พีทีที โกลบอลฯเตรียมออกหุ้นกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐในครึ่งปีหลัง เพื่อลงทุนซื้อหุ้น 2บริษัทในต่างประเทศและชำระคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระ หวั่นไตรมาส 2 ขาดทุนสต็อกน้ำมันหลังราคาน้ำมันดิบวูบจากปัญหายุโรป
นายปฏิภาณ สุคนธมาน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) เปิดเผยว่า บริษัทฯมีแผนออกหุ้นกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐไม่ต่ำกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อายุมากกว่า 10 ปี เสนอขายให้นักลงทุนต่างประเทศในครึ่งปีหลังนี้ เนื่องจากเป็นจังหวะดีในการเสนอขายหุ้นกู้เพราะตลาดหุ้นต่างประเทศซบเซาและอัตราดอกเบี้ยต่ำ
โดยการออกหุ้นกู้ครั้งนี้เพื่อรองรับการลงทุนใหม่และชำระคืนหนี้เงินกู้ที่ครบกำหนดชำระ โดยปีนี้บริษัทฯมีแผนใช้เงินประมาณ 500 ล้านเหรียญสหรัฐในการชำระหนี้หุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระปีนี้ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ และชำระเงินซื้อหุ้น 2 บริษัทในต่างประเทศ คือ บริษัท NatureWorks LLC จำกัด วงเงิน 150 ล้านเหรียญสหรัฐ บริษัทPerstorp Holding France SAS วงเงิน 114 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่ากระบวนการซื้อหุ้นดังกล่าวจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2 นี้
ทั้งนี้ บริษัทฯมีแผนจะออกหุ้นกู้วงเงินรวม 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐภายใน 5ปีนี้ เพื่อรองรับแผนการขยายการลงทุนใน 5ปีข้างหน้าที่จะใช้เงินลงทุน 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2555 ประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท
นายปฏิภาณ กล่าวต่อไปว่า จากราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลงในช่วงนี้ ส่งผลให้ราคาเม็ดพลาสติกHDPEอ่อนตัวลงมาอยู่ที่ 1,300กว่าเหรียญสหรัฐ ทำให้ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ (สเปรด)กลับมาแคบลงอีกครั้ง โดยสเปรดเม็ดพลาสติกHDPE ล่าสุดอยู๋ที่ 370 เหรียญสหรัฐต่อตัน จากปลายสัปดาห์ที่แล้วอยู่ระดับ 400 กว่าเหรียญสหรัฐทำให้โรงงานโอเลฟินส์ที่ใช้แนฟธาเป็นวัตถุดิบประสบปัญหาขาดทุน ขณะเดียวกันจีนก็ชะลอการสั่งซื้อเม็ดพลาสติกในช่วงที่ผ่านมา ทำให้สต็อกเม็ดพลาสติกเหลือเพียง 14 วันจากเดิมเคยมีสต็อกอยู่ 20 วันดังนั้นหากสถานการณ์ราคาน้ำมันมีเสถียรภาพมากขึ้นเชื่อว่าจีนจะกลับมาสั่งซื้อสินค้าอีกครั้ง ส่วนสเปรดพาราไซลีนในไตรมาสนี้ คาดว่าจะใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนอยู่ที่ 590-600 เหรียญสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 2 นี้ บริษัทฯมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 10% เนื่องจากไม่มีการหยุดซ่อมบำรุงโรงงานเหมือนจากไตรมาส 1/2555 ทำให้มีผลประกอบการดีขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยงจากราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวในช่วงนี้อยู่ที่ 109 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ต่ำกว่าช่วงปิดไตรมาส 1/2555 ที่ราคาน้ำมันดิบบาร์เรลละ 120 เหรียญสหรัฐ หากราคาน้ำมันดิบไตรมาสนี้ทรงตัวในระดับนี้จะทำให้บริษัทฯขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน ซึ่งน้ำมันที่อ่อนตัวลงทุก 1เหรียญ/บาร์เรล บริษัทฯขาดทุนสต็อกน้ำมัน 5 ล้านเหรียญสหรัฐ
