเศษ น่าจะต้องรู้กฎระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ ว่าการขอเปลี่ยนแปลงข้อมูลของพรรคการเมืองจะต้องผ่านขั้นตอนใดบ้าง
จึงพิพากษาว่า จำเลยที่ 1,3,4 ,5 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11 ให้จำคุกคนละ 3 ปี 4 เดือน ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ กกต. มีความผิดตาม พ.ร.บ.เดียวกันมาตรา 6 ให้จำคุก 5 ปี โดยไม่รอลงอาญาทั้งหมด และให้ริบเงินสดของกลางจำนวน 30,000 บาทด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า พล.อ.ธรรมรักษ์ เป็นหนึ่งใน 111 กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญพิพากษายุบพรรคและสั่งเพิกถอนสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค.2550 ซึ่งจะครบกำหนดวันที่ 31 พ.ค.2555 แต่พล.อ.ธรรมรักษ์ ได้ถูกพิพากษาให้จำคุกในคดีอาญา จากกรณีจ้างวานพรรคเล็กให้ลงสมัครรับเลือกตั้งแข่งกับพรรคไทยรักไทยอีก 3 ปี 4 เดือน ทั้งนี้ คดีอาญาสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 30 วัน
ทั้งนี้ ภายหลัง พล.อ.ธรรมรักษ์ จำเลยที่ 1 และนายบุญทวีศักดิ์ จำเลยที่ 5 ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดี โดยศาลอนุญาตปล่อยตัว โดยตีราคาประกันคนละ 5 แสนบาท
เวลา 11.45 น. พล.อ.ธรรมรักษ์ ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้สภาพจิตใจของตนยังดีอยู่ ยังสู้ โดยได้ปรึกษาเตรียมให้ทนายความไปยื่นประกันในชั้นอุทธรณ์ ซึ่งได้เตรียมหลักทรัพย์ไว้พร้อมแล้ว เพื่อเตรียมต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ เพราะมั่นใจว่าตนเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และที่ผ่านมา ตนได้ต่อสู้ด้วยตนเองโดยตลอด ซึ่งทางพรรคไม่เคยเข้ามาให้การช่วยเหลืออะไร และผลจากคำพิพากษาดังกล่าว ไม่ได้ทำให้ตนเสียกำลังใจและไม่รู้สึกท้อแท้ที่จะสู้ต่อไป
นายจตุรนต์ ฉายแสง สมาชิกบ้านเลขที่ 111 กล่าวมั่นใจว่า การที่ศาลตัดสินจำคุก พล.อ.ธรรมรักษ์ ครั้งนี้ จะไม่ส่งผลกระทบต่อการพ้นโทษการเพิกถอนสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี ของสมาชิกบ้านเลขที่ 111 เพราะศาลได้ตัดสินว่าเป็นความผิดส่วนบุคคล อย่างไรก็ตาม การตัดสิทธิ์ดังกล่าว ไม่ได้ชี้ให้เห็นว่าการตัดสิทธิ์ยุบพรรคไทยรักไทย และการตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี ของกรรมการบริหารพรรคที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่ถูกต้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (30 พ.ค.) เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ห้องพิจารณา 913 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 5 เป็นโจทก์ฟ้อง พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีต รมว.กลาโหมและกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย นายอมรวิทย์ สุวรรณผล อดีตเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยและพัฒนาระบบบริหารฐานข้อมูลพรรคการเมือง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายชวการ หรือ กรกฤต โตสวัสดิ์ อดีตสมาชิกพรรคพัฒนาชาติไทย นายสุขสันต์ หรือ จตุชัย ชัยเทศ อดีตผู้อำนวยการการเลือกตั้งพรรคพัฒนาชาติไทย และนายบุญทวีศักดิ์ อมรสินธุ์ อดีตหัวหน้าพรรคพัฒนาชาติไทย เป็นจำเลยที่ 1-5 ตามลำดับ ในความผิดฐานกระทำผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ
คำฟ้องโจทก์สรุปว่า ระหว่างวันที่ 2-7 มี.ค.2549 ต่อเนื่องกัน จำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 3 จ้างวานให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพนักงานสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต โดยมอบเงินค่าตอบแทนให้จำเลยที่ 2 จำนวน 30,000 บาท ให้ดำเนินการตัดต่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายชื่อข้อมูลสมาชิกของพรรคพัฒนาชาติไทยที่ไม่มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากเป็นสมาชิกพรรคพัฒนาชาติไทยไม่ครบ 90 วัน ตามที่กฎหมายกำหนด เหตุเกิดหลายท้องที่เกี่ยวพันกัน
