น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าร่วมพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประจำปี 2555 ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ถึงสถานการณ์น้ำ ที่เริ่มไหลหลาก อยู่ในหลายพื้นที่ว่า ได้ติดตามสถานการณ์ และบางส่วนก็ได้มีการเบิกจ่ายงบประมาณในการแก้ปัญหา รวมไปถึงการจัดซื้อจัดจ้างไปแล้ว ขณะเดียวกันได้ติดตามการทำงานในที่ประชุมครม. จากกระทรวงต่างๆ ซึ่งได้รับแจ้งว่า มีความคืบหน้าไปมาก แต่ยอมรับว่ามีบางพื้นที่ยังล่าช้าอยู่ จึงได้มอบมายให้นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ลงพื้นที่ ติดตามความคืบหน้าแล้ว ซึ่งทุกหน่วยงานที่รับผิดชอบยืนยันว่า จะเร่งดำเนินการให้ทันเวลา โดยในช่วงปลายเดือนพ.ค.นี้ จะลงพื้นที่ไปตรวจความเรียบร้อยอีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวถามถึงความคืบหน้าของการรับมือสถานการณ์จนถึงขณะนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ต้องยอมรับว่า การดำเนินการบางส่วนยังค่อนข้างล่าช้า เพราะยังติดในเรื่องของระเบียบขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง ที่ต้องใช้เวลาขั้นต่ำ 60 วัน เราก็ได้มีการปรับปรุงวิธีการ เพื่อให้เร่งรัดมากขึ้น ไปพร้อมกับความโปร่งใสด้วย จึงเป็นที่มาของความล่าช้าในช่วงต้น แต่ก็พยายามมาเร่งในช่วงปลายทาง
เมื่อถามถึงความมั่นใจในการรับมือสถานการณ์น้ำในปีนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวยืนยันว่า ปีนี้สามารถรับมือกับสถานการณ์น้ำได้ และยอมรับว่า อาจจะไม่ทั้งหมดทุกส่วน เพราะยังขาดความเข้าใจเรื่องสภาพพื้นดิน ที่ต้องอาศัยภาพถ่ายจากดาวเทียม เพื่อให้ทราบสภาพพื้นดินในเชิงลึก ที่มีผลสำคัญของการไหลของน้ำ หากบ้างพื้นที่สูงขึ้น น้ำก็อาจไม่ไหลไป เป็นจุดที่เราต้องเข้าไปแก้ไขในรายละเอียด แต่ภาพรวมก็ได้อาศัยภาพการถ่ายดาวเทียมที่ผ่านมา ร่วมกับทีมงานกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ร่วมกันทำแบบจำลองสถานการณ์ ซึ่งขณะนี้กำลังเร่งปรับปรุงข้อมูลให้ชัดเจน คาดว่าปลายเดือนนี้ จะมีความคืบหน้า
“ยงยุทธ” รับหน้าชื่นประกาศภัยพิบัติมีช่องทุจริตฯ
นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐนตรี ตั้งข้อสังเกตในที่ประชุม ครม. เรื่องการตั้งงบประมาณแก้ปัญหาภัยแล้งของกระทรวงมหาดไทย จะแก้ปัญหาอย่างไร ว่า นายกฯได้ขอให้กระทรวงมหาดไทยมีความรอบคอบในการประกาศเขตพื้นที่ภัยแล้งของจังหวัดต่างๆ ไม่ใช่มีภัยพิบัติแค่ส่วนหนึ่งในจังหวัด ก็ประกาศเป็นเขตภัยพิบัติทั้งจังหวัด ซึ่งมีความเป็นห่วง หากมีการประกาศไม่รอบคอบจะทำให้คนตื่นตระหนก และเปิดโอกาสให้มีการเบิกเงินทดรองจ่าย จะเป็นช่องทางให้นำไปสู่ความไม่โปร่งใสได้ ซึ่งการตรวจสอบการเบิกจ่ายงบประมาณ ก็จะมีหลายขั้นตอน ตั้งแต่การตรวจสอบภายในหน่วยงาน รวมทั้ง สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และประชาชนยังช่วยดูอยู่ด้วย ซึ่ง ตนก็ทราบข่าวมาว่า มีความไม่โปร่งใสเกิดขึ้น โดยเป็นการเรียกร้องผลประโยชน์ อ้างว่าจะนำไปให้กับองค์กร และตัวบุคคล โดยเป็นข่าวหนาหู ได้ยินมามากแล้ว ซึ่งเป็นหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทย จะเข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิด โดยการใช้ผู้ตรวจราชการกระทรวง ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ไปตรวจสอบ และทำรายงานให้ทราบ และหากทำความผิดจริง ก็ต้องลงโทษอย่างแน่นอน ซึ่งนายกฯ ก็เอาใจใส่เรื่องนี้ โดยเบื้องต้นเรื่องนี้เกิดขึ้นในหลายจังหวัดที่มีน้ำท่วม