นายปฏิภาณ สุคนธมาน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) เปิดเผยว่า บริษัทฯมีแผนออกหุ้นกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐไม่ต่ำกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อายุมากกว่า 10 ปี เสนอขายให้นักลงทุนต่างประเทศในครึ่งปีหลังนี้ เนื่องจากเป็นจังหวะดีในการเสนอขายหุ้นกู้เพราะตลาดหุ้นต่างประเทศซบเซาและอัตราดอกเบี้ยต่ำ
โดยการออกหุ้นกู้ครั้งนี้เพื่อรองรับการลงทุนใหม่และชำระคืนหนี้เงินกู้ที่ครบกำหนดชำระ โดยปีนี้บริษัทฯมีแผนใช้เงินประมาณ 500 ล้านเหรียญสหรัฐในการชำระหนี้หุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระปีนี้ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ และชำระเงินซื้อหุ้น 2 บริษัทในต่างประเทศ คือ บริษัท NatureWorks LLC จำกัด วงเงิน 150 ล้านเหรียญสหรัฐ บริษัทPerstorp Holding France SAS วงเงิน 114 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่ากระบวนการซื้อหุ้นดังกล่าวจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2 นี้
ทั้งนี้ บริษัทฯมีแผนจะออกหุ้นกู้วงเงินรวม 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐภายใน 5ปีนี้ เพื่อรองรับแผนการขยายการลงทุนใน 5ปีข้างหน้าที่จะใช้เงินลงทุน 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2555 ประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท
นายปฏิภาณ กล่าวต่อไปว่า จากราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลงในช่วงนี้ ส่งผลให้ราคาเม็ดพลาสติกHDPEอ่อนตัวลงมาอยู่ที่ 1,300กว่าเหรียญสหรัฐ ทำให้ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ (สเปรด)กลับมาแคบลงอีกครั้ง โดยสเปรดเม็ดพลาสติกHDPE ล่าสุดอยู๋ที่ 370 เหรียญสหรัฐต่อตัน จากปลายสัปดาห์ที่แล้วอยู่ระดับ 400 กว่าเหรียญสหรัฐทำให้โรงงานโอเลฟินส์ที่ใช้แนฟธาเป็นวัตถุดิบประสบปัญหาขาดทุน ขณะเดียวกันจีนก็ชะลอการสั่งซื้อเม็ดพลาสติกในช่วงที่ผ่านมา ทำให้สต็อกเม็ดพลาสติกเหลือเพียง 14 วันจากเดิมเคยมีสต็อกอยู่ 20 วันดังนั้นหากสถานการณ์ราคาน้ำมันมีเสถียรภาพมากขึ้นเชื่อว่าจีนจะกลับมาสั่งซื้อสินค้าอีกครั้ง ส่วนสเปรดพาราไซลีนในไตรมาสนี้ คาดว่าจะใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนอยู่ที่ 590-600 เหรียญสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 2 นี้ บริษัทฯมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 10% เนื่องจากไม่มีการหยุดซ่อมบำรุงโรงงานเหมือนจากไตรมาส 1/2555 ทำให้มีผลประกอบการดีขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยงจากราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวในช่วงนี้อยู่ที่ 109 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ต่ำกว่าช่วงปิดไตรมาส 1/2555 ที่ราคาน้ำมันดิบบาร์เรลละ 120 เหรียญสหรัฐ หากราคาน้ำมันดิบไตรมาสนี้ทรงตัวในระดับนี้จะทำให้บริษัทฯขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน ซึ่งน้ำมันที่อ่อนตัวลงทุก 1เหรียญ/บาร์เรล บริษัทฯขาดทุนสต็อกน้ำมัน 5 ล้านเหรียญสหรัฐ