ครบรอบ 2 ปีของการเผาบ้าน เผาเมือง และการหลอกให้คนเสื้อแดงมาตาย นช. ทักษิณ ชินวัตร ฉวยโอกาสนี้ เรียกร้องให้คนเสื้อแดงเสียสละเพื่อตัวเองอีกครั้ง ขอให้ รักในหลวง เลิกทวงถามความยุติธรรม ปรองดองกัน เพื่อตัวเขาจะได้กลับบ้านได้ โดยไม่ต้องติดคุก
“สถาบันพระมหากษัตริย์คือศูนย์รวมใจของคนทั้งชาติ ต้องรักษาสถาบันกษัตริย์ไว้ นั่นคือสิ่งที่จะได้เลิกทะเลาะกัน หันหน้าเข้าหากัน แล้วมั่นใจบ้านเมืองจะดี อนาคตลูกหลานจะไปได้ดี
ถ้าไม่ปรองดอง ผมก็อยู่เมืองนอกต่อไป แม้คิดถึงพี่น้องที่ไทยตลอดเวลา โดยเฉพาะคนยากคนจน คนรักประชาธิปไตย อยากตอบแทนให้ลูกหลานท่านมีอนาคตที่ดี ถ้าปรองดองก็มีโอกาสกลับไปตอบแทนพี่น้อง แต่ถ้าพี่น้องไม่เอาปรองดอง ให้ผมอยู่เมืองนอกไปก็ไม่ว่าอะไร แต่ต้องหยุดตั้งสติคิดว่าแล้วใครได้ ใครเสีย รบต่อไปพ่อค้าอาวุธรวยอย่างเดียว”
ทักษิณ คนเดียวกันนี้เอง เมื่อสองปีที่แล้ว เคยปลุดระดมคนเสื้อแดงว่า “ วันใดที่เสียงปืนแตก ผมจะกลับมานำทัพพี่น้อง ด้วยตัวผมเอง “ แต่วันนี้เขาบอกว่า “ พี่น้องแจวเรือพาผมถึงฝั่งแล้ว เวลานี้ ผมจะขับรถขึ้นเขา ผมก็ยังไม่ลืมคนขับเรือมาส่งผม วันนี้ เราได้ทำหน้าที่มาสุดทาง แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะเลิกทำหน้าที่ เราจะต้องติดตามความไม่เป็นธรรม ไม่ลืมว่าใครยัดเยียดความไม่ธรรมให้กับเรา”
สุดทางของทักษิณ ก็คือ การได้กลับมากุมอำนาจอย่างเด็ดขาดอีกครั้งหนึ่ง ผ่านระบบการเลือกตั้ง แม้ว่า จะยังไม่สามารถกลับประเทศได้โดยไม่ต้องติดคุก และได้เงิน 46,000 ล้านบาทคืน แต่ ภารกิจของคนเสื้อแดง ในการเป็นบันไดให้เขาเหยีบขึ้นไปสู่ยอดปิรามิดแห่งอำนาจ ได้จบสิ้นลงแล้ว การต่อสู้เพื่อลบล้างความผิดให้ตัวเองตาอจากนี้ไป ไม่อาจใช้ความตายและความรุนแรงเป็นอาวุธได้ เหมือนที่ผ่านมา เพราะวันนี้ เขาคือ ผู้ครองอำนาจ ต่างจากเมื่อสองปีก่อน ที่พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้าน พรรคประชาธิปัตย์ เป็นรัฐบาล เขาทำได้ทุกอย่าง เพื่อล้มรัฐบาล
คนเสื้อแดง ที่เคยเป็นเครื่องมือ กำลังกลายเป็นภาระ อุปสรรค ที่ทักษิณต้องการสลัดทิ้งโดยเร็วที่สุด
