วานนี้(23 เม.ย.55)นายเมธี ครองแก้ว กรรมการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ในฐานะประธานอนุกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีสัญญา 3 จี เปิดเผยว่า การประชุมคณะอนุกรรมการทั้ง 7 คนเมื่อวันที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมามีมติเอกฉันท์ว่าสัญญาการให้บริการ 3 จีระหว่างกลุ่มทรู คอร์ปอเรชั่น และ กสท โทรคมนาคม พบความไม่ถูกต้องตามกฎหมายหลายฉบับ และจะเร่งหาข้อสรุปว่าต้องสอบปากคำผู้ใดบ้างในวันที่ 8 พ.ค.อีกครั้ง
ทั้งนี้ กฎหมายที่สัญญา 3จี ดำเนินการไม่ถูกต้อง คือ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 หรือ พ.ร.บ.ฮั้ว มาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา คือ การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือทุจริต พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมหรือดำเนินงานในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 หรือ พ.ร.บ.ร่วมทุน มาตรา 46 พ.ร.บ.กสทช.ที่ห้ามโอนคลื่นให้บุคคลอื่น
นอกจากนี้ ยังมีระเบียบพัสดุว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง และประเด็นที่ กสทฯ ปิดกั้นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายอื่น โดยให้กลุ่มทรูมีสิทธิ์ในคลื่นความถี่เพียงรายดียว ซึ่งหลังจากที่คณะอนุกรรมการได้ข้อสรุปว่าจะต้องสอบปากคำใครบ้าง จะแจ้งข้อกล่าวหาไปยังบุคคลนั้น และเปิดโอกาสให้แก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน
สำหรับขั้นตอนหลังได้ข้อสรุปทั้งหมดแล้ว ทางคณะอนุกรรมการจะส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ที่จะใช้เวลาในการพิจารณา 30 วัน ดังนั้น คาดว่าภายในเดือน ก.ค. จะได้ข้อสรุปสุดท้ายของเรื่องนี้ว่าจะเป็นอย่างไร
“ผลของคณะอนุกรรมการไม่สามารถชี้เป็นชี้ตายใดๆ ได้ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับคณะกรรมการชุดใหญ่ที่จะเป็นผู้ชี้มูลหรือยกคดี ซึ่งอาจเห็นต่างกับคณะอนุก็เป็นได้ และยืนยันว่าคณะอนุฯ ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ไม่ได้ยื้อหรือประวิงเวลา แม้เรื่องนี้จะใช้เวลาดำเนินการมากว่า 1 ปีแล้วก็ตาม” นายเมธีกล่าว
อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่คณะอนุกรรมการยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาใคร หากทาง กลุ่มทรูต้องการเข้ามาชี้แจงเรื่องต่างๆ ก็สามารถทำได้ทันที ถือเป็นการให้ข้อมูลคณะอนุกรรมการที่ต้องการรับข้อมูลจากทุกด้าน แต่ที่ผ่านมากลุ่มทรูก็ไม่เคยเข้ามาชี้แจงแต่อย่างใด
นายกิติศักดิ์ ศรีประเสริฐ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กสทฯ กล่าวว่า ประเด็นที่กสทฯ กังวลเกี่ยวกับสัญญา 3 จี คือ มาตรา 46 พ.ร.บ.กสทช. ที่กำหนดชัดเจนว่าห้ามโอนสิทธิ์การบริหารคลื่นความถี่ให้ผู้อื่น และการที่ทรูได้สิทธิ์ทำสัญญา 14.5 ปี แต่เพียงรายเดียว ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ กฎหมายที่สัญญา 3จี ดำเนินการไม่ถูกต้อง คือ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 หรือ พ.ร.บ.ฮั้ว มาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา คือ การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือทุจริต พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมหรือดำเนินงานในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 หรือ พ.ร.บ.ร่วมทุน มาตรา 46 พ.ร.บ.กสทช.ที่ห้ามโอนคลื่นให้บุคคลอื่น
นอกจากนี้ ยังมีระเบียบพัสดุว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง และประเด็นที่ กสทฯ ปิดกั้นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายอื่น โดยให้กลุ่มทรูมีสิทธิ์ในคลื่นความถี่เพียงรายดียว ซึ่งหลังจากที่คณะอนุกรรมการได้ข้อสรุปว่าจะต้องสอบปากคำใครบ้าง จะแจ้งข้อกล่าวหาไปยังบุคคลนั้น และเปิดโอกาสให้แก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน
สำหรับขั้นตอนหลังได้ข้อสรุปทั้งหมดแล้ว ทางคณะอนุกรรมการจะส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ที่จะใช้เวลาในการพิจารณา 30 วัน ดังนั้น คาดว่าภายในเดือน ก.ค. จะได้ข้อสรุปสุดท้ายของเรื่องนี้ว่าจะเป็นอย่างไร
“ผลของคณะอนุกรรมการไม่สามารถชี้เป็นชี้ตายใดๆ ได้ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับคณะกรรมการชุดใหญ่ที่จะเป็นผู้ชี้มูลหรือยกคดี ซึ่งอาจเห็นต่างกับคณะอนุก็เป็นได้ และยืนยันว่าคณะอนุฯ ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ไม่ได้ยื้อหรือประวิงเวลา แม้เรื่องนี้จะใช้เวลาดำเนินการมากว่า 1 ปีแล้วก็ตาม” นายเมธีกล่าว
อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่คณะอนุกรรมการยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาใคร หากทาง กลุ่มทรูต้องการเข้ามาชี้แจงเรื่องต่างๆ ก็สามารถทำได้ทันที ถือเป็นการให้ข้อมูลคณะอนุกรรมการที่ต้องการรับข้อมูลจากทุกด้าน แต่ที่ผ่านมากลุ่มทรูก็ไม่เคยเข้ามาชี้แจงแต่อย่างใด
นายกิติศักดิ์ ศรีประเสริฐ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กสทฯ กล่าวว่า ประเด็นที่กสทฯ กังวลเกี่ยวกับสัญญา 3 จี คือ มาตรา 46 พ.ร.บ.กสทช. ที่กำหนดชัดเจนว่าห้ามโอนสิทธิ์การบริหารคลื่นความถี่ให้ผู้อื่น และการที่ทรูได้สิทธิ์ทำสัญญา 14.5 ปี แต่เพียงรายเดียว ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องอย่างชัดเจน
