xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

เจาะใจ..'โดม เดอะสตาร์' กับปาฏิหาริย์ ไม่หล่อก็ดังได้ !!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์เลยทีเดียว สำหรับชัยชนะของเดอะสตาร์ คนล่าสุด 'โดม เดอะสตาร์ 8' หรือ 'จารุวัฒน์ เชี่ยวอร่าม' จากหนุ่มอ้วนดำ เจ้าของฉายา 'โดมเรมอน' ที่หลายคนเคยปรามาสว่า “หน้าตาอย่างนี้จะเป็นนักร้องได้หรือ” ? แต่วันนี้..เขาก้าวสู่ตำแหน่งเดอะสตาร์ ด้วยคะแนนโหวตท่วมท้นจากคนไทยทั้งประเทศ ทิ้งห่างผู้แข่งขันที่ได้อันดับ 2 อย่างขาดลอยลิบลับ จนกรรมการไม่กล้าขานเปอร์เซ็นต์ให้สะเทือนใจ ยังไม่นับเสียงเชียร์จากสังคมออนไลน์ที่ดังกระหึ่มใปทุกเว็บไซต์

'โดมเรมอน' ผู้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้แก่วงการเพลงของไทย ผู้ชายที่ประกาศให้โลกรู้ว่า 'หน้าตาไม่ใช่เครื่องตัดสินความสามารถ' !!

และวันนี้ 'ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์' มีโอกาสได้พูดคุยกับผู้ชายคนนี้ ''โดม เดอะสตาร์' ซึ่งเขาได้เปิดใจถึงช่วงเวลาที่ต้องอดทนฝ่าฝัน กระทั่งถึงวันที่ฝันเป็นจริง ...

อยากให้โดมเล่าถึงช่วงชีวิตก่อนที่จะมาประกวดเดอะสตาร์

ผมเกิดและโตที่ภูเก็ต เป็นคนภูเก็ตตั้งแต่กำเนิด ครอบครัวก็อยู่กันแบบพอเพียง มีความสุขดี พอเรียบจบมัธยมก็เข้าเรียนต่อคณะนิติศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่ตอนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยติดเนี่ยเป็นช่วงที่คุณพ่อป่วยเป็นอัมพฤกษ์ มันเหมือนกับทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือเลย ก็เป็นอะไรที่หนักมากสำหรับครอบครัวเรา แต่สุดท้ายมันก็ผ่านมาได้ ตอนนี้ผมก็อยู่ปี 2 แล้ว

การที่คุณพ่อล้มป่วย มีผลยังไงกับชีวิตโดมบ้าง

คือทุกๆ อย่างมันก็หยุดน่ะครับ เราต้องช่วยกันดูแล ซึ่งคนที่ดูแลคุณพ่อก็จะเป็นคุณแม่ จากเดิมที่คุณพ่อเป็นปลัดอำเภอ ส่วนคุณแม่เปิดร้านขายยาจีน พอคุณพ่อป่วย เงินเดือนข้าราชการเขาก็ยังให้อยู่ แต่ว่าคุณแม่ต้องปิดร้านเพื่อมาดูแลคุณพ่อ ทำให้เราขาดรายได้ ขณะที่มีรายจ่ายเพิ่มขึ้น ทั้งค่ารักษาพยาบาล ค่ายา ค่าทำกายภาพบำบัด ซึ่งเขาจะคิดเป็นคอร์ส ครั้งละ 500 บ้าง 1,000บ้าง เฉลี่ยเดือนๆหนึ่ง ค่ารักษาพยาบาลคุณพ่อจะตกราว 40,000-50,000 บาท แต่รายรับเท่าเดิม อีกอย่างผมมาเรียนมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ คุณแม่ก็ต้องส่งเงินมา แต่ว่ามันไม่พอหรอก ช่วงแรกก็จะมีผู้ใหญ่มาช่วยด้วย อย่างนายอำเภอซึ่งเป็นหัวหน้าของพ่อ ท่านก็ช่วย แต่ว่าเขาก็คงช่วยเหลือได้เฉพาะระยะแรกๆ ตอนนี้มัน 2 ปีมาแล้ว เราก็ต้องช่วยตัวเอง ผมเลยต้องทำงานไปเรียนไป เพื่อหาเงินส่งตัวเองเรียน ผมจะไปร้องเพลงตามร้านอาหารได้ครั้งละ 300 บาท ร้อง 2 ชั่วโมง ในสัปดาห์หนึ่งผมจะร้อง 3-4 ร้าน ส่วนใหญ่ร้านพวกนี้จะอยู่ใกล้ๆ มหาวิทยาลัย แล้วเขาก็จะช่วยเหลือนักศึกษาอยู่แล้ว อยากให้นักศึกษามีงานทำ แต่ถ้าช่วงไหนรายได้ไม่พอจริงๆ เราก็ต้องเอาข้าวของในบ้านไปขาย พวกสร้อยคอ พระเครื่อง คือคุณพ่อสะสมพระเครื่อง ก็จะเริ่มทยอยขาย