ผู้สื่อข่าวถามถึงความคืบหน้าของการรับมือสถานการณ์จนถึงขณะนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ต้องยอมรับว่า การดำเนินการบางส่วนยังค่อนข้างล่าช้า เพราะยังติดในเรื่องของระเบียบขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง ที่ต้องใช้เวลาขั้นต่ำ 60 วัน เราก็ได้มีการปรับปรุงวิธีการ เพื่อให้เร่งรัดมากขึ้น ไปพร้อมกับความโปร่งใสด้วย จึงเป็นที่มาของความล่าช้าในช่วงต้น แต่ก็พยายามมาเร่งในช่วงปลายทาง
เมื่อถามถึงความมั่นใจในการรับมือสถานการณ์น้ำในปีนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวยืนยันว่า ปีนี้สามารถรับมือกับสถานการณ์น้ำได้ และยอมรับว่า อาจจะไม่ทั้งหมดทุกส่วน เพราะยังขาดความเข้าใจเรื่องสภาพพื้นดิน ที่ต้องอาศัยภาพถ่ายจากดาวเทียม เพื่อให้ทราบสภาพพื้นดินในเชิงลึก ที่มีผลสำคัญของการไหลของน้ำ หากบ้างพื้นที่สูงขึ้น น้ำก็อาจไม่ไหลไป เป็นจุดที่เราต้องเข้าไปแก้ไขในรายละเอียด แต่ภาพรวมก็ได้อาศัยภาพการถ่ายดาวเทียมที่ผ่านมา ร่วมกับทีมงานกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ร่วมกันทำแบบจำลองสถานการณ์ ซึ่งขณะนี้กำลังเร่งปรับปรุงข้อมูลให้ชัดเจน คาดว่าปลายเดือนนี้ จะมีความคืบหน้า
“ยงยุทธ” รับหน้าชื่นประกาศภัยพิบัติมีช่องทุจริตฯ
นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐนตรี ตั้งข้อสังเกตในที่ประชุม ครม. เรื่องการตั้งงบประมาณแก้ปัญหาภัยแล้งของกระทรวงมหาดไทย จะแก้ปัญหาอย่างไร ว่า นายกฯได้ขอให้กระทรวงมหาดไทยมีความรอบคอบในการประกาศเขตพื้นที่ภัยแล้งของจังหวัดต่างๆ ไม่ใช่มีภัยพิบัติแค่ส่วนหนึ่งในจังหวัด ก็ประกาศเป็นเขตภัยพิบัติทั้งจังหวัด ซึ่งมีความเป็นห่วง หากมีการประกาศไม่รอบคอบจะทำให้คนตื่นตระหนก และเปิดโอกาสให้มีการเบิกเงินทดรองจ่าย จะเป็นช่องทางให้นำไปสู่ความไม่โปร่งใสได้ ซึ่งการตรวจสอบการเบิกจ่ายงบประมาณ ก็จะมีหลายขั้นตอน ตั้งแต่การตรวจสอบภายในหน่วยงาน รวมทั้ง สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และประชาชนยังช่วยดูอยู่ด้วย ซึ่ง ตนก็ทราบข่าวมาว่า มีความไม่โปร่งใสเกิดขึ้น โดยเป็นการเรียกร้องผลประโยชน์ อ้างว่าจะนำไปให้กับองค์กร และตัวบุคคล โดยเป็นข่าวหนาหู ได้ยินมามากแล้ว ซึ่งเป็นหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทย จะเข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิด โดยการใช้ผู้ตรวจราชการกระทรวง ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ไปตรวจสอบ และทำรายงานให้ทราบ และหากทำความผิดจริง ก็ต้องลงโทษอย่างแน่นอน ซึ่งนายกฯ ก็เอาใจใส่เรื่องนี้ โดยเบื้องต้นเรื่องนี้เกิดขึ้นในหลายจังหวัดที่มีน้ำท่วม
