xs
xsm
sm
md
lg

เงินกับการขาดดุลทางศีลธรรมจรรยา

เผยแพร่:   โดย: ไสว บุญมา

อีกห้าเดือนกว่าๆ อเมริกาจะเลือกประธานาธิบดี ในช่วงนี้เรื่องราวเกี่ยวกับการหาเงินมาใช้ในการเลือกตั้งของประธานาธิบดีบารัค โอบามา จึงน่าจะผ่านสายตาผู้ติดตามข่าวเสมอเนื่องจากเขาจะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นครั้งที่สองแน่นอน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาไปปรากฏตัวในงานที่ดาราฮอลลีวูดจัดขึ้นเพื่อหาเงินให้เขา ตามรายงานข่าว ผู้ไปร่วมงานอาจต้องจ่ายในราคาถึงคนละ 40,000 ดอลลาร์ หรือกว่า 1.2 ล้านบาทและงานนั้นอาจหาเงินให้เขาได้ถึง 12 ล้านดอลลาร์

การเลือกตั้งในอเมริกาอาจไม่มีการซื้อเสียงเช่นในเมืองไทย แต่นักการเมืองก็ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลในการหาเสียง การบริจาคเงินให้นักการเมืองจึงมองได้ว่าเป็นความพยายามซื้อนักการเมืองเนื่องจากผู้บริจาคเงินก้อนใหญ่ๆ มักเข้าถึงนักการเมืองทุกระดับได้เสมอ รายงานล่าสุดบ่งว่า ค่ายของโอบามาหาเงินได้แล้ว 197 ล้านดอลลาร์ คาดกันว่ากว่าจะถึงวันเลือกตั้งในตอนต้นเดือนพฤศจิกายน เขาจะหาเงินได้เกิน 650 ล้านดอลลาร์ซึ่งเขาหาได้ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ทางด้านพรรครีพับลิกัน คาดกันว่ามิตต์ รอมนี จะเป็นตัวแทนของพรรคลงสมัครแข่งขันกับโอบามา ตอนนี้เขาหาเงินได้แล้ว 88 ล้านดอลลาร์ซึ่งมากกว่าบรรดานักการเมืองในพรรคนั้นทั้งหมด

ตัวเลขเหล่านั้นเป็นเงินที่บริจาคให้ค่ายของผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งโดยตรงซึ่งผู้สมัครจะนำไปใช้ในการหาเสียง นอกจากนั้น ยังมีการบริจาคทางอ้อมอีกจำนวนหนึ่งซึ่งบริษัทและองค์กรต่างๆ ทำกันเป็นประจำแต่ไม่มีตัวเลขเผยแพร่ออกมา ส่วนใหญ่เป็นเงินที่ใช้ไปในการโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อต่อต้านหรือสนับสนุนจุดยืนของนักการเมืองในประเด็นดังๆ ซึ่งกำลังถกเถียงกันอย่างเข้มข้น เช่น ประเด็นเกี่ยวกับการแต่งงานของบุคคลเพศเดียวกันซึ่งโอบามาเพิ่งให้การสนับสนุนเมื่อสัปดาห์ก่อน ในการเลือกตั้งครั้งที่จะมาถึงนี้ คาดว่าจะมีองค์กรต่างๆ ออกมาโฆษณาทั้งในด้านต่อต้านและในด้านสนับสนุนจุดยืนของเขา องค์กรดังกล่าวมีจำนวนมากและมักมีเงินสำหรับใช้ในการสนับสนุนนักการเมืองเพื่อโน้มน้าวพวกเขาให้มาเข้าข้างฝ่ายตนเสมอ

นอกจากจะใช้เงินในระหว่างการเลือกตั้งแล้ว องค์กรเหล่านั้นยังจ้างนักวิ่งเต้นในวอชิงตันอย่างต่อเนื่องเพื่อให้พวกเขาพยายามโน้มน้าวนักการเมืองอีกด้วย ตามรายงานขององค์กรเอกชนชื่อ Center for Responsive Politicsนักวิ่งเต้นอาชีพมีเกินหมื่นคน ส่วนหนึ่งเป็นเสือปืนเดี่ยวและเป็นนักการเมืองเก่าซึ่งเข้าถึงนักการเมืองด้วยกันอยู่แล้ว อีกส่วนหนึ่งทำงานเป็นกลุ่มในรูปของบริษัท จะทำงานในรูปไหนไม่สำคัญ คนพวกนี้มักรับงานทั้งในอเมริกาและในต่างประเทศหากมีผู้จ้าง แม้กระทั่งนักโทษหนีคุกไทยก็จ้างพวกเขาไว้เพราะมีเงินมากพอ ตามข้อมูลที่นักเศรษฐศาสตร์เจฟฟรี่ เซคส์ อ้างถึงในหนังสือชื่อ The Price of Civilization ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา องค์กรที่ใช้เงินในการวิ่งเต้นมากที่สุด 5 อันดับแรกได้แก่ตัวแทนภาคการเงิน (4.5 พันล้านดอลลาร์) ตัวแทนบริษัทยา (4.5 พันล้านดอลลาร์) ตัวแทนภาคธุรกิจทั่วไป (4.5 พันล้านดอลลาร์) ตัวแทนธุรกิจสื่อสารและอิเล็กทรอนิกส์ (3.7 พันล้านดอลลาร์) และตัวแทนภาคพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ (3.3 พันล้านดอลลาร์)