ทางครอบครัวท้อกันบ้างไหม

ส่วนใหญ่จะเป็นคุณพ่อน่ะครับ อารมณ์จะประมาณว่าแบบคนป่วยน่ะครับ เขาก็จะน้อยใจ เสียใจ เขาอยากจะเดินได้ อยากจะทำทุกอย่างได้เหมือนเดิม แล้วเขาจะหงุดหงิดตัวเอง บางทีก็เลยทะเลาะกัน แต่ว่ามันก็ต้องมาคุยกัน บอกเขาว่าอย่าน้อยใจนะ อยากให้มีกำลังใจสู้ต่อไป

โดมชอบดนตรี แล้วทำไมถึงสอบเข้าคณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์

คือจริงๆ แล้วมันมี 2 ทางเลือก ถ้าไม่นิติศาสตร์ ก็นิเทศศาสตร์ เพราะผมเป็นคนชอบดูหนัง ชอบวงการบันเทิงด้วย แต่ว่านิติฯ มันก็เป็นสิ่งที่น่าจะไปได้ และคุณพ่อชอบ เพราะคุณพ่อรับราชการเป็นปลัดอำเภอ แต่ผมไปสอบนิติฯ มาแล้ว ปรากฏว่าไม่ติด ช่วงเอนทรานซ์ก็เลยคิดว่า..โอเค ปีนี้จะเข้านิเทศฯ แต่ว่าเป็นช่วงที่คุณพ่อไม่สบายพอดี เป็นจุดเปลี่ยนเลยครับ เราก็มองว่าเราอยากทำอะไรให้คุณพ่อ เลยเลือกสอบเข้านิติฯ ที่คุณพ่อชอบเพราะอยากสานฝันของคุณพ่อ

เห็นว่าโดมเป็นประธานชมรมดนตรีด้วย

ใช่ครับ ผมเป็นประธานชมรมดนตรี TU FOLKSONG ของธรรมศาสตร์ครับ ชมรมนี้ก็จะมีทั้งนักศึกษาที่ชอบร้องเพลงและคนที่ชอบเล่นดนตรี ก็จะมารวมตัวกันทำกิจกรรม

โดมฝึกร้องเพลงมากี่ปีแล้ว

ก็ฝึกมาเรื่อยๆ แต่มาเริ่มประกวดจริงจังตอน ม.3 ครับ คือที่โรงเรียนเขามีงานประกวดเล็กๆ เราก็ลองไปประกวดดู จากนั้นก็ไปตามเวทีประกวดทั่วไป เป็นเวทีประกวดเล็กๆ ซึ่งมันถือเป็นการสั่งสมประสบการณ์ ลองไปหาเวทีประกวดดู แต่ตอนนั้นก็ไม่ค่อยได้รางวัลอะไรหรอกครับ อาจจะได้ที่ 2 บ้าง ที่ 3 บ้าง ก็ประกวดไปเรื่อยๆ ตอนนั้นอยู่ในช่วงกำลังเรียนหนังสือ ก็เรียนรู้ไปเรื่อยๆ แล้วพอเรียนมหาวิทยาลัยก็มาเข้าชมรมดนตรี ก็เดินทางนี้มาตลอด

