xs
xsm
sm
md
lg

รบกวนคนทำมาหากิน : สีสันประชาธิปไตยหรือ?

เผยแพร่:   โดย: สามารถ มังสัง

อธิปไตย หรือความเป็นใหญ่ เป็นคำที่มีรากศัพท์มาจากภาษามคธ และมีเนื้อหาแบ่งออกเป็น 3 ประเภทตามนัยแห่งคำสอนของพระพุทธเจ้า ดังนี้

1. อัตตาธิปไตย หมายถึง การประมาณตน หรือถือตัวเองเป็นใหญ่ในการทำหรือไม่ทำอะไร ซึ่งเปรียบได้กับระบอบการปกครองในระบอบเผด็จการ ซึ่งมีบุคคลคนเดียวหรือกลุ่มบุคคลกลุ่มเดียวมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการสั่งการให้ใครทำอะไรก็ได้ ภายใต้กฎหมายหรือกติกาทางสังคมที่กำหนดขึ้นภายใต้ระบบนี้

2. โลกาธิปไตย หมายถึง การประมาณโลก ถือหมู่ในสังคมนั้นๆ เป็นใหญ่ ซึ่งเปรียบได้กับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยยึดถือความเห็นของคนหมู่มากในสังคมเป็นใหญ่ จะเป็นไปโดยตรงเช่นการทำประชามติสอบถามความเห็นของประชาชน หรือโดยอ้อมคือ ผ่านผู้แทนเสียงข้างมากที่ได้รับเลือกจากประชาชนเข้ามาทำหน้าที่แทนในระบบรัฐสภา

3. ธัมมาธิปไตย หมายถึง การประมาณหรือการยึดถือความถูกต้องและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายเป็นหลักในการทำ และไม่ทำอะไร

ในบรรดาอธิปไตย 3 ประการนี้ พระพุทธองค์ทรงเน้นให้ใช้ข้อที่ 3 ในการทำและไม่ทำอะไร และการยึดหลักตามนัยนี้เป็นไปได้ในโลกของอริยะ คือ ผู้ที่ปราศจากกิเลส และไม่ทำอะไรเพื่อตนเอง แต่จะทำเพื่อเป็นการอนุเคราะห์ผู้อื่น

แต่ในโลกของปุถุชนคนมีกิเลส การจะทำโดยยึดข้อที่ 3 ประการเดียวคงเกิดขึ้นได้ยาก เพราะเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่คนมีกิเลสจะต้องนึกถึงประโยชน์ของตนเอง และพวกพ้องก่อน

ดังนั้น แนวทางที่จะทำให้การปกครองเป็นไปได้ และเอื้อประโยชน์ในการปกครองมากที่สุดก็คือ ใช้ข้อที่ 3 ควบคู่กับข้อที่ 1 เพียงแต่ให้เน้นข้อที่ 3 ให้มาก ในทำนองที่ตนเองและพวกพ้องของตนเองได้ แต่จะต้องไม่เบียดเบียนคนอื่นให้เดือดร้อนจากการได้ของตนเองและพวกพ้อง หรือถ้าจะให้ดีกว่านี้จะต้องให้คนอื่นได้พอๆ กับที่ตนเองและพวกพ้องของตนเองได้ด้วย

ทั้งหมดคือแนวทางการปกครองแบบพุทธที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ และคณะสงฆ์ไทยได้จัดการปกครองสงฆ์โดยใช้แนวทางนี้

ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ และมีประชากรส่วนใหญ่เป็นพุทธมามกะ ดังนั้น ถ้าจะนำแนวทางนี้มาประยุกต์ใช้กับการปกครองก็น่าจะเกิดประโยชน์ดีกว่ายึดแนวทางประชาธิปไตยแบบตะวันตกที่มีฐานการคิดมาจากวัตถุนิยมเพียงอย่างเดียว โดยมองข้ามจิตนิยมแบบตะวันออกที่มีมาแต่ดั้งเดิม และนำพาประเทศไทยรอดพ้นจากการคุกคามของตะวันตกมาแล้วในยุคล่าเมืองขึ้น ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศเอกราชไม่ต้องเป็นเมืองขึ้นของฝรั่ง

แต่เดี๋ยวนี้และเวลานี้ลูกหลานไทยกำลังนำพาประเทศไปสู่การเป็นเมืองขึ้นทางเศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของตะวันตกด้วยความสมัครใจ และดูเหมือนว่าจะมีความภูมิใจที่ประเทศกำลังจะเป็นเช่นนั้นด้วยซ้ำ ทั้งนี้จะเห็นได้จากเหตุปัจจัยในเชิงตรรกะดังต่อไปนี้

