นอกจากเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรกับความพยายามกลับบ้านอย่างเท่ ๆ แล้ว เหตุการณ์ที่ถือได้ว่าวิกฤตสุด ๆ ในบ้านเราก็เห็นจะเป็นสงครามการก่อการร้ายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ลามเข้ามาสู่จังหวัด..เอ๊ย..อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งก็บังเอิญมีเงาของอดีตนายกรัฐมนตรีคนนี้เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยอีก
ถ้าเราจะแก้ปัญหากันจริง ๆ เราอาจจะต้องเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ของเราก่อนเป็นปฐม
ผมจงใจใช้คำว่า “เรา” เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของ “รัฐบาล” สถานเดียว แต่เป็นเรื่องของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศด้วย
ในวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์นี้อยกจะทบทวนความจำพวกเราสักนิดว่าแต่ก่อนไม่มีคำว่าประเทศ “ไทย” มีแต่ “สยาม” จอมพลป. พิบูลสงครามเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยแรก ปี 2481-2487 เป็นผู้ริเริ่มเปลี่ยนชื่อประเทศจาก “สยาม” มาเป็น “ไทย” จากแนวคิดชาตินิยม โดยมีจุดมุ่งหมายจะปรับปรุงประเทศให้เจริญทัดเทียมอารยประเทศในตะวันตก อเมริกา และญี่ปุ่น จึงต้องกระตุ้นความรู้สึกชาตินิยมให้มีความรู้สึกรักชาติ เสียสละ และสามัคคี
ความหมายที่สร้างขึ้นมาเมื่อปี 2482 คือเชื้อชาติของคนเผ่าไทยที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ทั้งในบริเวณตอนใต้ของจีน แหลมอินโดจีน ตอนเหนือของอินเดียและพม่า เป็นสัญลักษณ์ความยิ่งใหญ่ของคนเชื้อชาติไทย ซึ่งถ้ารวมตัวกันได้เมื่อไรก็จะยิ่งใหญ่ทัดเทียมมหาอำนาจอื่นได้
การเปลี่ยนชื่อประเทศเมื่อมีความสัมพันธ์อย่างแยกไม่ออกกับการเปิดศึกอินโดจีนเรียกร้องดินแดนกลับคืนจากฝรั่งเศส และการเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นและฝ่ายอักษะในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
จากเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่ผ่านสายตาผม มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนหนึ่งคัดค้านอย่างหนักแน่น
ร.อ.กุหลาบ กาญจนสกุล
อยากให้อ่านความคิดเห็นของท่านผู้ได้ชื่อว่า “ผู้แทนราษฎร” เมื่อ 65 ปีที่แล้ว
.........
วันที่ ... มิถุนายน พ.ศ. 2482
เรียน นายกรัฐมนตรี
ตามที่ท่านนายกรัฐมนตรีจะคิดเปลี่ยนชื่อประเทศสยามเป็น "ประเทศไทย" นั้น ข้าพเจ้าไม่มีความเห็นพ้องด้วยเลย ควรจะให้คงไว้เป็นประเทศสยามเหมาะกว่า เหตุผลมีดังต่อไปนี้
