ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ออกตัวเอี๊ยดล้อฟรี...เลยทีเดียว สำหรับผู้บริหาร “สถานีโทรทัศน์ วอยซ์ ทีวี” ทีวีจานแดงแห่งค่ายเพื่อไทย “นายพานทองแท้ ชินวัตร” ซึ่งออกมาประกาศแน่นหนักถึง “ความเป็นกลาง” ในการทำหน้าที่สื่อ !!
โดยรองผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์วอยซ์ ทีวี ได้โพสต์ในเฟซบุ๊คส่วนตัวในชื่อ Oak Panthongtae Shinawatra เกี่ยวกับกรณีที่พันธมิตรฯ เลือดร้อน “กวีไกร โชคพัฒนเกษมสุข ” บันดาลโทสะทุบรถข่าวของ Voice TV ในขณะที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกำลังดำเนินกิจกรรมทางการเมือง บริเวณลุมพินีสถาน สวนลุมพินี ในช่วงบ่ายของวันที่ 10 มีนาคม 2555 ที่ผ่านมา ในทำนองว่าถ้าเมืองไทยยังเลือกข้างเช่นนี้ คงยากที่จะเกิดความปรองดองสมานฉันท์ พร้อมทั้งโอดครวญขอความเห็นใจว่าวอยซ์ ทีวีถูกทำร้ายทั้งที่นำเสนอข่าวด้วยความเป็นกลาง
“เมื่อได้อ่านความเห็นหลายด้านจา?กข่าวที่ออกมาเกี่ยวกับอดีตการ์?ดเสื้อเหลืองทุบรถผู้สื่อข่าวของ? Voice TV ที่ไปทำข่าวการชุมนุมของพันธมิต?รเมื่อถูกจับกุมกลับโดนด้วยการก?ล่าวหาจากพวกเดียวกันว่าเป็น "เหลืองเทียม"บ้าง "แดงปลอม"บ้าง ทำให้ผมรู้สึกหดหู่ใจและคิดว่าก?ารเมืองไทยหากยังเลือกข้างกันอยู่อย่างไม่ลืมหูลืมตาแบบนี้ ความสามัคคีปรองดรองของคนในชาติ? คงจะเกิดขึ้นได้ยากครับ โดยเฉพาะพฤติกรรม "เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น" เมื่อพวกตัวเองทำผิดแล้วถูกจับไ?ด้ก็ กล่าวหาว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามทันที?อย่างไม่เขินอาย น่าจะหมดไปจากการเมืองยุคนี้แล้?ว แต่กลับยังคงเป็นการเมืองท่าไม้?ตายที่ใช้กันอยู่ทุกวี่วัน คิดแล้วก็ท้อใจครับ นี่ขนาด Voice TV เราเสนอข่าวอย่างเป็นกลางแล้วยั?ง โดนขนาดนี้ จะต้องให้เมืองไทยของเราแตกความ?สามัคคีกันจนล้าหลังเป็นอันดับบ๊วยของอาเซียนก่อนแล้วจึงค่อยหั?นหน้าเข้าหากันหรือเปล่าครับ เฮ้อออ..."
นั่นคือ ข้อความจากเฟซบุ๊คของนายพานทองแท้
ทันทีที่นายพานทองแท้โพสต์ผ่านเฟสบุ๊กโจมตีพันมิตรฯ ว่ามีพฤติกรรม “เอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น” และสื่อที่เขาดูแลนั้นเสนอข่าวเป็นกลาง ไม่เลือกข้าง ไม่สร้างความแตกแยก “นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสื่อในเครือเอเอสทีวีผู้จัดการ ก็ออกมาสวนกลับทันควันว่า จากที่ติดตามการชุมนุมของพันธมิตรฯมาตลอดนั้น ยืนยันได้ว่าพันธมิตรฯ เป็นมวลชนที่ไม่นิยมความรุนแรง กรณีที่วอยซ์ทีวีถูกทุบรถนั้นนับเป็นเรื่องเล็กน้อยหากเทียบกับการคุกคามสื่อในสารพัดรูปแบบที่ ASTV ต้องพบเจอมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา อีกทั้งการเสนอข่าวของวอยซ์ทีวี ภายใต้การกำกับดูแลของนายพานทองแท้นั้นก็ไม่ได้มีความเป็นกลางอย่างที่นายพานทองแท้อวดอ้าง