เคยเรียนร้องเพลงมาก่อนหรือเปล่า เพราะพลังเสียงของโดมเยอะมาก

ผมไม่เคยเรียนเลย คือผมมาเริ่มสนใจเดอะสตาร์ตอนที่อยู่ ม.3 พอจะไปเรียนมันก็เป็นช่วงที่เข้า ม.4 ก็ต้องเตรียมตัวสอบ ก็ต้องเรียนพิเศษ นู่น นั้น นี่ เวลาก็ไม่ค่อยมี ไม่มีเวลาไปเรียน ส่วนใหญ่นะฝึกเองที่บ้าน ก็หาเพลงโน้นเพลงนี้มาฟัง

แล้วเทคนิคในการใช้เสียงมันมาจากไหน

มันเกิดจากการเลียนแบบก่อนนะ แรกๆ เลยเราก็ดูคอนเสิร์ต ดูจากนักร้องคนโน้นคนนี้ว่าวิธีการร้องเขาเป็นแบบไหน แล้วก็ลองเลียนแบบไปก่อนแล้วก็ค่อยปรับตัวเองว่า โอเค...เราสามารถทำแบบนี้ได้ ลองหาวิธีนี้ดู อะไรอย่างเงี้ยครับ อย่างเช่น นักร้องคนนี้เวลาร้องบนเวทีคอนเสิร์ตก็จะไม่เหมือนกับเสียงในซีดี คือวิธีการร้องจะแตกต่างกัน เราก็ศึกษาวิธีการร้องของเขา อาจจะมีลูกเอื้อน มีอิมโพรไวส์ (Improvise) อะไรแปลกๆ เราก็ฟังเยอะๆ ลองร้องดูก่อนว่า โอเค…มันได้ไหม ถ้าไม่ได้มันจะมีลูกไหนที่ฟังแล้วมันเพราะเหมือนกัน ค่อยๆ ทดลองไปเรื่อยๆ คุณพ่อคุณแม่ก็จะช่วยฟัง ช่วยคอมเมนท์ให้ตลอด

ทำไมถึงตัดสินใจมาประกวดเดอะสตาร์

คือผมก็ดูรายการนี้มาตั้งแต่มีเดอะสตาร์ปีแรก ตอนนั้นอยู่ ป.6 ได้ เราก็รู้สึกว่ามันเป็นรายการที่ทำให้ฝันของหลายๆ คนเป็นจริง ผมก็ใฝ่ฝันมาตลอดว่าอยากจะประเกวดเดอะสตาร์ พออายุถึงก็ลองสมัครมาเรื่อยๆ ความจริงผมสมัครมา 2 ครั้งแล้ว ตอนเดอะสตาร์ 4 กับเดอะสตาร์ 5 แต่ไม่เข้ารอบ แล้วก็หยุดไปตอนที่คุณพ่อเริ่มป่วยเป็นอัมพฤกษ์ มาถึงปีนี้ก็โอเคสมัครแล้วก็ได้พอดี

เป็นเพราะอาการป่วยของคุณพ่อด้วยหรือเปล่าที่ทำให้โดมมาสมัครเดอร์สตาร์

จริงๆ แล้วหลักๆ เลยมันเป็นความฝัน มันอยากทำ อยากลองดูว่ามันจะเป็นยังโง ผมดูรายการนี้มานานมาก แล้วก็ได้เห็นเดอะสตาร์หลายๆ คน อย่างพี่แก้มซึ่งเป็นกำลังใจของผม ก็เลยมาลองดู

ตอนที่โดมมาสมัครประกวดเดอะสตาร์นี่คุณพ่อคุณแม่รู้หรือเปล่า

ก็คุยกันเล่นๆน่ะครับ ว่าปีนี้จะลองไปสมัครดู เพราะว่าเป็นช่วงที่ผมว่างพอดี คุณพ่อยังขำเลย......เฮ้ย ! จะไปสมัครเดอะสตาร์เหรอ ไม่ดูหน้าตาตัวเองเลย ก็ขำๆ กัน วันที่ผลการประกวดรอบสุดท้ายออกมา ผมก็ได้เจอกับคุณพ่อหลังจบรายการ เขาก็ยังหัวเราะ แล้วก็ยังนึกถึงวันนั้นว่าเขาก็เคยหัวเราะลูกตัวเองว่า เฮ้ย..จะได้เหรอ ?

