xs
xsm
sm
md
lg

กัญชาช่วยรักษามะเร็ง : บางมุมจากวงการวิทยาศาสตร์และการแพทย์

เผยแพร่:   โดย: ประสาท มีแต้ม

บทความเรื่อง “กัญชาช่วยรักษามะเร็ง : ข่าวที่ถูกเซนเซอร์มากที่สุดแห่งทศวรรษ!” เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้รับความสนใจจากผู้อ่านจำนวนมาก ผู้แสดงความคิดเห็นส่วนใหญ่เห็นด้วยและนำไปเผยแพร่ต่อ (share) แต่บางท่านบอกว่าไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มาอ้างอิงหรืออธิบายกลไกการรักษา ในบทความชิ้นนี้ผมจะพยายามครับ แต่ทั้งนี้ก็ต้องให้เหมาะสมกับผู้อ่าน “หนังสือพิมพ์รายวัน” ที่ไม่ใช่ “วารสารการแพทย์” นอกจากนี้ผมเองเป็นนักวิทยาศาสตร์สาขาคณิตศาสตร์ซึ่งห่างไกลจากเรื่องนี้มาก แต่ที่เขียนก็เพื่อกระตุ้นให้สังคมและบุคคลที่อยู่ในวงการให้มาช่วยกันศึกษาปัญหาสำคัญของมนุษยชาติและของเราทุกคนด้วย

ผมได้เขียนไว้ในเฟซบุ๊กว่า “หลังจากได้ค้นคว้าเรื่องกัญชากับมะเร็งมาได้หนึ่งสัปดาห์ บวกกับประสบการณ์บางอย่าง ทำให้ผมรู้สึกในขณะนี้ว่า ผมควรจะเลิกสนใจค้นคว้าเรื่องอื่นๆ ทั้งหมด แล้วมาสนใจเรื่องกัญชาอย่างเดียว รูปแบบการเอาเปรียบและฆ่าคนอย่างเลือดเย็นของระบบทุนนิยมมันช่างเหมือนกับขั้นตอนที่ผมเคยสรุปในเรื่องพลังงานว่า “หนึ่งล้างสมองสองปล้น” ไม่มีผิด” พร้อมกันนี้ผมได้แนะนำเว็บไซต์ที่น่าสนใจ (http://www.cannabisculture.com/articles/5169.html) รวมถึงวิธีการสกัดกัญชาใช้รักษาตนเองด้วย

ในเรื่องพลังงาน พ่อค้าจะล้างสมองเราว่าพลังงานหมุนเวียนซึ่งทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่ายนั้น ไม่มีประสิทธิภาพและไม่คุ้มทุน เมื่อทำให้คนเชื่ออย่างนั้นได้แล้ว จึงวางนโยบายพลังงานที่ต้องใช้เชื้อเพลิงที่เขาสามารถผูกขาดได้แต่ชาวบ้านเข้าถึงไม่ได้ เรื่องกัญชาก็เช่นเดียวกัน โหมโฆษณาจนคนเชื่อว่าอันตรายอย่างโน้นอย่างนี้แล้วก็ออกกฎหมายห้ามใช้เสียเลย ทั้งๆ ที่ทุกคนสามารถปลูกได้ในสวนครัวหรือกระถาง

จริงๆ แล้วผมค้นคว้าเรื่องกัญชาจากหลายแหล่งมาก สิ่งที่ผมทึ่งมากๆ ก็มาจากเอกสาร “สมาคมวิทยาศาสตร์ทางระบบประสาท (Society for Nuroscience)” ฉบับธันวาคม 2007 (www.sfn.org/briefings) ที่สรุปว่า ปกติแล้วร่างกายเราจะผลิตสารเคมีชนิดหนึ่งขึ้นมาเอง และสารตัวนี้มีอยู่ในกัญชา สร้างขึ้นมาเพื่ออะไร ก็เพื่อการกำกับควบคุมเกือบทุกกระบวนการทำงานของสมองและร่างกาย “เพื่อความถูกต้องผมขอคัดลอกข้อความดังนี้ The body makes its own versions of this ingredient, called endocannabinoids, which help regulate almost all brain and body processes.”

