นางจินตนา กิ่งแก้ว รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SPG เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ารายได้และ กำไรสุทธิ ในไตรมาส1/55 ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจาก ราคาขายแก๊สที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 1,036 พันเเหรียญต่อตัน จากไตรมาส1/54 860 เหรียญต่อตัน ซึ่งบริษัทได้ประโยชน์ดังกล่าวจากมีกำไรจากสต๊อกแก๊สที่มีการซื้อเก็บไว้ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา และปริมาณยอดขายแก๊สที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นซึ่งไตรมาส1/55 มียอดขายอยู่ที่ 1.5 แสนตัน
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าราคาเฉลี่ยก๊าสปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 1,000 เหรียญต่อตัน ทำให้กำไรสุทธิปีนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นสูงจากราคาแก๊สที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทปรับตัวสสูงกว่าปีก่อนที่มี 4% โดยบริษัทจะมียอดขายแก๊สปีนี้โตเพิ่มขึ้นประมาณ 28% จาก 1.85 ล้านตัน เป็น 2.4ล้านตัน แบ่งเป็นขายในประเทศ 1.3 ล้านตัน คิดเป็น 55% ของยอดขายรวม จากปีก่อนที่ 64% ขายต่างประเทศ 1.1ล้านตัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 45% จากปีก่อนที่ 36%
" ปีนี้ราคาขายแก๊สช่วงเดือน ม.ค.ไ ด้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1.1 เหรียญต่อตัน เดือนก.พ.ปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ 1.2 พันเหรียญต่อตัน เดือนมี.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1.25 เหรียญต่อตัน จากปัจจัยเรื่องอิหร่าน ทำให้เฉลี่ยในไตรมาสนี้อยู่ที่ 1.03 เหรียญต่อตัน ทำให้บริษัทมีกำไรจากสต๊อกน้ำมันจำนวนมากจากสิ้นปี54 ที่มีสต๊อกน้ำมันอยู่ 1 แสนตัน ซึ่งทำให้กำไรสุทธิปีนี้ของเราจะสูงมากเมื่อเทียบกับปีก่อน " นางจินตนา กล่าว
สำหรับ ปีนี้บริษัทมีแผนใช้งบลงทุน 1.5 พันล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนส่วนต่อขยายคลังเก็บแก๊สที่สุขสวัสดิ์ และลงทุนในการขยายสถานีให้บริการแก๊สแอลพีจีเพิ่ม 10 สาขา ซึ่งใช้เงินลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท จากปัจจุบันที่บริษัทมีสถานีให้บริการแก๊สแอลพีจี 32-33 แห่ง ทำให้สิ้นปีนี้บริษัทจะมีสถานีบริการกว่า 40 แห่ง
นางจินตนา กล่าวว่า บริษัทมีแผนที่จะทยอยขายหุ้นที่ซื้อคืน 31 ล้านหุ้น ช่วงไตรมาส2 ปี 55 นี้ ซึ่งขึ้นอยู่กับราคาหุ้น โดยหากบริษัทขายหุ้นออกมาช่วงนี้ที่ 16 บาทต่อหุ้น จะทำให้บริษัทมีกำไรจากการขายหุ้นซื้อคืนประมาณ 500-600 ล้านบาท ขณะที่บริษัทมีต้นทุนในการซื้อหุ้นคืนมาอยู่ที่ 8.70 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าจะเป็นผู้จำหนายแก๊สLPGอันดับ 1 ในประเทศไทย หากมีการลอยตัวแก๊สในปี 58 อันเป็นผลจากเปิดเสรีประชาคมอาเซียน ในปี 58 เนื่องจาก บริษัทมีความพร้อมในเรื่องมีการซื้อแก๊สโดยตรงกับผู้จำหน่ายทำให้มีต้นทุนที่ถูกว่า และบริษัทมีคลังแก๊ส 7-8 แห่ง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้สามารถจัดจำหน่ายไปต่างประเทศในแถบเอเซีย และครอบคลุมภายใสนประเทศ และ บริษัทยังมีกองเรือของตนเองถึง 20 ลำ มีกองรถส่งส่งถึง 50 คัน และ มีซึ่งทำให้มีต้นทุนที่ต่ำในการขนส่งที่ต่ำ และ บริษัทมีโรงบรรจุแก๊ส 37 โรง