1. คำว่าประเทศสยามจะมาอย่างไร เกิดขึ้นครั้งไหนนั้น ข้าพเจ้าไม่มีความรู้ แต่ทุก ๆ คนยอมรับว่า คำว่าประเทศสยามเรียกกันมานมนาน และนักศึกษาทุก ๆ คนย่อมทราบว่าเผ่าพันธุ์ของคนที่อาศัยอยู่ในประเทศสยามตั้งแต่สมัยโบราณและมาจนบัดนี้มีหลายเผ่าพันธุ์ และอาณาเขตประเทศสยามก็เคยลดและขยายออกไปตามกาลสมัย เผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในประเทศสยามครั้งโบราณที่สำคัญก็คือไทย ลาว เขมร แขก และทุกชาติก็เป็นเอกราช แต่เมื่อรบราฆ่าฟันขับเคี่ยวกันมาไทยจึงเป็นผู้รวบรวมเอาลาว เอาเขมร เอาแขก มาขึ้นอยู่กับไทยบางส่วน และแถมมีมอญ มีญวน เชลยมาอยู่ในประเทศสยามก็มาก ดังนั้นลาวก็ดี เขมรก็ดี แขกก็ดี มอญญวนก็ดี ต่างก็รู้สึกของตนเองว่าตนเป็นชาติอะไร ไม่ผิดกับคนไทยที่รู้สึกตามว่าตนเป็นคนไทย ลาวก็ย่อมรู้สึกว่าเขาเป็นลาว แขกก็รู้สึกตนว่าเขาเป็นแขกมาแต่กำเนิด ความรู้สึกในชาติกำเนิดนี้ย่อมฝังแน่นอยู่ในตัวเราทุก ๆ เผ่าพันธุ์ จะให้เขาเข้าใจนึกคิดว่าเขาเป็นคนไทยนั้นเป็นสิ่งที่ฝืนความรู้สึก เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก ข้าพเจ้าคิดว่ามีวิธีเดียวที่จะเปลี่ยนลาว เขมร แขก มอญ ให้เป็นไทยได้ทั้งชีวิตจิตใจก็คือ จับผู้ใหญ่ฆ่าเสีย เหลือแต่ลูกเล็กเด็กแดงที่ไม่รู้เดียงสาไว้ แล้วจึงหลอกเขาว่าเขาเป็นไทย
2. ตามเหตุที่กล่าวมาแล้ว จะมีแต่คนที่เกิดมาเป็นคนไทยตั้งแต่คลอดเท่านั้นจึงจะรู้สึกว่าตนเป็นคนไทย ดังนั้นการที่จะเปลี่ยนชื่อประเทศสยามเป็นประเทศไทย หากเราจะไม่เปลี่ยนโดยใช้อำนาจแล้ว ก็ควรจะฟังความเห็นลาว แขก เขมร มอญ ซึ่งเป็นเพื่อนอยู่ร่วมประเทศดูบ้าง จะได้หยั่งทราบถึงความรู้สึกในใจของเขา ถ้าฟังแต่ความเห็นคนไทยแล้ว ก็ต้องได้รับเสียงตั้งร้อยเปอร์เซนต์ว่าเปลี่ยนเป็นประเทศไทยดี ทีนี้เรามาคิดกันดูว่าการที่เปลี่ยนเป็นประเทศไทยนั้นผลได้และผลเสียอย่างไหนจะมากกว่ากัน เราไม่ควรคิดถึงประวัติศาสตร์ท่านวรรณฯ หรือหลวงวิจิตรฯ กันให้มากไป จะทำให้คิดลำเอียงไปในทางเปลี่ยนดี
ที่คณะรัฐบาลได้เปลี่ยนเรียกชื่อชนชาวสยามเป็นไทยเหมือนกันหมด คือไทยภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอิสาน ภาคใต้ และไทยอิสลามนั้น ก็เพื่อจะให้เผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ที่เคยเป็นเมืองขึ้นของไทย คิดว่าตนเป็นไทย ไม่ใช่เชลยอย่างแต่ก่อน แต่นั่นได้ผลเต็มตามความประสงค์ของรัฐบาลแล้วหรือ ข้าพเจ้าคิดว่าเปล่าเลย คนที่กำเนิดมาเป็นคนไทยเท่านั้นที่จะไม่รู้สึกอะไร แต่พวกลาว แขก เขมร มอญ ในใจเขาก็คิดว่าเขาเป็นลาว เป็นแขก เป็นมอญอยู่นั่นเอง จะให้จิตใจเขาคิดว่าเขาเป็นไทยตามที่รัฐบาลเกณฑ์ให้ไปนั้น ย่อมไม่ได้ เพราะความจริงมันไม่เป็นเช่นนั้น จะฝืนให้คนรู้สึกในสิ่งที่รู้อยู่แล้วว่าไม่จริงเป็นจริงได้อย่างไร