ตอนสมัครกังวลไหมว่าเราหน้าตาไม่หล่อ จะได้รับเลือกเหรอ เพราะส่วนใหญ่การปั้นศิลปินทางค่ายก็จะพิจารณาเรื่องรูปร่างหน้าตาด้วย

ผมว่าจริงๆ แล้วมันก็คงมีองค์ประกอบหลายๆอย่าง แต่เท่าที่ดูรายการนี้เขาก็ให้โอกาสกับทุกคน แล้วเขาก็มองว่าทุกอย่างมันมีการฝึก มีการพัฒนากันได้ ทุกคนก็สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ซึ่งมันก็ถือเป็นความท้าทายของคนที่เขามีฝันด้วย เขาเข้ามาแล้วเขาก็ต้องพยายามฝึกฝน เพราะตรงนี้เป็นโอกาสที่เขาได้รับ

แสดงว่าโดมเชื่อตั้งแต่แรกเลยว่ารูปร่างหน้าตาไม่ได้เป็นอุปสรรค

จริงๆ แล้วมันก็มีแอบคิดบ้างว่าโอเค…มันจะไปได้ไกลขนาดไหน แต่เมื่อเข้ารอบมาแล้วก็พยายามจะไม่คิดถึงตรงนั้น เราพยายามทำให้ดีที่สุด พยามฝึก แล้วก็ปรับปรุงตัวเองในทุกๆด้านให้มันพร้อม ผมคิดว่าทุกอย่างมันน่าจะปรับปรุงได้

เห็นบอกว่าตอนแรกที่เข้ามาประกวด มีคนดูถูกเยอะ?

คือก่อนหน้านี้ผมเคยทำงานร้องเพลง เคยทำคลิปลงในยูทูบ แน่นอนว่ามันก็มีทั้งคนชอบและคนไม่ชอบ แล้วก็มีคนที่แบบ โห... หน้าตาอย่างโน้นอย่างนี้ ก็มีคนมาว่าบ้าง ซึ่งผมว่าสิ่งเหล่าเหมือนเป็นแรงกระตุ้นเรา ผลักดันให้เราพยายามปรับปรุงตัวเองเพิ่มขึ้น ตอนมาสมัครก็มีเพื่อนๆ แซวๆ บ้าง ว่าโอ้ย...จะได้เหรอ มารายการแบบนี้เขาจะเอาเหรอ หน้าตาแบบนี้

แล้วรู้สึกยังไงตอนเข้ารอบช่วงคัดตัวโซนภาคใต้ ที่ จ.ภูเก็ต วันนั้นเห็นโดมร้องไห้ด้วย

ใช่ มันดีใจน่ะครับ คือเหมือนกับเราเคยเป็นแค่คนดู คำที่กรรมการบอกว่า “ คุณได้ไปต่อ ” ฟังแล้วมันโอ้โห…มันยิ่งใหญ่มาก พอวันหนึ่งเราเข้าแข่งขัน มักลายเป็นคำที่เราได้ยินจากปากของกรรมการเอง เลยทำให้เรา โอ้โห...ดีใจมาก แล้ววันนั้นคุณพ่อคุณแม่ก็มาเชียร์ด้วย พอเข้ารอบคัดเลือกโซนภาคใต้แล้วเราก็รู้สึกว่าอยากเป็น 8 คนสุดท้าย เพราะมันเป็นอะไรที่หลายๆคนใฝ่ฝัน คือแค่ได้เป็น 8 คนสุดท้ายก็ดีใจแล้ว อยากจะบอกว่าแต่ละรอบเนี่ยผมไม่กล้าคาดหวังเพราะรู้ตัวว่าผมเองก็มีอะไรที่ต้องพัฒนาอีกเยอะ ก็หวังแค่ว่า โอเค...ได้ผ่านรอบนี้ก็ดีใจแล้ว ปรากฏว่ามันก็ไปได้เรื่อยๆ มันก็เกินกว่าที่ฝันเอาไว้เยอะมากครับ

ช่วงที่ประกวดนี่กระแสของโดมในโซเชียลเน็ตเวิร์กแรงมาก

ผมเองก็ไม่ค่อยได้เช็กกระแสเท่าไร อาจจะมีดูๆ บ้าง แต่ก็ไม่ได้ดูรายละเอียดเยอะ

วีคที่คนพูดถึงโดมกันเยอะก็คือวีคที่ 3 ที่เป็นรอบเพลงแดนซ์ ซึ่งโดมร้องเพลง 'เรามาซิง' ของเบิร์ด ธงไชย แล้วปรากฏว่าคนดูลุกขึ้นมาเต้นกันทั้งฮอลเลย