นอกจากนี้บริษัทมีแผนที่จะซื้อแหล่งก๊าซLPGเพื่อให้บริษัทสามารถทำธุรกิจได้ครบวงจรโดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาโดยหากบริษัทจะเข้าไปซื้อ ในลักษณะการเข้าไปร่วมทุนกับผู้ที่เป็นเจ้าของแหล่งก๊าซ โดยหากบริษัทจะมีการเข้าไปลงทุนดังกล่าว บริษัทจะมีการเพิ่มทุนจดทะเบียน เพราะ ปัจจุบันที่บริษัทมี D/E อยู่ในระดับที่สูงแล้ว
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าราคาเฉลี่ยก๊าสปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 1,000 เหรียญต่อตัน ทำให้กำไรสุทธิปีนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นสูงจากราคาแก๊สที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทปรับตัวสสูงกว่าปีก่อนที่มี 4% โดยบริษัทจะมียอดขายแก๊สปีนี้โตเพิ่มขึ้นประมาณ 28% จาก 1.85 ล้านตัน เป็น 2.4ล้านตัน แบ่งเป็นขายในประเทศ 1.3 ล้านตัน คิดเป็น 55% ของยอดขายรวม จากปีก่อนที่ 64% ขายต่างประเทศ 1.1ล้านตัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 45% จากปีก่อนที่ 36%
" ปีนี้ราคาขายแก๊สช่วงเดือน ม.ค.ไ ด้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1.1 เหรียญต่อตัน เดือนก.พ.ปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ 1.2 พันเหรียญต่อตัน เดือนมี.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1.25 เหรียญต่อตัน จากปัจจัยเรื่องอิหร่าน ทำให้เฉลี่ยในไตรมาสนี้อยู่ที่ 1.03 เหรียญต่อตัน ทำให้บริษัทมีกำไรจากสต๊อกน้ำมันจำนวนมากจากสิ้นปี54 ที่มีสต๊อกน้ำมันอยู่ 1 แสนตัน ซึ่งทำให้กำไรสุทธิปีนี้ของเราจะสูงมากเมื่อเทียบกับปีก่อน " นางจินตนา กล่าว
สำหรับ ปีนี้บริษัทมีแผนใช้งบลงทุน 1.5 พันล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนส่วนต่อขยายคลังเก็บแก๊สที่สุขสวัสดิ์ และลงทุนในการขยายสถานีให้บริการแก๊สแอลพีจีเพิ่ม 10 สาขา ซึ่งใช้เงินลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท จากปัจจุบันที่บริษัทมีสถานีให้บริการแก๊สแอลพีจี 32-33 แห่ง ทำให้สิ้นปีนี้บริษัทจะมีสถานีบริการกว่า 40 แห่ง
นางจินตนา กล่าวว่า บริษัทมีแผนที่จะทยอยขายหุ้นที่ซื้อคืน 31 ล้านหุ้น ช่วงไตรมาส2 ปี 55 นี้ ซึ่งขึ้นอยู่กับราคาหุ้น โดยหากบริษัทขายหุ้นออกมาช่วงนี้ที่ 16 บาทต่อหุ้น จะทำให้บริษัทมีกำไรจากการขายหุ้นซื้อคืนประมาณ 500-600 ล้านบาท ขณะที่บริษัทมีต้นทุนในการซื้อหุ้นคืนมาอยู่ที่ 8.70 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าจะเป็นผู้จำหนายแก๊สLPGอันดับ 1 ในประเทศไทย หากมีการลอยตัวแก๊สในปี 58 อันเป็นผลจากเปิดเสรีประชาคมอาเซียน ในปี 58 เนื่องจาก บริษัทมีความพร้อมในเรื่องมีการซื้อแก๊สโดยตรงกับผู้จำหน่ายทำให้มีต้นทุนที่ถูกว่า และบริษัทมีคลังแก๊ส 7-8 แห่ง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้สามารถจัดจำหน่ายไปต่างประเทศในแถบเอเซีย และครอบคลุมภายใสนประเทศ และ บริษัทยังมีกองเรือของตนเองถึง 20 ลำ มีกองรถส่งส่งถึง 50 คัน และ มีซึ่งทำให้มีต้นทุนที่ต่ำในการขนส่งที่ต่ำ และ บริษัทมีโรงบรรจุแก๊ส 37 โรง
นอกจากนี้บริษัทมีแผนที่จะซื้อแหล่งก๊าซLPGเพื่อให้บริษัทสามารถทำธุรกิจได้ครบวงจรโดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาโดยหากบริษัทจะเข้าไปซื้อ ในลักษณะการเข้าไปร่วมทุนกับผู้ที่เป็นเจ้าของแหล่งก๊าซ โดยหากบริษัทจะมีการเข้าไปลงทุนดังกล่าว บริษัทจะมีการเพิ่มทุนจดทะเบียน เพราะ ปัจจุบันที่บริษัทมี D/E อยู่ในระดับที่สูงแล้ว