ถ้าเปรียบคนเสื้อแดง เป็นดั่งขบวนรถไฟเหมือนที่ นายวีระกานต์ หรือวีระ มุสิกพงศ์ อดีตประธาน นปช. เคยอุปมาไว้ เมื่อ ต้นเดือนพฤษภาคม 2553 ก่อนที่ คนเสื้อแดงจะถูกแกนนำ นปช. พาเข้าสู่ลานประหารโดยไม่รู้ตัว ครั้งนั้น รถไฟขบวนนี้ เดินทางมาถึง สถานีบางซื่อแล้ว นายวีระ ขอหยุดที่นี่ เพราะได้มาถึงปลายทางคือ บรรลุเป้าหมายที่ ต้องการให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภา จัดการเลือกตั้งใหม่แล้ว แม้ว่า จะไม่ใช่ยุบสภาฯภายใน 30 วัน ตามข้อรียกร้องเดิม แต่ นายอภิสิทธิ์ ก็ได้กำหนดวันเลือกตั้งที่แน่นอนแล้วคือ วันที่ 14 พฤศจิกายน 2553
อย่างไรก็ตาม แกนนำ นปช. ที่มีบทบทในการนำมวลชนในที่ชุมนุม ไม่ยอมหยุดรถไฟขบวนนี้ แต่จะไปต่อให้ถึงหัวลำโพง ทั้งๆ ที่รัฐบาลยอมตามข้อเรียกร้องแล้ว แต่เจ้าของรถไฟไม่ยอม สั่งให้ แกนนำ นปช. ยุติการเจรจา ชุมนุมต่อไป โดยหวังว่า ความตายของคนเสื้อแดง ในที่ชุมนุม จะทำให้สถานการณ์แบบ พฤษภา 2535 เกิดขึ้นอีก และ จะกดดันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้เข้ามาคลี่คลายสถานการณ์ นายวีระจึงขอลงจากรถไฟ ยุติบทบาท ลาออกจากการเป็นประธาน นปช.
นายวีระ ให้สมภาษณ์ หนังสือพิมพ์ ประชาชาติ ธุรกิจ ฉบับล่าสุดว่า
“ วัน ที่ผมลงจากรถไฟก็มีคนเสื้อแดงมากมายกล่าวหาว่า ผมละทิ้งมวลชน เพราะไม่อาจจะอธิบายได้ด้วยเหตุผลคือ 1.ถูกขังอยู่ 2.เมื่อศาลให้ประกันตัวแล้ว มีเงื่อนไขว่าห้ามให้สัมภาษณ์ใด ๆ ก็เลยต้องนิ่งต่อไป
แม้สิ่งที่ผมทำจะมีคนเห็นด้วยจำนวนหนึ่ง แต่เมื่อเราเป็นเสียงข้างน้อยในกลุ่มแกนนำ ก็ควรที่จะสละอำนาจบริหารและถอยลงมา ผมได้แต่ฝากทิ้งท้ายว่าเราได้เจรจาต่อรองกับรัฐบาลอย่างเต็มที่แล้วคือ รัฐบาลประกาศยุบสภาและกำหนดวันเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ย. 53 เมื่อไม่รับข้อเสนอนี้ผมก็ไม่อาจรับผิดชอบได้ ผมขอลงก่อนที่บางซื่อ ไม่ไปหัวลำโพง เพราะมีอีกหลายศพระหว่างทาง ผมรู้ดี ดังนั้นเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้แกนนำต้องรับผิดชอบ
เอาเป็นว่าในวันนั้นผมไม่สามารถอธิบายกับคนอื่นได้ แต่ผ่านมาจนถึงวันนี้ทุกคนรับรู้แล้วว่า หากยุติการชุมนุมตั้งแต่วันนั้นก็จะไม่มีคนตายถึง 91 ศพ “
วิสา คัญทัพ หนึ่งในแกนนำ นปช. ขณะนั้น เขียน “ บันทึกของวิสา คัญทัพ ฉบับที่ 1-4 “ เล่า ปัญหาในช่วงนั้น กล่าวถึงกรณีนี้ว่า
