ASTVผู้จัดการรายวัน/บลูมเบิร์ก - "นช.แม้ว" โผล่ให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลี แย้มหวังได้กลับประเทศไทยปีนี้ พร้อมยืนยันรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" สัมพันธ์กับทหารดีไม่ถูกรัฐประหาร อ้างประชาชนกว่า 66 ล้านคนหนุนแก้ไขรัฐธรรมนูญ ด้าน "เทพไท"จวก "แม้ว" โกหกอ้าง 66 ล้านเสียงหนุนแก้รัฐธรรมนูญ ชี้พฤติกรรมเข้าข่ายเดินสายประจานความล้มเหลวรัฐบาล "น้องปู"
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีผู้เนรเทศตัวเองไปอยู่นครดูไบ ได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวบลูมเบิร์กในกรุงโซล ว่า ชะตากรรมของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะไม่ลงเอยด้วยการถูกรัฐประหารเหมือนรัฐบาลไทยรักไทยในปี 2006 เนื่องจากน้องสาวคนนี้มีความสัมพันธ์อันดีกับทหาร ทั้งนี้ ทักษิณยังเปรยอีกว่า หวังจะได้กลับประเทศไทยในปีนี้
“ตราบเท่าที่ไม่มีประเด็นเกี่ยวกับสถาบัน ตราบเท่าที่ไม่มีประเด็นเรื่องความมั่นคงภายใน ทหารก็จะยังอยู่ในกรมกอง” ทักษิณ กล่าวในการให้สัมภาษณ์ วานนี้ (6) “น้องสาวของผมทำงานหนักก็เพื่อประชาชน เธอเทิดทูนสถาบันสูงสุด และสามารถทำงานร่วมกับทหารโดยไม่มีปัญหา”
ขณะนี้ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังเดินหน้าฟื้นฟูความเชื่อมั่นในญี่ปุ่น หลังจากเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ จมโรงงานอุตสาหกรรมหลายพันโรง และก่อความเสียหายมูลค่ามหาศาลเมื่อปีที่แล้ว กระทั่งเศรษฐกิจไทยหดตัวเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2009 บลูมเบิร์กรายงาน
สำหรับประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2550 นั้น พ.ต.ท.ทักษิณ อ้างว่า จะทำให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น และ “เสียงเกือบส่วนใหญ่” ของคนไทย 66 ล้านคน ให้การสนับสนุน พร้อมกันนี้อดีตนายกฯ ยังเรียกร้องให้นำทุนสำรองระหว่างประเทศออกมาใช้หนุนการลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ส่วนเรื่องการประท้วงเช่นในปี 2010 ซึ่งแฝงไปด้วยความรุนแรงและมีเหยื่อเสียชีวิตจำนวนมาก ทักษิณอ้างว่า “ประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำรอย” และประเทศไทย “จะเดินหน้าสู่ความปรองดอง” อย่างเร็วที่สุดภายในปีนี้
บลูมเบิร์กเล่าถึงความเป็นมาของพ.ต.ท.ทักษิณ นายใหญ่พรรคเพื่อไทยว่า เป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยจากสัมปทานสัญญาณโทรศัพท์มือถือในปี 1990 เมื่อเข้าสู่เวทีการเมือง ทักษิณสัญญากับคนยากจนในภาคอีสานว่าจะให้สิทธิรักษาพยาบาลราคาถูกจาก “นโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรค” และเงินกู้รายย่อยจาก “นโยบายกองทุนหมู่บ้าน” ทำให้พรรคไทยรักไทยได้เป็นแกนนำรัฐบาลในปี 2001
เมื่อนักข่าวบลูมเบิร์กถามว่าเขาจะยอมรับโทษในเรือนจำ เพื่อช่วยให้สถานการณ์บ้านเมืองสงบหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบเพียงว่า “ผมไม่ได้ทำอะไรผิด”
ด้านผลงานของน้องสาวยิ่งลักษณ์ ทักษิณชื่นชมนายกฯ หญิงคนนี้ว่า “น้ำท่วมอาจเป็นอุปสรรคขัดขวางผลงานบ้างเล็กน้อย แต่ตอนนี้ ผมคิดว่าเธอทำหน้าที่ได้ดีมาก ดีกว่าที่ผมคาดไว้เสียอีก” และยิ่งลักษณ์ “จะเริ่มทำตามนโยบายที่สัญญาไว้ และเศรษฐกิจจะเติบโตขึ้นเป็นลำดับ”
ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ถูกพ.ต.ท.ทักษิณ วิจารณ์ให้สื่อนอกฟังว่า ผู้วางนโยบานคงกังวลเกี่ยวกับปัญหาเงินเฟ้อมากเกินไป ซึ่งควรคงดอกเบี้ยให้ต่ำ เพื่อกระตุ้นการเติบโต ทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยก็สูงถึง 181,000 ล้านดอลลาร์ โดยไม่จำเป็น ควรนำมาลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
พร้อมกันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังยกให้ตนเองเป็น “สารานุกรม” ที่น้องสาว “สามารถเปิดอ่านได้ทุกเมื่อ” และสำทับกับบลูมเบิร์กว่า เขาไม่มีความทะเยอทะยานจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี และจะขอทำหน้าที่ “ที่ปรึกษา” ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ หากได้กลับประเทศไทย