ลองคิดกลับมาดูว่าจะเหมาให้ไทยเป็นแขกก็ย่อมจะรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ นั่นข้าพเจ้าคิดว่ารัฐบาลคณะราษฎรของเราผิดหวังไปอย่างหนึ่ง คือลาวก็ดี แขกก็ดี ก็คิดว่าเป็นเมืองขึ้นหรือชาติเชลยของไทยอยู่ ถ้าเรียกเขาว่าเป็นชาวสยามตามรัฐธรรมนูญแล้ว ก็จะหายจากความน้อยเนื้อต่ำใจไปได้ โดยที่ต่างก็จะได้คิดว่าเมื่อรัฐธรรมนูญได้ให้สิทธิเสรีภาพเท่ากันแล้ว เราก็ควรจะเป็นชาติเดียวกัน ไม่ใช่ชาติไทย ลาว แขก เป็นชาวสยามด้วยกัน การที่จะคิดว่าเป็นนายเป็นทาสก็จะได้สูญสิ้นไป ลาวหรือแขกที่ยังคงเป็นขี้ข้าเขาอยู่ก็อาจอยากมาเป็นชาวสยามผู้มีเกียรติกับเราด้วย ที่รัฐบาลคิดเปลี่ยนเป็นไทยหมดเพื่อมิให้ใครคิดน้อยเนื้อต่ำใจกันจะได้สามัคคีกลมเกลียวกันนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่ารัฐบาลคิดจะรวมน้ำใจคนโดยวิธีนั้นไม่ได้ตามที่กล่าวแล้ว
3. เมื่อการคิดรวมน้ำใจคนให้เป็นไทยหมดไม่ได้ผลดังข้าพเจ้ากล่าวแล้ว แล้วจะคิดมาเปลี่ยนนามประเทศอีก ยิ่งจะไปกันใหญ่ ขอให้เราหันไปมองดูตัวอย่างเยอรมันอีกครั้งหนึ่ง ในสมัยที่บิสมาร์กจะรวมเยอรมันนั้น ชาติปรุสเซียนหรือประเทศปรุสเซียมีอำนาจมาก จึงได้ใช้อำนาจรวมเอาประเทศราชมีบาวาเรีย แซกซอนนี่ วีรเตมเบิก ฯลฯ เข้ามาเป็นประเทศเดียว ถ้าจะคิดก็คือประเทศราชเล็ก ๆ เหล่านั้นควรเป็นเมืองขึ้นของปรุสเซีย แต่บิสมาร์กหรือชาวปรุสเซียนมิได้ถือตัวว่าเป็นผู้มีอำนาจหรือชนะ ใครเป็นผู้ชนะ เขาจึงรวมกันได้ทั้งกายทั้งจิตใจ ลองคิดกลับมาดูคนไทยเรา ไทยก็เป็นผู้มีอำนาจ ได้รวบรวมเอาลาว เอาแขก และเอามอญมาเป็นเชลย คล้ายปรุสเซียสมัยโน้น แต่ไทยเราครั้งโบราณมิได้คิดจะรวมน้ำใจคน จึงมิได้เปลี่ยนนามชาติ มาสมัยนี้รัฐบาลมีนโยบายที่จะรวมน้ำใจคนในชาติ แต่รัฐบาลได้ทำพลาดไป คือเปลี่ยนเป็นชาติไทย คนจึงยังคิดว่ามีผู้ชนะมีเชลยกันอยู่ น้ำใจจึงยังกลมเกลียวกันไม่ได้ ถ้าได้คิดเปลี่ยนเรียกเป็นชนชาวสยามจะเหมาะสมกว่า ถ้าเปลี่ยนเป็นประเทศไทย ก็คือคนไทยผู้ชนะเท่านั้นที่ดีใจ แขก มอญ ลาว เขมร ญวน ซึ่งอยู่ในประเทศสยามเวลานี้ ท่าจะมีความรู้สึกคล้าย ๆ ว่าเป็นชาติเชลยของไทยไปชั่วกัลปาวสาน หาเกียรติมิได้ ไม่ผิดกับแขกพวกเดียวกับในมลายู หรือลาวพวกเดียวกับแคว้นลาว