(หัวเราะ) คือจริงๆ สัปดาห์นั้นมันเป็นสัปดาห์ที่ตัวผมเองก็ได้ปลดปล่อย มันก็เครียดจากสัปดาห์ก่อนๆ มาแล้ว มาสัปดาห์นี้ก็เป็นเพลงแดนซ์ ซึ่งผมรู้สึกว่ามัน เอ้อ..มันไม่เคยทำมาก่อน อยากลองทำดู แล้วมันสนุกดี ก็เลยทำเต็มที่ ไม่ได้สนใจอะไร แล้วมันก็สนุกมากๆ ออกมาแล้วผมเองก็มีความสุข แล้วเห็นคนดูมีความสุขเราก็ดีใจ

รู้สึกว่าเสน่ห์อย่างหนึ่งของโดมซึ่งผู้เข้าประกวดคนอื่นไม่มีก็คือโดมสามารถเข้าถึงใจคนดู ทำให้คนดูรู้สึกอิน และมีส่วนร่วมไปกับคอนเสิร์ตหรือเพลงที่โดมร้องด้วย

อาจจะเป็นเพราะผมเป็นคนธรรมดาๆ เป็นสิ่งที่คนดูพบเห็นได้ทั่วไป สามารถจับต้องได้ เราเองก็พยายามไม่ทำตัวให้อยู่คนละกลุ่มคนละแบบกับคนดู พยายามทำตัวธรรมดา ทำตัวให้เหมือนเดิม ให้เข้าถึงคนดูให้ได้มากที่สุด และสิ่งที่สำคัญคือผมพยายามอยากจะร้องเพลงและสื่อสารให้คนดูรู้สึก เพราะผมเองก็ได้เจอกับปัญหาอะไรมาเยอะ โอเคที่บ้านผมอาจจะมีปัญหา ก็ล้มลุกคลุกคลานกันมา บางทีผมก็ฟังเพลงนะครับ แล้วเพลงมันช่วยทำให้ผมมีกำลังใจ ซึ่งผมว่าตรงนี้มันเป็นสิ่งที่ผมอยากจะมอบกำลังใจให้คนอื่นบ้างว่ามันมีคนไม่น้อยครับที่เป็นแบบผม ที่ฝันอย่างผม ที่เจออะไรมามากมายอย่างผม

วีคสุดท้ายต้องมาร้องคู่กับพี่แก้ม (วิชญาณี เปียกลิ่น เดอะสตาร์ 4) รู้สึกยังไงบ้าง

จริงๆ แล้วผมก็บอกมาตลอดว่าพี่แก้มเป็นแรงบันดาลใจของผม ตอนสมัยที่พี่แก้มแข่งผมก็ตามโหวต ตามเชียร์ ขึ้นมาดูพี่แก้มแข่งที่กรุงเทพฯด้วย มาให้กำลังใจ เราเห็นเขาทำฝันของตัวเองได้สำเร็จ เราก็ดีใจไปกับเขา แล้วก็ติดตามผลงานของพี่เค้ามาโดยตลอด พอมาถึงวันนี้ วันที่เราขึ้นเวที ถ้ามีโอกาสเราก็อยากจะร้องกับพี่แก้ม

เพราะอะไรถึงอยากร้องเพลงกับแก้ม

ผมชอบแนวเสียงของพี่เขา วิธีการร้องของเขา หรือแม่แต่นิสัยของพี่เค้าก็น่ารักมาก เขาเป็นคนที่ทำงานด้วยแล้วมีความสุข