“ วันที่ 10 พฤษภาคม 2553 เมื่อประธานวีระ มุสิกพงศ์ ลงขบวนรถไฟไป เหตุเพราะข้อเรียกร้องยุบสภาบรรลุแล้ว และแนวทางการต่อสู้ส่อเค้าจะหลุดเฟรมแห่งสันติวิธี มีสำเนียงบางอย่างกระตุ้นเร้าความ รุนแรงแทรกซ้อนการนำของ นปช. ผมจึงเห็นด้วยและขอลงสถานีเดียวกับวีระ ใครจะชิงชังรังเกียจและหยามเหยียดอย่างไรก็ว่ากันไป เรารับเสียงร่ำไห้แห่งความโศก เศร้า เลือดเนื้อ น้ำตา การบาดเจ็บ สูญเสีย ไม่ได้อีกแล้ว
เราคิดล่วงหน้ากันไว้แล้วว่า ถ้าได้ชัยชนะ เมื่อรัฐบาลยอม "ยุบสภา" เราจะกลับไปรุกเร่งเรื่องโรงเรียน นปช.อย่างเอาการเอางานต่อไป ขณะเดียวกันพรรคเพื่อไทยก็เดินหน้าหาเสียงคู่ขนานกันไปกับขบวนพลเสื้อแดง ที่ชัดเจนก็คือ นปช.เรียกร้องประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นี่คือเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ที่ นปช.ประชุมสรุปผลว่าจะเดินไปตามนี้
สุดท้าย สิ่งสำคัญที่สุดที่ย้ำกันหนักแน่นตลอดมาก็คือ "สันติวิธี" สันติวิธีที่แท้จริงเท่านั้นที่จะทำให้เราได้ชัยชนะในการชุมนุมใหญ่ครั้งนี้”
แต่ทว่าเค้าลางของความรุนแรงก็ล่วงล้ำกล้ำกรายเข้ามาในขบวนการของ นปช.ตลอด ผ่านเงาทะมึนของบางคนและบางองค์กร มิใยว่าจะปัดป้องและเดินหลีกหนีไปอย่างไรก็มิสามารถหลุดพ้น การพัวพันดังกล่าวแอบแฝงหลบเร้น และเปิดเผยโจ่งแจ้ง มาตั้งแต่ต้น จนระยะท้ายๆของการชุมนุม ถึงขั้นจะปลด "สามเกลอ" ออกจากแกนนำ ตั้งฝ่ายฮาร์ดคอร์ขึ้นเป็นแทน ดังข่าวที่ปรากฏออกมา”
นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ซึ่งเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และเป็นตัวแทนนายอภิสิทธิ์ ในการเจรจากับแกนนำ นปช. ในขณะนั้น ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ ฉบับเดียวกับที่สัมภาษณ์นายวีระกานต์ มีข้อความตอนหนึ่งว่า
“ วันนั้นทุกคนมีธงของตัวเองอยู่แล้ว เวลาสังคมแตกแยกทุกอย่างมันอ่อนไหว แต่สรุปง่าย ๆ ทุกอย่างก็อยู่ที่คุณทักษิณ ถ้าเขาได้สิ่งที่เขาต้องการ ก็จะไม่มีการก่อกวน บรรยากาศมันก็ปรองดอง อย่างทุกวันนี้ก็ถือว่าปรองดองไม่มีใครมาปลุกปั่นอะไร
(คำถาม) กลายเป็นว่าข้อเสนอบนโต๊ะเจรจามีแต่วาระของคุณทักษิณ
ก็ไม่เชิง แต่ว่าตอนจบคุณทักษิณไม่ได้อะไรเลย การเจรจาก็เลยล้มไป ความจริงคุณอภิสิทธิ์ ยอมหมดทุกอย่าง ทั้งนิรโทษกรรมคนการเมืองทั้ง 111 ทั้ง 109 เพราะเป็นเรื่องการเมือง แต่เรื่องคอร์รัปชั่นเรายอมไม่ได้ ส่วน 2 มาตรฐานก็เห็นชอบกันว่าจะให้ตั้งคณะกรรมการร่วมช่วยกันทำงาน จะเปิดทีวีเสื้อแดงเหมือนเดิม และตั้งคณะกรรมการกลางมาช่วยดูเรื่องเลือกตั้ง นี่คือผลลัพธ์สุดท้ายที่ผมได้คุยกับคุณวีระ