ตามที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วนี้ ก็หวังเพื่อประโยชน์แก่ชาติประเทศในอันที่จะร่วมเป็นร่วมตายกับคนซึ่งมีเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ กันในประเทศสยามของเราด้วยน้ำใสใจจริง ข้าพเจ้าเป็นชาวภาคอีสานผู้หนึ่งรู้สึกไม่พอใจมาตั้งแต่รัฐบาลได้เรียกภาคอีสานว่าไทยภาคอีสานมาแล้วครั้งหนึ่ง คือการที่เรียกเช่นนั้นเป็นการหลอกกันชัด ๆ แต่ภาคอีสานยังใกล้ไทยมาก สำหรับแขกซึ่งรัฐบาลไทยเรียกว่าไทยอิสลามนั้น ไกลกับไทยลิบลับ พวกนั้นเขาก็รู้ว่าถูกหลอกอย่างข้าพเจ้าเป็นแน่ ขอให้นึกถึงความจริงอีกข้อหนึ่งว่า คนในโลกนี้ไม่มีใครอยากได้รับการเหยียดหยาม ชอบมีเกียรติด้วยกันทุกคน ขอให้รัฐบาลได้พิจารณาเรื่องการรวมน้ำใจคนในชาติโดยวิธีตามความเห็นที่ว่าไปเช่นนี้เป็นการดีมาก ขออย่าได้ปรึกษากันเฉพาะคนไทยหรือเฉพาะผู้คล้อยตาม จะไม่ได้รู้ความจริง
ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง
ร.อ.กุหลาบ กาญจนสกุล
.......
ค่อย ๆ อ่านแล้วค่อย ๆ ร่วมกันคิดนะครับ เนื้อหาไม่ได้มีนัยเฉพาะสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น !
แต่มีนัยตอบโจทย์การเมืองของภาคอีสานด้วย !!
ถ้าเราจะแก้ปัญหากันจริง ๆ เราอาจจะต้องเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ของเราก่อนเป็นปฐม
ผมจงใจใช้คำว่า “เรา” เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของ “รัฐบาล” สถานเดียว แต่เป็นเรื่องของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศด้วย
ในวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์นี้อยกจะทบทวนความจำพวกเราสักนิดว่าแต่ก่อนไม่มีคำว่าประเทศ “ไทย” มีแต่ “สยาม” จอมพลป. พิบูลสงครามเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยแรก ปี 2481-2487 เป็นผู้ริเริ่มเปลี่ยนชื่อประเทศจาก “สยาม” มาเป็น “ไทย” จากแนวคิดชาตินิยม โดยมีจุดมุ่งหมายจะปรับปรุงประเทศให้เจริญทัดเทียมอารยประเทศในตะวันตก อเมริกา และญี่ปุ่น จึงต้องกระตุ้นความรู้สึกชาตินิยมให้มีความรู้สึกรักชาติ เสียสละ และสามัคคี
ความหมายที่สร้างขึ้นมาเมื่อปี 2482 คือเชื้อชาติของคนเผ่าไทยที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ทั้งในบริเวณตอนใต้ของจีน แหลมอินโดจีน ตอนเหนือของอินเดียและพม่า เป็นสัญลักษณ์ความยิ่งใหญ่ของคนเชื้อชาติไทย ซึ่งถ้ารวมตัวกันได้เมื่อไรก็จะยิ่งใหญ่ทัดเทียมมหาอำนาจอื่นได้
การเปลี่ยนชื่อประเทศเมื่อมีความสัมพันธ์อย่างแยกไม่ออกกับการเปิดศึกอินโดจีนเรียกร้องดินแดนกลับคืนจากฝรั่งเศส และการเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นและฝ่ายอักษะในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
จากเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่ผ่านสายตาผม มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนหนึ่งคัดค้านอย่างหนักแน่น
ร.อ.กุหลาบ กาญจนสกุล
อยากให้อ่านความคิดเห็นของท่านผู้ได้ชื่อว่า “ผู้แทนราษฎร” เมื่อ 65 ปีที่แล้ว
.........