“วอยซ์ทีวีถ้าเป็นกลางก็ควรจะรายงานให้รอบด้านมากกว่า ส่วนที่นายพานทองแท้ ระบุรู้สึกหดหู่ใจที่วอยซ์ทีวีถูกคุกคามนั้น สิ่งที่วอยซ์ทีวีโดนทุบรถเนี่ย มันเป็นแค่เรื่องขี้เล็บเท่านั้น รถที่คุณโดนทุบมันก็มีประกันอยู่ คุณก็ไปเคลมประกันได้ สื่อที่โดนคุกคามมาตลอดก็คือเอเอสทีวีต่างหาก ถ้าจะเทียบกันแล้ว เราโดนทั้งกระสุน ระเบิด ผู้สื่อข่าวได้รับบาดเจ็บจากการทำข่าว เราโดนคดีความในรอบ 4 - 5 ปีที่ผ่านมากว่า 184 คดี ฉะนั้นวอยซ์ทีวีโดนแค่คนที่ไม่หวังดีเข้ามาทุบรถแล้วมาร้องแร่แห่กระเชอ ผมถือว่าถ้าใจปลาซิวแบบนี้อย่ามาทำสื่อดีกว่า”นายจิตตนาถโต้กลับอย่างเผ็ดร้อน
อย่างไรก็ดี หากใครไม่เคยติดตามการนำเสนอข่าวของสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ และเห็นแต่เพียงข้อความที่นายพานทองแท้โพสต์ผ่านเฟสบุ๊ก ก็คงอดชื่นชมในอุดมการณ์และจิตวิญญาณในการเป็นสื่อมวลชนของนายพานทองแท้ไม่ได้ เพราะแม้เขาจะเป็นหลานชายสุดที่รักของ 'น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' นายกรัฐมนตรี แห่งพรรคเพื่อไทย และเป็นลูกในไส้ของ 'นช.ทักษิณ ชินวัตร' ไอดอลของมวลชนคนเสื้อแดง แต่ก็ยังรู้ถูกรู้ผิด... แยกดีแยกชั่ว ได้ ไม่เสนอข่าวแบบบิดเบือนใส่ไข่ ฟอกดำเป็นขาว ทำถูกเป็นผิด !!
แต่ความจริงมิได้เป็นเช่นนั้น
ยิ่งเมื่อมีโอกาสได้ดูรายการรายการ Wake up Thailand ของวอยซ์ทีวี ซึ่งมี ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล , นายพิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ และ นายชูวัส ฤกษ์ศิริสุข บรรณาธิการเว็บไซต์ประชาไท เป็นผู้ดำเนินรายการ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งได้มีการถกกันในประเด็นที่ทั้งแปลกทั้งแปร่ง คือหัวข้อเรื่อง “ของแพงที่ไหน? ตลาด ห้าง หรือริมถนน” ก็ให้รู้สึกว่าช่างขัดแย้งกับคำพูของผู้บริหารวอยซ์ทีวีที่ชื่อพานทองแท้อย่างสิ้นเชิง
เพราะตลอดทั้งรายการพิธีการทั้ง 3 ท่านต่างประสานเสียงกันการันตีผลงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ว่าช่างดีเลิศประเสริฐศรี และขณะนี้ประเทศไทยก็ไม่ได้มีปัญหาข้าวของแพงอย่างที่ประชาชนพากันก่นด่า พร้อมทั้งแถไถว่าข้อมูลราคาสินค้าที่สื่อต่างๆ นำเสนอไปในทิศทางเดียวกันว่าได้ปรับตัวสูงขึ้นนั้นล้วนเป็นตัวเลขที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง
อย่างเช่นข้อมูลของหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ และบางกอกโพสต์ ที่ระบุว่าราคาข้าวแกงในปีนี้ได้ปรับตัวสูงขึ้นจากปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 20-30 บาท มาเป็น 35-40 บาท ขณะที่ก๋วยเตี๋ยวก็ขึ้นจาก 20-30 บาท เป็น 35-40 บาทนั้น ผู้ดำเนินรายการทั้ง 3 คน แย้งว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากราคาสินค้าดังกล่าวนั้นขัดแย้งกับราคาวัตถุดิบที่ถูกลง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมู ราคาเนื้อไก่ ราคาไข่ไก่ ราคาเนื้อหมู ราคากุ้ง ผักคะน้า กะหล่ำปลี ฯลฯ ทั้งๆที่ราคาสินค้าที่ผู้บริโภคต้องจ่ายในปัจจุบันนั้นก็เป็นไปตามที่หนังสือพิมพ์ดังกล่าวระบุจริงๆ