1. การปกครองในระบอบประชาธิปไตยของประเทศที่เป็นอยู่ในขณะนี้มีความเป็นประชาธิปไตยแค่รูปแบบ คือ มีการเลือกตั้งและนำผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาทำหน้าที่ทั้งในด้านนิติบัญญัติ และบริหาร โดยจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไร อาศัยจำนวนเสียงข้างมากในสภาฯ อันเป็นรูปแบบของโลกาธิปไตย แต่ไม่คำนึงว่าสิ่งที่ทำนั้นผู้คนในสังคมโดยรวมจะได้หรือเสียอะไรในแง่ของความเป็นธรรม และความถูกต้องเท่าใดนัก จะเห็นได้ชัดเจนในการแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ว่าแก้เพื่ออะไร และใครได้ประโยชน์ และที่สำคัญที่สุดประชาชนส่วนใหญ่ต้องการเช่นนั้นหรือไม่ ทั้งยังไม่ได้สอบถามโดยการทำประชามติก่อน

2. ในการบริหารประเทศโดยการนำนโยบายประชานิยมมาใช้ และเมื่อพบว่าใช้แล้วเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานก็โยนความผิดไปให้คนอื่นบ้าง โยนให้ภัยธรรมชาติบ้าง จะเห็นได้จากการแก้ปัญหาของแพงที่บอกว่าคนซื้อคิดไปเองบ้าง ของแพงเพราะธรรมชาติบ้าง แต่ไม่เคยบอกว่านโยบายผิดพลาด และยอมรับผิดแล้วทำสิ่งที่ถูกอันเป็นแนวทางของธัมมาธิปไตย แต่กลับใช้แนวทางโลกาธิปไตยคือเสียงข้างมากในสภาฯ และความเป็นรัฐบาลแก้ปัญหาในลักษณะพวกมากลากไป จะเห็นได้จากกรณีของสินค้าแพง การแก้ปัญหาน้ำท่วม

และสุดท้ายการแก้ปัญหาความไม่สงบเรียบร้อยในสังคม อันเกิดจากคนเสื้อแดงใช้สิทธิเสรีภาพเกินขอบเขตรบกวนขับไล่ ตั๊ก บงกช หรือนางสาวบงกช คงมาลัย ที่ไปถ่ายทำภาพยนตร์ที่พัทยาจนถึงกับต้องหนีตายเอาตัวรอด และเลิกการถ่ายทำภาพยนตร์ เป็นเหตุให้เสียงานเสียเวลา และเสียเงินโดยไม่ได้งาน ถือได้ว่าล่วงละเมิดสิทธิผู้อื่นในการใช้ชีวิตตามปกติซึ่งคนทั่วๆ ไปมีสิทธิทำได้ และได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายบ้านเมือง และที่สำคัญเมื่อเกิดเรื่องนี้ หลายท่านจากฟากรัฐบาลได้ออกมาพูดในทำนองให้ท้ายคนเสื้อแดง และในขณะเดียวกัน โยนไปให้ทางฝ่ายผู้ถูกรบกวนไปแจ้งความ ซึ่งรู้อยู่แล้วว่าถึงแจ้งความไปก็เอาผิดยาก และเสียเวลาทำมาหากิน และเชื่อว่าในที่สุดแล้วเรื่องนี้ก็คงเงียบไปเอง

และถ้าเรื่องนี้เงียบไปจะด้วยผู้ถูกรบกวนไม่อยากค้าความ ก็จะเข้าทางรองนายกฯ เฉลิม อยู่บำรุง ที่บอกว่าเรื่องเสื้อแดงรบกวนตั๊ก บงกช ก็แค่สีสันของประชาธิปไตย

แต่ที่น่าเกลียดและรับไม่ค่อยได้ก็คือคำพูดของ รมว.มหาดไทย นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ที่ว่าไม่ได้ขับรถไล่เพียงแต่ขับรถตาม ฟังดูแล้วขัดแย้งกับภาพที่เห็นจากทีวีที่มีการขับรถตามพร้อมกับเสียงขับไล่ แต่เอาเถอะ เมื่อทางฝ่ายรัฐบาลบอกไม่ไล่ก็ไม่ไล่ แต่วันหนึ่งข้างหน้าถ้าปรากฏว่ามีทีมงานถ่ายทำภาพยนตร์ไปถ่ายทำ แล้วเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้อีก จะพูดเหมือนเดิมหรือไม่จะคอยฟัง
กำลังโหลดความคิดเห็น