วันที่ ... มิถุนายน พ.ศ. 2482
เรียน นายกรัฐมนตรี
ตามที่ท่านนายกรัฐมนตรีจะคิดเปลี่ยนชื่อประเทศสยามเป็น "ประเทศไทย" นั้น ข้าพเจ้าไม่มีความเห็นพ้องด้วยเลย ควรจะให้คงไว้เป็นประเทศสยามเหมาะกว่า เหตุผลมีดังต่อไปนี้
1. คำว่าประเทศสยามจะมาอย่างไร เกิดขึ้นครั้งไหนนั้น ข้าพเจ้าไม่มีความรู้ แต่ทุก ๆ คนยอมรับว่า คำว่าประเทศสยามเรียกกันมานมนาน และนักศึกษาทุก ๆ คนย่อมทราบว่าเผ่าพันธุ์ของคนที่อาศัยอยู่ในประเทศสยามตั้งแต่สมัยโบราณและมาจนบัดนี้มีหลายเผ่าพันธุ์ และอาณาเขตประเทศสยามก็เคยลดและขยายออกไปตามกาลสมัย เผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในประเทศสยามครั้งโบราณที่สำคัญก็คือไทย ลาว เขมร แขก และทุกชาติก็เป็นเอกราช แต่เมื่อรบราฆ่าฟันขับเคี่ยวกันมาไทยจึงเป็นผู้รวบรวมเอาลาว เอาเขมร เอาแขก มาขึ้นอยู่กับไทยบางส่วน และแถมมีมอญ มีญวน เชลยมาอยู่ในประเทศสยามก็มาก ดังนั้นลาวก็ดี เขมรก็ดี แขกก็ดี มอญญวนก็ดี ต่างก็รู้สึกของตนเองว่าตนเป็นชาติอะไร ไม่ผิดกับคนไทยที่รู้สึกตามว่าตนเป็นคนไทย ลาวก็ย่อมรู้สึกว่าเขาเป็นลาว แขกก็รู้สึกตนว่าเขาเป็นแขกมาแต่กำเนิด ความรู้สึกในชาติกำเนิดนี้ย่อมฝังแน่นอยู่ในตัวเราทุก ๆ เผ่าพันธุ์ จะให้เขาเข้าใจนึกคิดว่าเขาเป็นคนไทยนั้นเป็นสิ่งที่ฝืนความรู้สึก เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก ข้าพเจ้าคิดว่ามีวิธีเดียวที่จะเปลี่ยนลาว เขมร แขก มอญ ให้เป็นไทยได้ทั้งชีวิตจิตใจก็คือ จับผู้ใหญ่ฆ่าเสีย เหลือแต่ลูกเล็กเด็กแดงที่ไม่รู้เดียงสาไว้ แล้วจึงหลอกเขาว่าเขาเป็นไทย
2. ตามเหตุที่กล่าวมาแล้ว จะมีแต่คนที่เกิดมาเป็นคนไทยตั้งแต่คลอดเท่านั้นจึงจะรู้สึกว่าตนเป็นคนไทย ดังนั้นการที่จะเปลี่ยนชื่อประเทศสยามเป็นประเทศไทย หากเราจะไม่เปลี่ยนโดยใช้อำนาจแล้ว ก็ควรจะฟังความเห็นลาว แขก เขมร มอญ ซึ่งเป็นเพื่อนอยู่ร่วมประเทศดูบ้าง จะได้หยั่งทราบถึงความรู้สึกในใจของเขา ถ้าฟังแต่ความเห็นคนไทยแล้ว ก็ต้องได้รับเสียงตั้งร้อยเปอร์เซนต์ว่าเปลี่ยนเป็นประเทศไทยดี ทีนี้เรามาคิดกันดูว่าการที่เปลี่ยนเป็นประเทศไทยนั้นผลได้และผลเสียอย่างไหนจะมากกว่ากัน เราไม่ควรคิดถึงประวัติศาสตร์ท่านวรรณฯ หรือหลวงวิจิตรฯ กันให้มากไป จะทำให้คิดลำเอียงไปในทางเปลี่ยนดี