ตัวเลขเหล่านี้น่าจะชี้บ่งว่าเพราะอะไรอเมริกาจึงไม่กล้าออกกฎหมายควบคุมภาคการเงินโดยเฉพาะกองทุนเพื่อเก็งกำไรทั้งที่ภาคนี้เป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจซึ่งยืดเยื้อมาถึงปัจจุบัน ร้ายยิ่งกว่านั้น รัฐบาลยังเข้าไปอุ้มเมื่อบริษัทการเงินขนาดใหญ่ใกล้จะล่มอีกด้วย ในช่วงนี้มีหนังสือเกี่ยวกับอิทธิพลของบริษัทต่างๆ ทางการเงินพิมพ์ออกมาไม่ขาด ผู้ต้องการตัวอย่างอาจไปอ่านเรื่องเงินและอำนาจของวาณิชธนกิจโกลด์แมน เซคส์ชื่อ Money and Power: How Goldman Sachs Came to Rule the Worldโดยวิลเลียม โคฮาน ยิ่งกว่านั้น ถ้าต้องการรู้ว่าบริษัทน้ำมันซึ่งกำลังสร้างปัญหาใหญ่ให้เมืองไทยทำงานอย่างไรควรไปอ่านหนังสือชื่อ Private Empire: ExxonMobil and American Powerโดยสตีฟ คอลล์

สิ่งที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งคือ บริษัทขนาดยักษ์เหล่านั้นอาจไม่ทำผิดกฎหมาย แต่ผู้เขียนเช่นสตีฟ คอลล์ ให้สัมภาษณ์ว่า สิ่งที่พวกเขาพยายามทำคือ ใช้อิทธิพลทางการเงินโน้มน้าวให้นักการเมืองแก้กฎหมายไปในทางที่ตนต้องการ การกระทำเช่นนั้นคงไม่ต่างกันกับกรณีที่มีการแก้กฎหมายไทยไม่กี่วันก่อนอดีตนายกรัฐมนตรีไทยจะขายบริษัทให้ต่างชาติเป็นเงินนับหมื่นล้านบาทโดยไม่เสียภาษี ส่วนต่างที่มองเห็นได้อาจเป็นเรื่องที่คนไทยเป็นทั้งนักการเมืองและเจ้าของบริษัท อเมริกาไม่มีประวัติเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อเปิดทางให้นักโทษหนีคุกพ้นคดีในแบบที่นักการเมืองทรามๆ พยายามทำกันอยู่ในเมืองไทย

องค์กรและบริษัทขนาดยักษ์เหล่านั้นไม่จ้างเฉพาะนักวิ่งเต้นเท่านั้น พวกเขายังสนับสนุนการวิจัยซึ่งพวกเมธีบริกรตั้งธงไว้ล่วงหน้าแล้วอีกด้วย เป็นที่ทราบกันดีว่าบริษัทน้ำมันต่อต้านมาตรการที่จะแก้ปัญหาโลกร้อน ฉะนั้น พวกเขาจะสนับสนุนเมธีที่ยอมเป็นผีโม่แป้งทำวิจัยเพื่อให้ได้ผลสรุปออกมาว่าการเผาผลาญน้ำมันไม่เป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหาโลกร้อน เรื่องทรามๆ ทำนองนี้มีอยู่ในทุกวงการรวมทั้งในด้านเศรษฐศาสตร์ด้วย เมื่อต้นเดือนนี้ นักเศรษฐศาสตร์ชั้นรางวัลโนเบลพอล ครุกแมน พิมพ์หนังสือชื่อ End This Depression Now! ออกมา เขาชี้ให้เห็นว่านักเศรษฐศาสตร์อเมริกันชั้นนำบางคนเป็นเมธีผีโม่แป้งไม่ต่างกับนักเศรษฐศาสตร์ไทยที่กำลังจะเข้าไปดึงทุนสำรองของชาติออกมาให้นักการเมืองถลุง

ทั้งหลายทั้งปวงที่เล่ามานี้มีเงินเป็นปัจจัยในการขับเคลื่อนในหนังสือชื่อ Freefall: America, Free Markets, and the Sinking of the World Economy โจเซฟ สติกลิตซ์ ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้นรางวัลโนเบลเช่นกันมองว่ามันเกิดจากการขาดดุลทางศีลธรรมจรรยา เงินมากับความก้าวหน้า แต่เงินมา จรรยาหนี สภาพนี้กำลังเกิดขึ้นในเมืองไทยเช่นเดียวกับในอเมริกาหรือไม่น่าจะมองเห็นได้แจ้งชัดแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น