ASTVผู้จัดการรายวัน - ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนจำคุก 25 ปี ทีมสังหารร่วมวางแผนฆ่าองคมนตรีและอดีตประธานศาลฏีกา“ชาญชัย ลิขิตจิตถะ” ขณะดำรงตำแหน่ง รวม.ยุติธรรม แต่ไม่สำเร็จ ก่อนจะลดโทษให้ 1 ใน 3 หลังจำเลยให้การเป็นประโยชน์ ชี้พฤติการณ์แห่งคดีเชื่อเหตุลอบสังหารมีสาเหตุจากเรื่องการเมือง
วานนี้(23 มี.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 310 ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ศาลอุทธรณ์ภาค 1 อ่านคำพิพากษาผ่านการถ่ายทอดโดยระบบสื่อสารทางไกลผ่านจอภาพวีดิโอคอนเฟอร์เรนซ์ ไปยังศาลจังหวัดสมุทรปราการ ในคดีหมายเลขดำ อ.2819/2552 ที่พนักงานอัยการจังหวัดสมุทรปราการ เป็นโจทก์ฟ้อง นายภานุพงศ์ หรือกอล์ฟ รัตนาไพบูลย์ คนขี่รถจักรยานยนต์ , นายศักดิ์ชาย หรือแบงก์ แซ่ลิ้ม มือปืน , นายคมิก หรือเหน่ง สุขภาญจนากาศ คนชี้เป้าและติดต่อมือปืน , พ.ต.เทียนชัย หรืออ๊อด เมืองจันทึก นายทหารบรรณารักษ์ ประจำศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้ากองทัพบก ผู้จ้างวาน , นายสุชาติ หรือแจ๊ก ทรัพย์มณี ผู้จ้างวาน และ พ.จ.อ.สุกกรีย์ ขาวผ่อง สังกัดศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ กองบัญชาการทหารสูงสุด เป็นจำเลยที่ 1- 6 ในความผิดฐานร่วมกันใช้จ้างวานให้จำเลยที่ 1-2 ไปลอบสังหาร นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ องคมนตรี อดีตประธานศาลฎีกา ขณะดำรงตำแหน่ง รมว.ยุติธรรม โดยไตร่ตรองไว้ก่อน และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ
คดีนี้โจทก์ฟ้องสรุปว่า ระหว่างวันที่ 31 มี.ค. - 5 เม.ย.52 จำเลยที่ 3 - 6 ร่วมกับ พ.อ.สกล พันธุ์หงษ์ อดีตนายทหารกองปราบปรามการก่อการร้าย ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ผู้ต้องหาที่ยังหลบหนี ร่วมกันใช้จ้างวานให้ จำเลยที่ 1 - 2 กระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดย พ.อ.สกล เป็นผู้บงการใช้จ้างวานจำเลยที่ 6 ให้จัดหาบุคคลไปฆ่านายชาญชัย จากนั้นจำเลยที่ 6 ได้ใช้จ้างวานจำเลยที่ 5 และมีการว่าจ้างต่อกันเป็นทอดๆ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบเบาะแสก่อน จึงจัดกำลังเฝ้ารักษาความปลอดภัยให้แก่นายชาญชัย ตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้จำเลยที่ 1 - 2 ไม่สามารถลงมือสังหารได้ตามที่รับการใช้จ้างวาน
โดยศาลจังหวัดสมุทรปราการ มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 20 ต.ค.53 ลงโทษ จำเลยที่ 1 ฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ลงโทษจำคุก 1 ปี ส่วนจำเลยที่ 3 - 6 มีความผิดฐานร่วมกันใช้จ้างวานฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ลงโทษจำคุก 25 ปี คำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนมีประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 8 เดือน จำคุกจำเลยที่ 3 - 6 เป็นเวลา 16 ปี 8 เดือน ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 โจทก์ไม่ยื่นอุทธรณ์ในส่วนของจำเลยที่ 1 - 2 ทำให้ผลคดีเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ขณะที่จำเลยที่ 3 - 6 ยื่นอุทธรณ์ วานนี้(23 มี.ค.) จึงมีเพียงจำเลยที่ 3 - 6 ไปฟังคำพิพากษาที่ศาลจังหวัดสมุทรปราการเท่านั้น
ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์ประชุมหารือแล้วเห็นว่า โจทก์มีพนักงานสอบสวนเบิกความเป็นลำดับขั้นตอน โดยจำเลยที่ 1 -2 รับสารภาพว่าตกลงรับค่าจ้างในการสังหารนายชาญชัย โดยมีจำเลยที่ 3 เป็นผู้ติดต่อ และจำเลยที่ 1 - 2 ได้รับโอนเงินจากจำเลยที่ 4 เพื่อนำไปซื้อปืนของกลาง พร้อมขี่รถจักรยานยนต์ไปดูลาดเลา 2 ครั้ง แต่ไม่สามารถลงมือได้ก่อนที่ตำรวจจะจับกุมจำเลยทั้งหมดที่ต่างซัดทอดกันว่าได้รับการใช้จ้างวานมาเป็นทอด ๆ ตามลำดับ โดยจำเลยที่ 6 รับว่า แผนการสังหารนายชาญชัย มี พ.อ.สกล เป็นผู้บงการ แต่ พ.อ.สกล ไหวตัวทันหลบหนีไปก่อน
ในชั้นสอบสวนจำเลยทั้ง 6 ให้การรับสารภาพ ลงลายมือชื่อไว้ในสำนวนการสอบสวนหลายฉบับ เชื่อว่าจำเลยที่ 3 - 6 ให้การไปด้วยความสมัครใจ นอกจากนี้ได้ความจากคำเบิกความของจำเลยที่ 4 ว่า สาเหตุของการลอบสังหารนายชาญชัย มาจากเรื่องการเมือง เมื่อพ.อ.สกล เคยระบุว่านายชาญชัย มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 อีกทั้ง พ.อ.สกล เป็นกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง จากการตรวจค้นบ้านพัก และรถยนต์ของ พ.อ.สกล พบประวัติการทำงาน และรูปภาพของนายชาญชัย นอกจากนี้ยังพบตีนตบ ที่เป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มคนเสื้อแดงด้วย นายชาญชัย ไม่เคยรู้จัก หรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยทั้ง 6 มาก่อน ขณะเกิดเหตุเป็นช่วงที่ นายชาญชัย ไปดำรงตำแหน่งเป็น รมว.ยุติธรรม จากพฤติการณ์แห่งคดีเชื่อว่า เหตุลอบสังหารนายชาญชัย มีสาเหตุมาจากเรื่องการเมืองจริง
เห็นว่าจากการคำรับสารภาพของจำเลยทั้ง 6 ในชั้นสอบสวน ประกอบกับคำเบิกความของเจ้าพนักงานตำรวจ มีความเชื่อมโยงสอดคล้องกันเป็นลำดับ ซึ่งพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงถึงการยอมรับที่จะทำงานแล้ว ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 เห็นพ้องด้วย พิพากษายืน และให้คืนกระเป๋าสะพายของกลาง
วานนี้(23 มี.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 310 ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ศาลอุทธรณ์ภาค 1 อ่านคำพิพากษาผ่านการถ่ายทอดโดยระบบสื่อสารทางไกลผ่านจอภาพวีดิโอคอนเฟอร์เรนซ์ ไปยังศาลจังหวัดสมุทรปราการ ในคดีหมายเลขดำ อ.2819/2552 ที่พนักงานอัยการจังหวัดสมุทรปราการ เป็นโจทก์ฟ้อง นายภานุพงศ์ หรือกอล์ฟ รัตนาไพบูลย์ คนขี่รถจักรยานยนต์ , นายศักดิ์ชาย หรือแบงก์ แซ่ลิ้ม มือปืน , นายคมิก หรือเหน่ง สุขภาญจนากาศ คนชี้เป้าและติดต่อมือปืน , พ.ต.เทียนชัย หรืออ๊อด เมืองจันทึก นายทหารบรรณารักษ์ ประจำศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้ากองทัพบก ผู้จ้างวาน , นายสุชาติ หรือแจ๊ก ทรัพย์มณี ผู้จ้างวาน และ พ.จ.อ.สุกกรีย์ ขาวผ่อง สังกัดศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ กองบัญชาการทหารสูงสุด เป็นจำเลยที่ 1- 6 ในความผิดฐานร่วมกันใช้จ้างวานให้จำเลยที่ 1-2 ไปลอบสังหาร นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ องคมนตรี อดีตประธานศาลฎีกา ขณะดำรงตำแหน่ง รมว.ยุติธรรม โดยไตร่ตรองไว้ก่อน และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ
คดีนี้โจทก์ฟ้องสรุปว่า ระหว่างวันที่ 31 มี.ค. - 5 เม.ย.52 จำเลยที่ 3 - 6 ร่วมกับ พ.อ.สกล พันธุ์หงษ์ อดีตนายทหารกองปราบปรามการก่อการร้าย ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ผู้ต้องหาที่ยังหลบหนี ร่วมกันใช้จ้างวานให้ จำเลยที่ 1 - 2 กระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดย พ.อ.สกล เป็นผู้บงการใช้จ้างวานจำเลยที่ 6 ให้จัดหาบุคคลไปฆ่านายชาญชัย จากนั้นจำเลยที่ 6 ได้ใช้จ้างวานจำเลยที่ 5 และมีการว่าจ้างต่อกันเป็นทอดๆ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบเบาะแสก่อน จึงจัดกำลังเฝ้ารักษาความปลอดภัยให้แก่นายชาญชัย ตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้จำเลยที่ 1 - 2 ไม่สามารถลงมือสังหารได้ตามที่รับการใช้จ้างวาน
โดยศาลจังหวัดสมุทรปราการ มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 20 ต.ค.53 ลงโทษ จำเลยที่ 1 ฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ลงโทษจำคุก 1 ปี ส่วนจำเลยที่ 3 - 6 มีความผิดฐานร่วมกันใช้จ้างวานฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ลงโทษจำคุก 25 ปี คำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนมีประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 8 เดือน จำคุกจำเลยที่ 3 - 6 เป็นเวลา 16 ปี 8 เดือน ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 โจทก์ไม่ยื่นอุทธรณ์ในส่วนของจำเลยที่ 1 - 2 ทำให้ผลคดีเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ขณะที่จำเลยที่ 3 - 6 ยื่นอุทธรณ์ วานนี้(23 มี.ค.) จึงมีเพียงจำเลยที่ 3 - 6 ไปฟังคำพิพากษาที่ศาลจังหวัดสมุทรปราการเท่านั้น
ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์ประชุมหารือแล้วเห็นว่า โจทก์มีพนักงานสอบสวนเบิกความเป็นลำดับขั้นตอน โดยจำเลยที่ 1 -2 รับสารภาพว่าตกลงรับค่าจ้างในการสังหารนายชาญชัย โดยมีจำเลยที่ 3 เป็นผู้ติดต่อ และจำเลยที่ 1 - 2 ได้รับโอนเงินจากจำเลยที่ 4 เพื่อนำไปซื้อปืนของกลาง พร้อมขี่รถจักรยานยนต์ไปดูลาดเลา 2 ครั้ง แต่ไม่สามารถลงมือได้ก่อนที่ตำรวจจะจับกุมจำเลยทั้งหมดที่ต่างซัดทอดกันว่าได้รับการใช้จ้างวานมาเป็นทอด ๆ ตามลำดับ โดยจำเลยที่ 6 รับว่า แผนการสังหารนายชาญชัย มี พ.อ.สกล เป็นผู้บงการ แต่ พ.อ.สกล ไหวตัวทันหลบหนีไปก่อน
ในชั้นสอบสวนจำเลยทั้ง 6 ให้การรับสารภาพ ลงลายมือชื่อไว้ในสำนวนการสอบสวนหลายฉบับ เชื่อว่าจำเลยที่ 3 - 6 ให้การไปด้วยความสมัครใจ นอกจากนี้ได้ความจากคำเบิกความของจำเลยที่ 4 ว่า สาเหตุของการลอบสังหารนายชาญชัย มาจากเรื่องการเมือง เมื่อพ.อ.สกล เคยระบุว่านายชาญชัย มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 อีกทั้ง พ.อ.สกล เป็นกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง จากการตรวจค้นบ้านพัก และรถยนต์ของ พ.อ.สกล พบประวัติการทำงาน และรูปภาพของนายชาญชัย นอกจากนี้ยังพบตีนตบ ที่เป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มคนเสื้อแดงด้วย นายชาญชัย ไม่เคยรู้จัก หรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยทั้ง 6 มาก่อน ขณะเกิดเหตุเป็นช่วงที่ นายชาญชัย ไปดำรงตำแหน่งเป็น รมว.ยุติธรรม จากพฤติการณ์แห่งคดีเชื่อว่า เหตุลอบสังหารนายชาญชัย มีสาเหตุมาจากเรื่องการเมืองจริง
เห็นว่าจากการคำรับสารภาพของจำเลยทั้ง 6 ในชั้นสอบสวน ประกอบกับคำเบิกความของเจ้าพนักงานตำรวจ มีความเชื่อมโยงสอดคล้องกันเป็นลำดับ ซึ่งพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงถึงการยอมรับที่จะทำงานแล้ว ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 เห็นพ้องด้วย พิพากษายืน และให้คืนกระเป๋าสะพายของกลาง