ที่คณะรัฐบาลได้เปลี่ยนเรียกชื่อชนชาวสยามเป็นไทยเหมือนกันหมด คือไทยภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอิสาน ภาคใต้ และไทยอิสลามนั้น ก็เพื่อจะให้เผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ที่เคยเป็นเมืองขึ้นของไทย คิดว่าตนเป็นไทย ไม่ใช่เชลยอย่างแต่ก่อน แต่นั่นได้ผลเต็มตามความประสงค์ของรัฐบาลแล้วหรือ ข้าพเจ้าคิดว่าเปล่าเลย คนที่กำเนิดมาเป็นคนไทยเท่านั้นที่จะไม่รู้สึกอะไร แต่พวกลาว แขก เขมร มอญ ในใจเขาก็คิดว่าเขาเป็นลาว เป็นแขก เป็นมอญอยู่นั่นเอง จะให้จิตใจเขาคิดว่าเขาเป็นไทยตามที่รัฐบาลเกณฑ์ให้ไปนั้น ย่อมไม่ได้ เพราะความจริงมันไม่เป็นเช่นนั้น จะฝืนให้คนรู้สึกในสิ่งที่รู้อยู่แล้วว่าไม่จริงเป็นจริงได้อย่างไร ลองคิดกลับมาดูว่าจะเหมาให้ไทยเป็นแขกก็ย่อมจะรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ นั่นข้าพเจ้าคิดว่ารัฐบาลคณะราษฎรของเราผิดหวังไปอย่างหนึ่ง คือลาวก็ดี แขกก็ดี ก็คิดว่าเป็นเมืองขึ้นหรือชาติเชลยของไทยอยู่ ถ้าเรียกเขาว่าเป็นชาวสยามตามรัฐธรรมนูญแล้ว ก็จะหายจากความน้อยเนื้อต่ำใจไปได้ โดยที่ต่างก็จะได้คิดว่าเมื่อรัฐธรรมนูญได้ให้สิทธิเสรีภาพเท่ากันแล้ว เราก็ควรจะเป็นชาติเดียวกัน ไม่ใช่ชาติไทย ลาว แขก เป็นชาวสยามด้วยกัน การที่จะคิดว่าเป็นนายเป็นทาสก็จะได้สูญสิ้นไป ลาวหรือแขกที่ยังคงเป็นขี้ข้าเขาอยู่ก็อาจอยากมาเป็นชาวสยามผู้มีเกียรติกับเราด้วย ที่รัฐบาลคิดเปลี่ยนเป็นไทยหมดเพื่อมิให้ใครคิดน้อยเนื้อต่ำใจกันจะได้สามัคคีกลมเกลียวกันนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่ารัฐบาลคิดจะรวมน้ำใจคนโดยวิธีนั้นไม่ได้ตามที่กล่าวแล้ว
3. เมื่อการคิดรวมน้ำใจคนให้เป็นไทยหมดไม่ได้ผลดังข้าพเจ้ากล่าวแล้ว แล้วจะคิดมาเปลี่ยนนามประเทศอีก ยิ่งจะไปกันใหญ่ ขอให้เราหันไปมองดูตัวอย่างเยอรมันอีกครั้งหนึ่ง ในสมัยที่บิสมาร์กจะรวมเยอรมันนั้น ชาติปรุสเซียนหรือประเทศปรุสเซียมีอำนาจมาก จึงได้ใช้อำนาจรวมเอาประเทศราชมีบาวาเรีย แซกซอนนี่ วีรเตมเบิก ฯลฯ เข้ามาเป็นประเทศเดียว