เสียงคุณแก้มเขามีพลังมาก กลัวไหมที่จะต้องขึ้นเวทีประชันเสียงกัน

ตอนแรกก็แอบกลัวๆ เกร็งๆ ครับ (หัวเราะ) แต่พี่แก้มเขาเป็นคนน่ารัก เขาพยายามชวนคุย พยายามบอก พยายามสอน ซึ่งผมคิดว่ามันสำคัญมากที่คนทำงานด้วยแล้วมีความสุข เราก็รู้สึกว่ามันก็ผ่อนคลายไปเอง อยากทำงานกับพี่เขาไปเรื่อยๆ จริงๆ ตอนที่ขึ้นเวทีทั้งผมและพี่แก้มก็ไม่สบายนะ ผมเองตอนเช้าก่อนแข่งก็ไปฉีดยา พี่แก้มก็ไปฉีดยา ผมเนี่ยเสียงหายไปเลยเพราะแข่งมาหลายสัปดาห์ แล้ววีคสุดท้ายก็มีคอนเสิร์ตทั้งวันเสาร์และอาทิตย์ ซึ่งจะหนักหน่อย ซ้อมเยอะหน่อย มีเวลานอนน้อย ก็โดนฉีดยากันทั้ง 2คน ตอนซ้อมก็เสียงแหบกันเต็มที่เลย แต่โชคดีพอถึงตอนขึ้นเวทีมันก็กลับมาเกือบปกติ

ตั้งแต่แข่งมานี่ วีคไหนที่ชอบที่สุด

ถ้าชอบที่สุดคงเป็นวีคแรกครับ มันเป็นวีคเปิดตัวเลย คือเราเข้าไปในบ้านก่อนที่จะขึ้นเวทีเกือบเดือนเหมือนกัน อยู่ในบ้านก็ไม่ได้เจอคนข้างนอก ไม่รู้กระแสว่าเป็นยังไง แล้ววันนั้นเป็นวันแรกที่เราได้ออกมา ได้เจอคน แล้วก็เห็นคนปรบมือให้กำลังใจเราหลังจากที่เราร้องเพลงจบ มันก็เลย โอ้โห...มีความสุขมาก ประทับใจมาก

วีคสุดท้ายโดมก็ทำไห้คนดูน้ำตาคลอกันทั้งฮอลเลย รวมถึงคณะกรรมการด้วย

มันเหมือนเป็นคอนเสิร์ตที่ผมอยากขอบคุณทุกคนน่ะครับ เพราะมันมาด้วยกัน มันไกลมาก คือทุกคนให้กำลังใจมาตลอด ผมก็เลยอยากจะขอบคุณทุกๆ คนครับ ก็ออกมาอย่างที่เห็น ขอบคุณทุกคนมากๆ

คิดว่าอะไรที่ทำให้โดมชนะใจกรรมการและคนดูทั้งประเทศ จนได้รับเสียงโหวตถล่มทลาย

คงเป็นความพยายามของผมมั้งครับ ที่ผมพยายามอยากจะมอบความสุข ที่แบบ..โอเคผมร้องเพลงแล้วอยากจะให้คนดูมีความสุขจริงๆ ผมก็พยายามทำมันออกมาเต็มที่ ถึงแม้ว่ามันจะยังไม่ได้สมบูรณ์แบบแต่ผมก็ทำมันออกมาจากความรู้สึกจากใจจริงๆ อยากให้คนดุรู้สึกจริงๆ

ความจริงใจมีส่วนที่ทำให้คนดูสนับสนุนเราไหม

ก็คงจะเป็นความเป็นตัวของผมเอง ผมก็เป็นแบบนี้ แล้วก็อยากจะบอกว่าต่อไปไม่ว่าจะยังไงผมก็ยังเป็นแบบนี้อยู่เหมือนเดิม ไม่ว่าจะมีอะไรเข้ามาก็แล้วแต่ แต่สิ่งสำคัญเลยผมว่าถึงกาลเวลาจะทำให้คนเราเปลี่ยนแปลงไปจริง แต่เราเองก็ต้องมั่นคงพอ แล้วก็ทำให้ทุกคนรู้ว่าเราเองยังเป็นคนเดิม เป็นคนที่ทุกคนรักเหมือนเดิม

หลังจากได้ตำแหน่งเดอะสตาร์แล้ว คุณพ่อคุณแม่ว่าอย่างไรบ้าง

ก็ดีใจมากครับ คือเขาไม่คิดว่าเราจะมาถึงตรงนี้ เพราะมันมาไกลมากๆ แล้วมันเหลือเชื่อครับ มันเหลือเชื่อที่คนแบบผมจะมาถึงตรงนี้ได้ เป็นปาฏิหาริย์ก็ว่าได้ คุณพ่อบอกว่าแค่เข้ารอบ 8 คนก็ดีใจแล้ว ได้เห็นลูกตัวเองในทีวีก็พอใจแล้ว แต่นี่เรามาไกลกว่าที่คิดไว้มาก