เราเจรจากันถึงขั้นที่ว่า เขาจะยอมมอบตัวและสลายการชุมนุมโดยมีข้อแม้ว่าต้องให้แกนนำทุกคนขึ้นไปบนเวทีส่งพี่น้องกลับบ้านก่อน จากนั้นค่อยเข้ามอบตัว ปรากฏว่าสุดท้ายเหตุการณ์มันตรงกันข้าม สถานการณ์ความรุนแรงก็เลยเกิดขึ้น “
วันนั้น ถ้าทักษิณ สั่งให้รถไฟหยุดที่สถานีบางซื่อ คนเสื้อแดง ทหาร ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ช่างภาพชาวอิตาเลียน คงไม่ต้องล้มตายกันเป็นใบไม้ร่วง เซ็นทรัลเวิลด์ โรงหนังสยาม และร้านค้าใกล้เคียง ห้างเซ็นเตอร์วัน คงไม่ถูกเผา
วันนี้ แกนนำ นปช.ที่ขับรถไฟออกจากสถานีบางซื่อ พาคนเสื้อแดงไปตาย ตามคำสั่งของเจ้าของรถไฟ หลายคน แอบลงจากรถไฟ กลับมาเป็นอำมาตย์ที่สถานีบางซื่อ
ในวาระครบรอบ 2 ปี แห่งการเผาบ้านเผาเมือง นช. ทักษิณ สั่งให้คนเสื้อแดงลงจากรถไฟ เพราะว่าวันนี้ เขามาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว
มีแต่คนที่จิตใจอำมหิต ใช้ชิวิตประชาชน และความสงบสุขของบ้านเมือง เป็นเครื่องมือชำระแค้น เท่านั้น จึงจะทำเช่นนี้ได้
อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องสงสาร และอย่า สมน้ำหน้าคนเสื้อแดง เพราะพวกเขา ยอมให้ทักษิณ จูงจมูกได้อยู่แล้ว ไม่เชื่อก็ลองไปถาม แม่น้องเกด หรือลูกสาวเสธฯแดงดูสิว่า ระหว่างการทวงถามความยุติธรรมให้กับคนที่รัก กับ เงิน 7.5 ล้านบาท และลาภยศอื่นๆ พวกเขาจะเลือกอะไร.
“สถาบันพระมหากษัตริย์คือศูนย์รวมใจของคนทั้งชาติ ต้องรักษาสถาบันกษัตริย์ไว้ นั่นคือสิ่งที่จะได้เลิกทะเลาะกัน หันหน้าเข้าหากัน แล้วมั่นใจบ้านเมืองจะดี อนาคตลูกหลานจะไปได้ดี
ถ้าไม่ปรองดอง ผมก็อยู่เมืองนอกต่อไป แม้คิดถึงพี่น้องที่ไทยตลอดเวลา โดยเฉพาะคนยากคนจน คนรักประชาธิปไตย อยากตอบแทนให้ลูกหลานท่านมีอนาคตที่ดี ถ้าปรองดองก็มีโอกาสกลับไปตอบแทนพี่น้อง แต่ถ้าพี่น้องไม่เอาปรองดอง ให้ผมอยู่เมืองนอกไปก็ไม่ว่าอะไร แต่ต้องหยุดตั้งสติคิดว่าแล้วใครได้ ใครเสีย รบต่อไปพ่อค้าอาวุธรวยอย่างเดียว”