ถ้าจะคิดก็คือประเทศราชเล็ก ๆ เหล่านั้นควรเป็นเมืองขึ้นของปรุสเซีย แต่บิสมาร์กหรือชาวปรุสเซียนมิได้ถือตัวว่าเป็นผู้มีอำนาจหรือชนะ ใครเป็นผู้ชนะ เขาจึงรวมกันได้ทั้งกายทั้งจิตใจ ลองคิดกลับมาดูคนไทยเรา ไทยก็เป็นผู้มีอำนาจ ได้รวบรวมเอาลาว เอาแขก และเอามอญมาเป็นเชลย คล้ายปรุสเซียสมัยโน้น แต่ไทยเราครั้งโบราณมิได้คิดจะรวมน้ำใจคน จึงมิได้เปลี่ยนนามชาติ มาสมัยนี้รัฐบาลมีนโยบายที่จะรวมน้ำใจคนในชาติ แต่รัฐบาลได้ทำพลาดไป คือเปลี่ยนเป็นชาติไทย คนจึงยังคิดว่ามีผู้ชนะมีเชลยกันอยู่ น้ำใจจึงยังกลมเกลียวกันไม่ได้ ถ้าได้คิดเปลี่ยนเรียกเป็นชนชาวสยามจะเหมาะสมกว่า ถ้าเปลี่ยนเป็นประเทศไทย ก็คือคนไทยผู้ชนะเท่านั้นที่ดีใจ แขก มอญ ลาว เขมร ญวน ซึ่งอยู่ในประเทศสยามเวลานี้ ท่าจะมีความรู้สึกคล้าย ๆ ว่าเป็นชาติเชลยของไทยไปชั่วกัลปาวสาน หาเกียรติมิได้ ไม่ผิดกับแขกพวกเดียวกับในมลายู หรือลาวพวกเดียวกับแคว้นลาว
ตามที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วนี้ ก็หวังเพื่อประโยชน์แก่ชาติประเทศในอันที่จะร่วมเป็นร่วมตายกับคนซึ่งมีเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ กันในประเทศสยามของเราด้วยน้ำใสใจจริง ข้าพเจ้าเป็นชาวภาคอีสานผู้หนึ่งรู้สึกไม่พอใจมาตั้งแต่รัฐบาลได้เรียกภาคอีสานว่าไทยภาคอีสานมาแล้วครั้งหนึ่ง คือการที่เรียกเช่นนั้นเป็นการหลอกกันชัด ๆ แต่ภาคอีสานยังใกล้ไทยมาก สำหรับแขกซึ่งรัฐบาลไทยเรียกว่าไทยอิสลามนั้น ไกลกับไทยลิบลับ พวกนั้นเขาก็รู้ว่าถูกหลอกอย่างข้าพเจ้าเป็นแน่ ขอให้นึกถึงความจริงอีกข้อหนึ่งว่า คนในโลกนี้ไม่มีใครอยากได้รับการเหยียดหยาม ชอบมีเกียรติด้วยกันทุกคน ขอให้รัฐบาลได้พิจารณาเรื่องการรวมน้ำใจคนในชาติโดยวิธีตามความเห็นที่ว่าไปเช่นนี้เป็นการดีมาก ขออย่าได้ปรึกษากันเฉพาะคนไทยหรือเฉพาะผู้คล้อยตาม จะไม่ได้รู้ความจริง
ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง
ร.อ.กุหลาบ กาญจนสกุล
.......
ค่อย ๆ อ่านแล้วค่อย ๆ ร่วมกันคิดนะครับ เนื้อหาไม่ได้มีนัยเฉพาะสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น !
แต่มีนัยตอบโจทย์การเมืองของภาคอีสานด้วย !!