Dr.Jeffrey Dach แพทย์ชาวอเมริกันที่เขียนหนังสือและบทความวิจัยจำนวนมาก กล่าวไว้ในบล็อกของท่านว่า “กัญชาได้ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์มานานกว่า 4 พันปีแล้ว ในจีนโบราณ อียิปต์ อินเดีย กรีกโบราณ…ในศตวรรษที่ 19 กัญชาถูกใช้เป็นยาสามัญทั่วโลก ใช้บรรเทาความเจ็บปวดเบื้องต้นจนกระทั่งมีการค้นพบยาเอสไพริน (ในปี พ.ศ. 2442) ในสหรัฐอเมริกาได้ประกาศห้ามใช้กัญชาในปี พ.ศ. 2480 ด้วยกฎหมายฉบับหนึ่ง ปัจจุบันการใช้กัญชาในวงการแพทย์อย่างถูกกฎหมายมีหลายประเทศ ได้แก่ แคนาดา เบลเยียม ออสเตรีย สเปน เนเธอร์แลนด์ อิสราเอล ฟินแลนด์ และใน 14 รัฐของสหรัฐอเมริกา”

ในเดือนพฤศจิกายน 2550 รายการของบีบีซีรายงานว่า “นักวิจัยในแคลิฟอร์เนียพบว่าสาร Cannabidiol (มีในกัญชา) สามารถต่อต้านมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

นายแพทย์ Dach ได้อ้างถึงคำอธิบายของศาสตราจารย์ทางชีววิทยามหาวิทยาลัยโคโลราโดท่านหนึ่งว่า “สาร Cannabidiol จะฆ่าเซลล์มะเร็ง ฆ่าเนื้องอกและปกป้องอวัยวะที่อยู่รอบๆ นั้น” ศาสตราจารย์ท่านนี้สรุปว่า

“สารประกอบต่างๆ ในกัญชาทำหน้าที่ควบคุมกำกับทุกอย่างในร่างกายมนุษย์ กัญชาคือยามหัศจรรย์ ทุกอย่างในร่างกายได้รับดูแลรักษาด้วย endocannabinoids การใช้ประโยชน์จากกัญชาจะมีผลอย่างมากในการสร้างใหม่และฟื้นฟูร่างกายจากโรคต่างๆ โรคส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับวัยและสารพิษมีความสัมพันธ์กับสารในกัญชาดังกล่าว”

เราอาจจะเป็นห่วงว่า ถ้าให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมายแล้วจะทำให้คนหันมาเสพติดกัญชากันมาก แต่กราฟข้างล่างนี้เป็นการเปรียบเทียบจำนวนร้อยละของวัยรุ่นสหรัฐอเมริกาที่สูบกัญชา พบว่าในรัฐที่ถูกกฎหมายมีวัยรุ่นเสพกัญชามากกว่ารัฐที่ผิดกฎหมายเพียงเล็กน้อย คือประมาณ 1% เท่านั้น ดังนั้น ทำไมเราจะต้องทุ่มเทงบประมาณและบุคลากรจำนวนมหาศาลไปกับเรื่องนี้ด้วยเล่า?

ในด้านการผลิตยา Rick Simpson ผู้ป่วยที่ใช้กัญชารักษาตนเองกล่าวว่า กว่าศตวรรษมาแล้วที่บริษัทยาขนาดใหญ่ทั่วโลกได้ยึดเอาการรักษามะเร็งและโรคอื่นๆ มาอยู่ในมือของบริษัททั้งหมดเพื่อผลกำไรของตนเอง เมื่อ 85 ปีก่อนประชาชนทั่วโลกเคยใช้กัญชาซึ่งพบในธรรมชาติเป็นยา บริษัทยาจำนวนมากก็ผลิตยาจากกัญชามาหลายทศวรรษ ต้นกัญชาเป็นพืชจึงไม่มีการจดสิทธิบัตร สำหรับบริษัทยาแล้ว การไม่มีสิทธิบัตรหมายถึงการไม่ได้เงิน ดังนั้นจึงไม่มีแรงจูงใจในการผลิตยา

การให้กัญชาเป็นสิ่งผิดกฎหมายจึงเป็นเรื่องผลประโยชน์ของบริษัทยาที่อิงแอบอยู่เบื้องหลังรัฐบาลมากกว่าเหตุผลอื่น บรรทัดสุดท้ายนี้ผมสรุปเองครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น