ทักษิณ คนเดียวกันนี้เอง เมื่อสองปีที่แล้ว เคยปลุดระดมคนเสื้อแดงว่า “ วันใดที่เสียงปืนแตก ผมจะกลับมานำทัพพี่น้อง ด้วยตัวผมเอง “ แต่วันนี้เขาบอกว่า “ พี่น้องแจวเรือพาผมถึงฝั่งแล้ว เวลานี้ ผมจะขับรถขึ้นเขา ผมก็ยังไม่ลืมคนขับเรือมาส่งผม วันนี้ เราได้ทำหน้าที่มาสุดทาง แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะเลิกทำหน้าที่ เราจะต้องติดตามความไม่เป็นธรรม ไม่ลืมว่าใครยัดเยียดความไม่ธรรมให้กับเรา”
สุดทางของทักษิณ ก็คือ การได้กลับมากุมอำนาจอย่างเด็ดขาดอีกครั้งหนึ่ง ผ่านระบบการเลือกตั้ง แม้ว่า จะยังไม่สามารถกลับประเทศได้โดยไม่ต้องติดคุก และได้เงิน 46,000 ล้านบาทคืน แต่ ภารกิจของคนเสื้อแดง ในการเป็นบันไดให้เขาเหยีบขึ้นไปสู่ยอดปิรามิดแห่งอำนาจ ได้จบสิ้นลงแล้ว การต่อสู้เพื่อลบล้างความผิดให้ตัวเองตาอจากนี้ไป ไม่อาจใช้ความตายและความรุนแรงเป็นอาวุธได้ เหมือนที่ผ่านมา เพราะวันนี้ เขาคือ ผู้ครองอำนาจ ต่างจากเมื่อสองปีก่อน ที่พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้าน พรรคประชาธิปัตย์ เป็นรัฐบาล เขาทำได้ทุกอย่าง เพื่อล้มรัฐบาล
คนเสื้อแดง ที่เคยเป็นเครื่องมือ กำลังกลายเป็นภาระ อุปสรรค ที่ทักษิณต้องการสลัดทิ้งโดยเร็วที่สุด
ถ้าเปรียบคนเสื้อแดง เป็นดั่งขบวนรถไฟเหมือนที่ นายวีระกานต์ หรือวีระ มุสิกพงศ์ อดีตประธาน นปช. เคยอุปมาไว้ เมื่อ ต้นเดือนพฤษภาคม 2553 ก่อนที่ คนเสื้อแดงจะถูกแกนนำ นปช. พาเข้าสู่ลานประหารโดยไม่รู้ตัว ครั้งนั้น รถไฟขบวนนี้ เดินทางมาถึง สถานีบางซื่อแล้ว นายวีระ ขอหยุดที่นี่ เพราะได้มาถึงปลายทางคือ บรรลุเป้าหมายที่ ต้องการให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภา จัดการเลือกตั้งใหม่แล้ว แม้ว่า จะไม่ใช่ยุบสภาฯภายใน 30 วัน ตามข้อรียกร้องเดิม แต่ นายอภิสิทธิ์ ก็ได้กำหนดวันเลือกตั้งที่แน่นอนแล้วคือ วันที่ 14 พฤศจิกายน 2553
อย่างไรก็ตาม แกนนำ นปช. ที่มีบทบทในการนำมวลชนในที่ชุมนุม ไม่ยอมหยุดรถไฟขบวนนี้ แต่จะไปต่อให้ถึงหัวลำโพง ทั้งๆ ที่รัฐบาลยอมตามข้อเรียกร้องแล้ว แต่เจ้าของรถไฟไม่ยอม สั่งให้ แกนนำ นปช. ยุติการเจรจา ชุมนุมต่อไป โดยหวังว่า ความตายของคนเสื้อแดง ในที่ชุมนุม จะทำให้สถานการณ์แบบ พฤษภา 2535 เกิดขึ้นอีก และ จะกดดันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้เข้ามาคลี่คลายสถานการณ์ นายวีระจึงขอลงจากรถไฟ ยุติบทบาท ลาออกจากการเป็นประธาน นปช.
