วานนี้(1 พ.ค.55) พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีดีเอสไอ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะพนักงานสอบสวนร่วมพนักงานอัยการเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินคดีกรณีบุกรุกที่ดินและออกเอกสารสิทธิ์ไม่ชอบในพื้นที่เขาแพง จ.สุราษฎร์ธานี ว่า ในระหว่างวันที่ 19 - 25 พ.ค.นี้ พนักงานสอบสวนจะลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบพยานเอกสารและหลักฐานการออกโฉนดที่ดินใน ต.แม่น้ำ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งพบว่ามีการนำพื้นที่สาธารณะในเขตป่าไปออกโฉนดที่ดินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยดีเอสไอจะเรียกพยานที่เกี่ยวข้องจำนวน 20 ปากเข้าให้ปากคำ แต่ในชั้นนี้จะยังไม่เรียกสอบ นายแทน เทือกสุบรรณ บุตรชายของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากนายแทนเป็นเพียงผู้รับซื้อที่ดินแล้วนำเอกสารนส. 3 ก. ไปออกโฉนด โดยที่ดินดังกล่าวพบว่าก่อนจะตกอยู่ในการครอบครองของนายแทน มีการเปลี่ยนมือผู้ถือครองมาแล้วถึง 3 ครั้ง
ดีเอสไอจะสอบปากคำเจ้าพนักงานที่ดินในฐานะผู้รังวัดที่ดินว่า ปฏิบัติหน้าที่หรือใช้เอกสารหลักฐานใดประกอบดุลพินิจในการออกโฉนด เนื่องจากเอกสารเบื้องต้นระบุว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นภูเขาสูงมีความลาดชันเกิน 35 องศา กฎหมายไม่อนุญาตให้ออกโฉนดที่ดินได้ นอกจากนี้การสอบสวนพบว่ามีการออกโฉนดที่ดินที่ไม่ตรงกับพื้นที่จริง โดยเนื้อที่ตามโฉนดจำนวน 64 ไร่ ขณะที่พื้นที่ดังกล่าวตามเอกสารส.ค.1 ระบุจำนวนไว้ 20 ไร่ และเมื่อมาเป็น นส.3 ก. ได้ขยายเป็น 40 ไร่ และขยายอีกครั้งเมื่อออกโฉนดเป็น 64 ไร่ นอกจากนี้ยังมีการสร้างถนนตัดขึ้นไปถึงยอดเขาด้วย อย่างไรก็ตาม ก่อนลงพื้นที่ดีเอสไอจะประสานขอข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่มีการสรุปผลสอบออกมาว่าเป็นการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบและส่งเรื่องให้กรมที่ดินมีคำสั่งเพิกถอนโฉนด
แหล่งข่าวจากดีเอสไอระบุว่า ดีเอสไอเชื่อว่าน่าจะมีการออกโฉนดโดยมิชอบจำนวน 40 ไร่ และเป็นการออกโฉนดที่ขัดกับกฎกระทรวงฉบับแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 43 พ.ศ. 2537 ที่กำหนดให้ผู้ถือครองที่ดิน เขตภูเขา เกาะ ที่มีส.ค.1 มีสิทธิขอออกโฉนดที่ดินได้เท่าที่จำนวนที่ดินในส.ค 1 เท่านั้น สำหรับที่ดินที่มีปัญหาเดิมมีจำนวน 24 ไร่ เป็นของชาวบ้าน 3 ราย และมีส.ค.1 จำนวน 3 ฉบับ ซึ่งต่อมาชาวบ้านได้ขายให้กับห้างหุ้นส่วนจำกัดเรืองปัญญา คอนสตรัคชั่น จำกัด และหจก.เรืองปัญญาฯได้นำส.ค.1 ไปขอออกน.ส.3 ทั้ง 3 ฉบับในพื้นที่หมู่ 5 ต.อ่างทอง จ.สุราษฎร์ฯ และมีการขยายพื้นที่เพิ่มเป็น 48 ไร่ ต่อมา หจก.เรืองปัญญาฯได้นำที่ดินไปขายต่อให้กับนายแทน และมีการนำน.ส.3 ก ดังกล่าวไปขอออกโฉนดที่ดินและขยายเนื้อที่เพิ่มเติมเป็น 64 ไร่ ระหว่างปี 2543-2544
ดีเอสไอจะสอบปากคำเจ้าพนักงานที่ดินในฐานะผู้รังวัดที่ดินว่า ปฏิบัติหน้าที่หรือใช้เอกสารหลักฐานใดประกอบดุลพินิจในการออกโฉนด เนื่องจากเอกสารเบื้องต้นระบุว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นภูเขาสูงมีความลาดชันเกิน 35 องศา กฎหมายไม่อนุญาตให้ออกโฉนดที่ดินได้ นอกจากนี้การสอบสวนพบว่ามีการออกโฉนดที่ดินที่ไม่ตรงกับพื้นที่จริง โดยเนื้อที่ตามโฉนดจำนวน 64 ไร่ ขณะที่พื้นที่ดังกล่าวตามเอกสารส.ค.1 ระบุจำนวนไว้ 20 ไร่ และเมื่อมาเป็น นส.3 ก. ได้ขยายเป็น 40 ไร่ และขยายอีกครั้งเมื่อออกโฉนดเป็น 64 ไร่ นอกจากนี้ยังมีการสร้างถนนตัดขึ้นไปถึงยอดเขาด้วย อย่างไรก็ตาม ก่อนลงพื้นที่ดีเอสไอจะประสานขอข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่มีการสรุปผลสอบออกมาว่าเป็นการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบและส่งเรื่องให้กรมที่ดินมีคำสั่งเพิกถอนโฉนด
แหล่งข่าวจากดีเอสไอระบุว่า ดีเอสไอเชื่อว่าน่าจะมีการออกโฉนดโดยมิชอบจำนวน 40 ไร่ และเป็นการออกโฉนดที่ขัดกับกฎกระทรวงฉบับแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 43 พ.ศ. 2537 ที่กำหนดให้ผู้ถือครองที่ดิน เขตภูเขา เกาะ ที่มีส.ค.1 มีสิทธิขอออกโฉนดที่ดินได้เท่าที่จำนวนที่ดินในส.ค 1 เท่านั้น สำหรับที่ดินที่มีปัญหาเดิมมีจำนวน 24 ไร่ เป็นของชาวบ้าน 3 ราย และมีส.ค.1 จำนวน 3 ฉบับ ซึ่งต่อมาชาวบ้านได้ขายให้กับห้างหุ้นส่วนจำกัดเรืองปัญญา คอนสตรัคชั่น จำกัด และหจก.เรืองปัญญาฯได้นำส.ค.1 ไปขอออกน.ส.3 ทั้ง 3 ฉบับในพื้นที่หมู่ 5 ต.อ่างทอง จ.สุราษฎร์ฯ และมีการขยายพื้นที่เพิ่มเป็น 48 ไร่ ต่อมา หจก.เรืองปัญญาฯได้นำที่ดินไปขายต่อให้กับนายแทน และมีการนำน.ส.3 ก ดังกล่าวไปขอออกโฉนดที่ดินและขยายเนื้อที่เพิ่มเติมเป็น 64 ไร่ ระหว่างปี 2543-2544