ตลอดเวลาที่แข่งขันเนี่ย คุณพ่อนั่งรถเข็นมาเชียร์ทุกสัปดาห์เลย ลำบากไหม

ก็พอสมควรครับ คุณพ่อนั่งเครื่องบินมาจากภูเก็ต ทุกอาทิตย์ผมก็จะเป็นห่วงมากว่าจะมากันยังไง จะกลับกันยังไง แต่ก็โชคดีว่ามีคนช่วยดูและเยอะ จะมีญาติๆ มาช่วยดู แล้วหลังๆก็มีแฟนคลับมาช่วยดู ประมาณวีคที่ 5 วีคที่ 6 ก็เริ่มมีแฟนคลับมารับมาส่งให้ ช่วยดูแล นอกจากนั้นก็จะมีเพื่อนๆ ที่มหาวิทยาลัยมาช่วยดูแลด้วย คือทุกคนเขาก็อยากช่วย อยากให้กำลังใจเรา

โดมมีช่วงที่ท้อที่สุดไหม

ช่วงที่ท้อที่สุดก็คงเป็นช่วงก่อนจะเข้ามหาวิทยาลัย เพราะว่าทุกอย่างมันประเดประดังเข้ามาหมด ทั้งคุณพ่อไม่สบาย ต้องตัดสินใจเลือกคณะที่จะเอนทรานซ์ เอนฯติดก็ต้องย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพฯ ไม่มีใครมาส่ง ต้องขนของเองคนเดียว หาที่อยู่เอง คุณแม่ก็มาไม่ได้เพราะต้องดูแลคุณพ่อ เป็นช่วงที่สาหัสมาก มันเหนื่อย คิดถึงบ้าน เหนื่อยแล้วก็ท้อ

เห็นว่ามีบางช่วงที่ท้อ แต่พอฟังเพลงแล้วมันมีกำลังใจขึ้นมา เพลงไหนที่ฟังแล้วทำให้เราฮึดขึ้นมา

ก็มีหลายเพลง ส่วนใหญ่จะเป็นเพลงของอาเต๋อ (เรวัติ พุทธินันทน์) อย่าง สักวันต้องได้ดี ยิ่งสูงยิ่งหนาว คือเป็นเพลงที่คุณพ่อฟัง แล้วผมก็ฟังตาม ตอนเด็กๆเราก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกครับ แต่พอเราโตขึ้น เราได้ฟังเพลงนี้ ก็มาย้อนนึกถึง อืม..มันก็เป็นอย่างที่เพลงเขาบอกจริงๆ

หลังจากได้ตำแหน่งเดอะสตาร์ 8 แล้ว คุยกับทางค่ายหรือยังว่าจะมีโปรเจ็กต์อะไรยังไง

คือจริงๆ แล้วผมก็ดรอปเรียนไว้ตั้งแต่ก่อนจะเข้าบ้านเดอะสตาร์ คือมันต้องดรอปเป็นรายปี ดรอปเป็นเทอมไม่ได้ เพราะวิชาเรียนมันจะต่อเนื่องตลอดปี ผมก็ดรอปไปถึงปลายปีนี้ ตอนนี้ก็ยังอยู่ช่วงเดินสายขอบคุณสื่อมวลชน แล้วก็โปรโมทอัลบัมเดอร์สตาร์ 8 ซึ่งอัดเสร็จไปแล้ว ส่วนงานหลังจากนี้ก็เดี๋ยวค่อยว่ากัน

โดยส่วนตัวโดมชอบแนวเพลงแบบไหน

จริงๆก็ฟังได้ทุกแนว แต่ถ้าชอบร้อง หลักๆ แล้วก็จะเป็นเพลงช้าๆ ครับ พวกเพลงป็อป อาร์แอนด์บีทั่วๆไป

มีนักร้องคนไหนที่เป็นศิลปินในดวงใจบ้าง

ศิลปินในดวงใจก็มีหลายคน อย่างพี่เบิร์ด ธงไชย พี่อ๊อฟ ปองศักด์ คือเรารู้สึกว่าเขาเป็นคนที่อยู่บนเวทีแล้วมีเสน่ห์ที่ทำให้เราอยากดูไปเรื่อยๆ