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เจตนากระทำความผิดจริง เพราะจำเลยที่ 2 เป็นบุคคลเดียวที่มีรหัสผ่านเข้าสู่ระบบฐานข้อมูลสมาชิกพรรคในคอมพิวเตอร์และเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่โดยตรงในการนำข้อมูลสมาชิกพรรคที่เปลี่ยนแปลงเข้าไปบันทึกในฐานข้อมูลนายทะเบียน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะต้องถูกต้องตามข้อมูลที่พรรคการเมืองส่งมา โดยจำเลยที่ 2 รับสารภาพว่าเป็นผู้ไปรับแบบเอกสารแจ้งเปลี่ยนข้อมูลสมาชิกพรรค พร้อมแผ่นบันทึกข้อมูลจากจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคพัฒนาชาติไทย เพื่อนำมาแก้ไขข้อมูล และจำเลยที่ 2 ได้เข้าไปแก้ไขการบันทึกเปลี่ยนแปลง โดยไม่ผ่านขั้นตอนการลงรับเอกสารงานสารบรรณของสำนักกิจการพรรคการเมืองและการออกเสียงประชามติ กกต. ทั้งยังไม่มีการเสนอเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาตามระดับชั้นอนุมัติจากนายทะเบียน และได้รับค่าตอบแทนด้วย ประกอบกับจำเลยที่ 2 ทำงานมานาน 2 ปีเศษ น่าจะต้องรู้กฎระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ ว่าการขอเปลี่ยนแปลงข้อมูลของพรรคการเมืองจะต้องผ่านขั้นตอนใดบ้าง
จึงพิพากษาว่า จำเลยที่ 1,3,4 ,5 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11 ให้จำคุกคนละ 3 ปี 4 เดือน ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ กกต. มีความผิดตาม พ.ร.บ.เดียวกันมาตรา 6 ให้จำคุก 5 ปี โดยไม่รอลงอาญาทั้งหมด และให้ริบเงินสดของกลางจำนวน 30,000 บาทด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า พล.อ.ธรรมรักษ์ เป็นหนึ่งใน 111 กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญพิพากษายุบพรรคและสั่งเพิกถอนสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค.2550 ซึ่งจะครบกำหนดวันที่ 31 พ.ค.2555 แต่พล.อ.ธรรมรักษ์ ได้ถูกพิพากษาให้จำคุกในคดีอาญา จากกรณีจ้างวานพรรคเล็กให้ลงสมัครรับเลือกตั้งแข่งกับพรรคไทยรักไทยอีก 3 ปี 4 เดือน ทั้งนี้ คดีอาญาสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 30 วัน
ทั้งนี้ ภายหลัง พล.อ.ธรรมรักษ์ จำเลยที่ 1 และนายบุญทวีศักดิ์ จำเลยที่ 5 ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดี โดยศาลอนุญาตปล่อยตัว โดยตีราคาประกันคนละ 5 แสนบาท
เวลา 11.45 น. พล.อ.ธรรมรักษ์ ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้สภาพจิตใจของตนยังดีอยู่ ยังสู้ โดยได้ปรึกษาเตรียมให้ทนายความไปยื่นประกันในชั้นอุทธรณ์ ซึ่งได้เตรียมหลักทรัพย์ไว้พร้อมแล้ว เพื่อเตรียมต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ เพราะมั่นใจว่าตนเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และที่ผ่านมา ตนได้ต่อสู้ด้วยตนเองโดยตลอด ซึ่งทางพรรคไม่เคยเข้ามาให้การช่วยเหลืออะไร และผลจากคำพิพากษาดังกล่าว ไม่ได้ทำให้ตนเสียกำลังใจและไม่รู้สึกท้อแท้ที่จะสู้ต่อไป
นายจตุรนต์ ฉายแสง สมาชิกบ้านเลขที่ 111 กล่าวมั่นใจว่า การที่ศาลตัดสินจำคุก พล.อ.ธรรมรักษ์ ครั้งนี้ จะไม่ส่งผลกระทบต่อการพ้นโทษการเพิกถอนสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี ของสมาชิกบ้านเลขที่ 111 เพราะศาลได้ตัดสินว่าเป็นความผิดส่วนบุคคล อย่างไรก็ตาม การตัดสิทธิ์ดังกล่าว ไม่ได้ชี้ให้เห็นว่าการตัดสิทธิ์ยุบพรรคไทยรักไทย และการตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี ของกรรมการบริหารพรรคที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่ถูกต้อง