“ถ้าต้นทุนไม่สูงขึ้นเนี่ย ผู้ประกอบการก็ไม่ควรที่จะไปขึ้นราคาสำหรับผู้บริโภค ยกเว้นเสียว่าถ้าคุณมีเหตุผลจริงๆ แต่ผมมีมุมที่ต่างกว่านั้นอีก คือ ผมคิดว่ามันไม่ได้แพงขึ้นเลยไง คือ ผมคิดว่า ข้าวแกง ผัก จากปีที่แล้วถึงปีนี้ ไม่ได้แพงขึ้นฮะ ผมก็กินอยู่ ผมว่ามันไม่ได้แพงขึ้น ก๋วยเตี๋ยวก็ไม่ได้แพงขึ้น เพราะฉะนั้นกลับไปยุ่งเรื่องอุดมการณ์ต่อดีกว่าฮะ เรื่อง 112 รัฐธรรมนูญ นั่นแหละเรื่องสำคัญ เพราะข้าวไม่ได้แพง ” ม.ล.ณัฏฐกรณ์โชว์ความเป็นกลางในดวงใจของคนเสื้อแดงออกมาอย่างหมดเปลือก แถมยังด้านหน้าไปสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือมาตรา 112 ที่ย่ำยีหัวใจคนไทยทั้งชาติอีกต่างหาก
ขณะที่ นายชูวัส ก็กล่าวสนับสนุนว่า “ ผมเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าของแพงขึ้นเช่นกัน แต่คนรอบข้างกลับบ่นว่าของแพงขึ้น ดังนั้น ผมจึงฟันธงว่า การจุดกระแสเรื่องของแพงขึ้นมานี้เป็นเรื่องการเมือง มิใช่เป็นความเดือดร้อนของประชาชนจริงๆ”
ดูไปแล้วก็ช่างน่าขัน ไม่รู้ว่า มาตรา 112 กับเรื่องข้าวของแพงมันเกี่ยวกันยังไง ความเดือดร้อนจากปัญหาข้าวของแพงที่รัฐบาลควรเร่งแก้ไขก็กลับกลายเป็นเรื่องการเมืองที่ 'ถูกกุ' ขึ้นมา
ที่ซังกะบ๊วยหนักที่สุดกว่าใครเพื่อนเห็นจะหนีไม่พ้นผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยชื่อ “นายพิชญ์ พงษ์สวัสดิ์” ที่เชื่อมโยงตรรกะมั่วซั่วจนหลายคนตั้งคำถามว่า นี่หรือคืออาจารย์มหาวิทยาลัย
“ข้าวแกง จากน้ำมันดีเซลขึ้นไปลิตรละ 3 บาท มันทำให้ข้าวแกงขึ้นไปตั้ง 5 บาท ถึง 10 บาท ได้ยังไง คุณเอาน้ำมันใส่ลงไปในข้าวแกงหรือไง?” นายพิชญ์ พูดพลางหัวเราะหึๆ
ทั้งนี้ ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างก็เห็นตรงกันว่าการจะนำเสนอข่าวในลักษณะที่แถไถบิดเบือนมั่วนิ่มเช่นนี้ได้คงเป็นเพราะเหล่าพิธีกรระดับปัญญาชนทั้ง 3 คนนั้นคงหลงลืมไปว่าประชาชนคนไทยไม่ได้หูหนวกบอดใบ้กระทั่งไม่รู้เหนือรู้ใต้ ไม่รู้แม้กระทั่งความเป็นไปของราคาสินค้าที่เขาต้องกินต้องใช้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จะปั้นข้อมูลมายัดเยียดให้อย่างไรก็ได้ เพราะประชาชนคนไทยนั้นสมองไม่มีรอยหยัก ??
ที่สำคัญหากนายพานทองแท้ซึ่งเป็นผู้บริหารสถานีวอยซ์ ทีวีไม่ได้คิดจะใช้สื่อสีแดงแห่งนี้บิดเบือนข้อมูลกลบปัญหาความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารงานของรัฐบาลเพื่อไทย ภายใต้การนำของ นายกฯยิ่งลักษณ์แล้วล่ะก็ เหตุไฉนจึงยอมให้มีข่าวที่โกหกบิดเบือนออกมาสู่สายตาประชาชนได้มากมายขนาดนี้
นี่คงเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่า ปรัชญาในการทำหน้าที่ของวอยซ์ทีวีนั้น หาได้เป็นไปดังสโลแกนที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของสถานีประดิดประดอยขึ้นอย่างสวยหรูว่า “ Voice TV : Voice of the New Generation”
หรือ “วอยซ์ทีวี : ทีวีเพื่อคนรุ่นใหม่” หากแต่เป็น “วอยซ์ทีวี : ทีวีเพื่อพรรคเพื่อไทย” !!