ได้นำเทคนิคตรงนี้มาใช้ในการโชว์บนเวทีของเราด้วยหรือเปล่า

ก็ได้จากที่ดูการแสดงของพี่ๆ เขาส่วนหนึ่ง แล้วก็ได้จากประสบการณ์ในการทำงานด้วย เวลาที่ผมไปร้องเพลงตามร้านอาหารก็ต้องมีการพูดคุยกับคนดู เอนเตอร์เทนให้ลูกค้า เพลงเร็ว-เพลงช้าจะใส่ลูกเล่นยังไง ก็ได้จากตรงนี้มาด้วย

ถ้าดูจากรูปร่างหน้าตาและบุคลิกแล้ว โดมอาจจะปั้นยาก ทางค่ายหนักใจไหม

ผมว่ามันน่าจะเป็นความสนุกของคนทำงานด้วย เพราะว่าหลังจากนี้ไปมันก็เป็นโจทย์ของตัวผมเองและทางทีมงานก็คงจะคิดหนักว่าต่อไปมันจะเป็นยังไง (หัวเราะ) ตอนนี้ผมก็อยากจะพัฒนาตัวเอง ทำทุกอย่างให้ได้ ถ้าพีเขาให้ปรับปรุงตัวเอง ลดความอ้วน หรือว่าปรับปรุงบุคลิกภาพยังไงก็จะพยายามทำทุกอย่าง คือเรามาถึงตรงนี้แล้วก็หมายความว่าโอเค..มันมีคนที่พร้อมจะรักเรา แต่เราก็ไม่หลงตัวเอง เราต้องพยายามพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ไม่หยุดอยู่กับที่

แล้วคิดว่าอะไรที่ทำให้โดมก้าวมาถึงจุดนี้

คือคงจะด้วยความที่ผมพยายาม แล้วก็สู้ สู้มาเรื่อยๆ ผมเป็นคนที่ไม่ยอมท้อ จากประสบการณ์ที่เราพบเจอปัญหาต่างๆเข้ามาทำให้เรารู้ว่าถ้าท้อแล้วมันก็จบแค่นั้น ก็เลยจะไม่ท้อ ที่ผ่านมาครอบครัวเราก็ล้มลุกคลุกคลานกันมา เรารู้ว่าถ้าเราท้อ เรายอมแพ้ มันก็ไปต่อไม่ได้อยุ่ดี เหมือนหลังพิงฝา มันก็ต้องสู้ เพราะฉะนั้นผมก็จะพยายามให้ถึงที่สุด ไม่ยอมแพ้

คิดว่าตัวโดมเป็นบทพิสูจน์ไหมว่า คนหน้าตาไม่ดีก็ประสบความสำเร็จได้

(หัวเราะร่วน) คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ก็คงด้วยอะไรหลายอย่าง สิ่งที่ทำให้มาได้ไกลถึงขนาดนี้ก็มาจากคนดูที่เขาให้ความรักกับเรา ก็อยากจะขอบคุณคนดู ขอบคุณทุกๆคนที่ตามโหวตตามเชียร์ให้กำลังใจผมมาตลอด

โดมอยากจะฝากอะไรให้กับวัยรุ่นที่ดูเราอยู่บ้าง

ผมว่าทุกวันนี้โอกาสเป็นสิ่งสำคัญ เราจะเห็นว่ามันมีโอกาสเข้ามามากขึ้นถ้าเทียบกับเมื่อก่อน ทุกวันนี้มันมีเวทีประกวด มีเส้นทางในการตามฝันของตัวเอง เพราะฉะนั้นอยากให้คนที่มีฝันลุกขึ้นมาสู้ ถึงแม้ว่าตัวเองอาจจะไม่ได้ดีพร้อมหรืออะไรก็แล้วแต่ ผมว่าอย่างน้อยถ้าเราได้พยายามสู้ พยายามทำมันแล้ว วันหนึ่งที่เราไปได้ไกล เราจะรู้สึกว่ามันคุ้มค่าที่เราจะสู้กับมัน อย่าปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป รีบคว้าแล้วก็ทำมันให้ดีที่สุด เพราะว่าเราจะได้ไม่ต้องมานึกเสียดายทีหลัง


กำลังโหลดความคิดเห็น