นายวีระ ให้สมภาษณ์ หนังสือพิมพ์ ประชาชาติ ธุรกิจ ฉบับล่าสุดว่า
“ วัน ที่ผมลงจากรถไฟก็มีคนเสื้อแดงมากมายกล่าวหาว่า ผมละทิ้งมวลชน เพราะไม่อาจจะอธิบายได้ด้วยเหตุผลคือ 1.ถูกขังอยู่ 2.เมื่อศาลให้ประกันตัวแล้ว มีเงื่อนไขว่าห้ามให้สัมภาษณ์ใด ๆ ก็เลยต้องนิ่งต่อไป
แม้สิ่งที่ผมทำจะมีคนเห็นด้วยจำนวนหนึ่ง แต่เมื่อเราเป็นเสียงข้างน้อยในกลุ่มแกนนำ ก็ควรที่จะสละอำนาจบริหารและถอยลงมา ผมได้แต่ฝากทิ้งท้ายว่าเราได้เจรจาต่อรองกับรัฐบาลอย่างเต็มที่แล้วคือ รัฐบาลประกาศยุบสภาและกำหนดวันเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ย. 53 เมื่อไม่รับข้อเสนอนี้ผมก็ไม่อาจรับผิดชอบได้ ผมขอลงก่อนที่บางซื่อ ไม่ไปหัวลำโพง เพราะมีอีกหลายศพระหว่างทาง ผมรู้ดี ดังนั้นเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้แกนนำต้องรับผิดชอบ
เอาเป็นว่าในวันนั้นผมไม่สามารถอธิบายกับคนอื่นได้ แต่ผ่านมาจนถึงวันนี้ทุกคนรับรู้แล้วว่า หากยุติการชุมนุมตั้งแต่วันนั้นก็จะไม่มีคนตายถึง 91 ศพ “
วิสา คัญทัพ หนึ่งในแกนนำ นปช. ขณะนั้น เขียน “ บันทึกของวิสา คัญทัพ ฉบับที่ 1-4 “ เล่า ปัญหาในช่วงนั้น กล่าวถึงกรณีนี้ว่า
“ วันที่ 10 พฤษภาคม 2553 เมื่อประธานวีระ มุสิกพงศ์ ลงขบวนรถไฟไป เหตุเพราะข้อเรียกร้องยุบสภาบรรลุแล้ว และแนวทางการต่อสู้ส่อเค้าจะหลุดเฟรมแห่งสันติวิธี มีสำเนียงบางอย่างกระตุ้นเร้าความ รุนแรงแทรกซ้อนการนำของ นปช. ผมจึงเห็นด้วยและขอลงสถานีเดียวกับวีระ ใครจะชิงชังรังเกียจและหยามเหยียดอย่างไรก็ว่ากันไป เรารับเสียงร่ำไห้แห่งความโศก เศร้า เลือดเนื้อ น้ำตา การบาดเจ็บ สูญเสีย ไม่ได้อีกแล้ว
เราคิดล่วงหน้ากันไว้แล้วว่า ถ้าได้ชัยชนะ เมื่อรัฐบาลยอม "ยุบสภา" เราจะกลับไปรุกเร่งเรื่องโรงเรียน นปช.อย่างเอาการเอางานต่อไป ขณะเดียวกันพรรคเพื่อไทยก็เดินหน้าหาเสียงคู่ขนานกันไปกับขบวนพลเสื้อแดง ที่ชัดเจนก็คือ นปช.เรียกร้องประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นี่คือเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ที่ นปช.ประชุมสรุปผลว่าจะเดินไปตามนี้
สุดท้าย สิ่งสำคัญที่สุดที่ย้ำกันหนักแน่นตลอดมาก็คือ "สันติวิธี" สันติวิธีที่แท้จริงเท่านั้นที่จะทำให้เราได้ชัยชนะในการชุมนุมใหญ่ครั้งนี้”
แต่ทว่าเค้าลางของความรุนแรงก็ล่วงล้ำกล้ำกรายเข้ามาในขบวนการของ นปช.ตลอด ผ่านเงาทะมึนของบางคนและบางองค์กร มิใยว่าจะปัดป้องและเดินหลีกหนีไปอย่างไรก็มิสามารถหลุดพ้น การพัวพันดังกล่าวแอบแฝงหลบเร้น และเปิดเผยโจ่งแจ้ง มาตั้งแต่ต้น จนระยะท้ายๆของการชุมนุม ถึงขั้นจะปลด "สามเกลอ" ออกจากแกนนำ ตั้งฝ่ายฮาร์ดคอร์ขึ้นเป็นแทน ดังข่าวที่ปรากฏออกมา”
นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ซึ่งเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และเป็นตัวแทนนายอภิสิทธิ์ ในการเจรจากับแกนนำ นปช. ในขณะนั้น ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ ฉบับเดียวกับที่สัมภาษณ์นายวีระกานต์ มีข้อความตอนหนึ่งว่า
“ วันนั้นทุกคนมีธงของตัวเองอยู่แล้ว เวลาสังคมแตกแยกทุกอย่างมันอ่อนไหว แต่สรุปง่าย ๆ ทุกอย่างก็อยู่ที่คุณทักษิณ ถ้าเขาได้สิ่งที่เขาต้องการ ก็จะไม่มีการก่อกวน บรรยากาศมันก็ปรองดอง อย่างทุกวันนี้ก็ถือว่าปรองดองไม่มีใครมาปลุกปั่นอะไร
(คำถาม) กลายเป็นว่าข้อเสนอบนโต๊ะเจรจามีแต่วาระของคุณทักษิณ
ก็ไม่เชิง แต่ว่าตอนจบคุณทักษิณไม่ได้อะไรเลย การเจรจาก็เลยล้มไป ความจริงคุณอภิสิทธิ์ ยอมหมดทุกอย่าง ทั้งนิรโทษกรรมคนการเมืองทั้ง 111 ทั้ง 109 เพราะเป็นเรื่องการเมือง แต่เรื่องคอร์รัปชั่นเรายอมไม่ได้ ส่วน 2 มาตรฐานก็เห็นชอบกันว่าจะให้ตั้งคณะกรรมการร่วมช่วยกันทำงาน จะเปิดทีวีเสื้อแดงเหมือนเดิม และตั้งคณะกรรมการกลางมาช่วยดูเรื่องเลือกตั้ง นี่คือผลลัพธ์สุดท้ายที่ผมได้คุยกับคุณวีระ
เราเจรจากันถึงขั้นที่ว่า เขาจะยอมมอบตัวและสลายการชุมนุมโดยมีข้อแม้ว่าต้องให้แกนนำทุกคนขึ้นไปบนเวทีส่งพี่น้องกลับบ้านก่อน จากนั้นค่อยเข้ามอบตัว ปรากฏว่าสุดท้ายเหตุการณ์มันตรงกันข้าม สถานการณ์ความรุนแรงก็เลยเกิดขึ้น “
วันนั้น ถ้าทักษิณ สั่งให้รถไฟหยุดที่สถานีบางซื่อ คนเสื้อแดง ทหาร ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ช่างภาพชาวอิตาเลียน คงไม่ต้องล้มตายกันเป็นใบไม้ร่วง เซ็นทรัลเวิลด์ โรงหนังสยาม และร้านค้าใกล้เคียง ห้างเซ็นเตอร์วัน คงไม่ถูกเผา
วันนี้ แกนนำ นปช.ที่ขับรถไฟออกจากสถานีบางซื่อ พาคนเสื้อแดงไปตาย ตามคำสั่งของเจ้าของรถไฟ หลายคน แอบลงจากรถไฟ กลับมาเป็นอำมาตย์ที่สถานีบางซื่อ
ในวาระครบรอบ 2 ปี แห่งการเผาบ้านเผาเมือง นช. ทักษิณ สั่งให้คนเสื้อแดงลงจากรถไฟ เพราะว่าวันนี้ เขามาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว
มีแต่คนที่จิตใจอำมหิต ใช้ชิวิตประชาชน และความสงบสุขของบ้านเมือง เป็นเครื่องมือชำระแค้น เท่านั้น จึงจะทำเช่นนี้ได้
อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องสงสาร และอย่า สมน้ำหน้าคนเสื้อแดง เพราะพวกเขา ยอมให้ทักษิณ จูงจมูกได้อยู่แล้ว ไม่เชื่อก็ลองไปถาม แม่น้องเกด หรือลูกสาวเสธฯแดงดูสิว่า ระหว่างการทวงถามความยุติธรรมให้กับคนที่รัก กับ เงิน 7.5 ล้านบาท และลาภยศอื่นๆ พวกเขาจะเลือกอะไร.