*** จวก"แม้ว"โกหกอ้าง 66 ล้านเสียงหนุนแก้รธน.
ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไปประชุมภาวะผู้นำเอเชีย ที่ประเทศเกาหลี ว่า การเดินสายพบปะผู้นำประเทศต่างๆของพ.ต.ท.ทักษิณ นั้นถือว่าเป็นการประจานความล้มเหลวของรัฐไทย ที่ปล่อยให้นักโทษหนีคดีของประเทศ ออกปรากฏตัวในประเทศต่างๆ โดยรัฐบาลมิได้เข้าไปติดตามหรือบังคับใช้กฎหมายของประเทศ ถึงแม้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะอยู่ในฐานะพี่ชายของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ตาม แต่ต้องแยกให้ออกระหว่างความเป็นเครือญาติ กับหลักนิติรัฐของประเทศ ถ้าหากว่ารัฐบาลแสดงท่าทีในลักษณะเลือกปฏิบัติให้ประชาคมโลกเห็น ก็จะทำให้ประเทศไทยขาดความน่าเชื่อถือในสายตาของชาวโลก
"ถ้ารัฐบาลชุดนี้ต้องการรักษาหน้าตาเกียรติยศและศักดิ์ศรีของประเทศชาติ ก็ควรส่งสัญญาณให้ พ.ต.ท.ทักษิณ หยุดเคลื่อนไหวทางการเมืองใด ๆ เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของชาติบ้านเมือง แต่ถ้าหากว่ารัฐบาลชุดนี้ยอมรับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คือนายกฯ ตัวจริง ก็เป็นสิ่งที่รัฐบาลจะต้องตอบคำถามกับสังคมให้ได้" นายเทพไท กล่าว
นายเทพไท กล่าวว่า การเดินทางไปประเทศเกาหลีของพ.ต.ท.ทักษิณ ครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าพ.ต.ท.ทักษิณ พยายามที่จะนำการเมืองภายในประเทศออกสู่ภายนอก โดยเฉพาะการพูดถึงประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยบิดเบือนข้อเท็จจริง กล่าวอ้างว่าคนไทย 66 ล้านคน เห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญในครั้งนี้ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามบิดเบือนเจตนารมณ์ 14 ล้านเสียง ที่เป็นประชามติ ยอมรับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แม้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะเปลี่ยนแปลงไป อย่างไรก็ตามก็เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ยังไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวอ้าง อย่างน้อยที่สุด แม้ว่าจะไม่มีการกระทำประชามติก็ตาม แต่ผลโพล เห็นได้ชัดว่าคน 58 เปอร์เซ็นต์ ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้
"เพราะฉะนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ควรหยุดเคลื่อนไหวทางการเมือง หยุดบิดเบือนข้อเท็จจริง หยุดใช้กระแสสังคมโลกล้อมประเทศได้แล้ว ควรปล่อยให้การเมืองในประเทศเป็นเรื่องของคนไทยในประเทศกันเองจะดีกว่า" นายเทพไท กล่าว
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีผู้เนรเทศตัวเองไปอยู่นครดูไบ ได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวบลูมเบิร์กในกรุงโซล ว่า ชะตากรรมของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะไม่ลงเอยด้วยการถูกรัฐประหารเหมือนรัฐบาลไทยรักไทยในปี 2006 เนื่องจากน้องสาวคนนี้มีความสัมพันธ์อันดีกับทหาร ทั้งนี้ ทักษิณยังเปรยอีกว่า หวังจะได้กลับประเทศไทยในปีนี้
“ตราบเท่าที่ไม่มีประเด็นเกี่ยวกับสถาบัน ตราบเท่าที่ไม่มีประเด็นเรื่องความมั่นคงภายใน ทหารก็จะยังอยู่ในกรมกอง” ทักษิณ กล่าวในการให้สัมภาษณ์ วานนี้ (6) “น้องสาวของผมทำงานหนักก็เพื่อประชาชน เธอเทิดทูนสถาบันสูงสุด และสามารถทำงานร่วมกับทหารโดยไม่มีปัญหา”
ขณะนี้ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังเดินหน้าฟื้นฟูความเชื่อมั่นในญี่ปุ่น หลังจากเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ จมโรงงานอุตสาหกรรมหลายพันโรง และก่อความเสียหายมูลค่ามหาศาลเมื่อปีที่แล้ว กระทั่งเศรษฐกิจไทยหดตัวเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2009 บลูมเบิร์กรายงาน
สำหรับประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2550 นั้น พ.ต.ท.ทักษิณ อ้างว่า จะทำให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น และ “เสียงเกือบส่วนใหญ่” ของคนไทย 66 ล้านคน ให้การสนับสนุน พร้อมกันนี้อดีตนายกฯ ยังเรียกร้องให้นำทุนสำรองระหว่างประเทศออกมาใช้หนุนการลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ส่วนเรื่องการประท้วงเช่นในปี 2010 ซึ่งแฝงไปด้วยความรุนแรงและมีเหยื่อเสียชีวิตจำนวนมาก ทักษิณอ้างว่า “ประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำรอย” และประเทศไทย “จะเดินหน้าสู่ความปรองดอง” อย่างเร็วที่สุดภายในปีนี้
บลูมเบิร์กเล่าถึงความเป็นมาของพ.ต.ท.ทักษิณ นายใหญ่พรรคเพื่อไทยว่า เป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยจากสัมปทานสัญญาณโทรศัพท์มือถือในปี 1990 เมื่อเข้าสู่เวทีการเมือง ทักษิณสัญญากับคนยากจนในภาคอีสานว่าจะให้สิทธิรักษาพยาบาลราคาถูกจาก “นโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรค” และเงินกู้รายย่อยจาก “นโยบายกองทุนหมู่บ้าน” ทำให้พรรคไทยรักไทยได้เป็นแกนนำรัฐบาลในปี 2001
เมื่อนักข่าวบลูมเบิร์กถามว่าเขาจะยอมรับโทษในเรือนจำ เพื่อช่วยให้สถานการณ์บ้านเมืองสงบหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบเพียงว่า “ผมไม่ได้ทำอะไรผิด”
ด้านผลงานของน้องสาวยิ่งลักษณ์ ทักษิณชื่นชมนายกฯ หญิงคนนี้ว่า “น้ำท่วมอาจเป็นอุปสรรคขัดขวางผลงานบ้างเล็กน้อย แต่ตอนนี้ ผมคิดว่าเธอทำหน้าที่ได้ดีมาก ดีกว่าที่ผมคาดไว้เสียอีก” และยิ่งลักษณ์ “จะเริ่มทำตามนโยบายที่สัญญาไว้ และเศรษฐกิจจะเติบโตขึ้นเป็นลำดับ”
ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ถูกพ.ต.ท.ทักษิณ วิจารณ์ให้สื่อนอกฟังว่า ผู้วางนโยบานคงกังวลเกี่ยวกับปัญหาเงินเฟ้อมากเกินไป ซึ่งควรคงดอกเบี้ยให้ต่ำ เพื่อกระตุ้นการเติบโต ทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยก็สูงถึง 181,000 ล้านดอลลาร์ โดยไม่จำเป็น ควรนำมาลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
พร้อมกันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังยกให้ตนเองเป็น “สารานุกรม” ที่น้องสาว “สามารถเปิดอ่านได้ทุกเมื่อ” และสำทับกับบลูมเบิร์กว่า เขาไม่มีความทะเยอทะยานจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี และจะขอทำหน้าที่ “ที่ปรึกษา” ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ หากได้กลับประเทศไทย
*** จวก"แม้ว"โกหกอ้าง 66 ล้านเสียงหนุนแก้รธน.
ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไปประชุมภาวะผู้นำเอเชีย ที่ประเทศเกาหลี ว่า การเดินสายพบปะผู้นำประเทศต่างๆของพ.ต.ท.ทักษิณ นั้นถือว่าเป็นการประจานความล้มเหลวของรัฐไทย ที่ปล่อยให้นักโทษหนีคดีของประเทศ ออกปรากฏตัวในประเทศต่างๆ โดยรัฐบาลมิได้เข้าไปติดตามหรือบังคับใช้กฎหมายของประเทศ ถึงแม้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะอยู่ในฐานะพี่ชายของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ตาม แต่ต้องแยกให้ออกระหว่างความเป็นเครือญาติ กับหลักนิติรัฐของประเทศ ถ้าหากว่ารัฐบาลแสดงท่าทีในลักษณะเลือกปฏิบัติให้ประชาคมโลกเห็น ก็จะทำให้ประเทศไทยขาดความน่าเชื่อถือในสายตาของชาวโลก
"ถ้ารัฐบาลชุดนี้ต้องการรักษาหน้าตาเกียรติยศและศักดิ์ศรีของประเทศชาติ ก็ควรส่งสัญญาณให้ พ.ต.ท.ทักษิณ หยุดเคลื่อนไหวทางการเมืองใด ๆ เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของชาติบ้านเมือง แต่ถ้าหากว่ารัฐบาลชุดนี้ยอมรับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คือนายกฯ ตัวจริง ก็เป็นสิ่งที่รัฐบาลจะต้องตอบคำถามกับสังคมให้ได้" นายเทพไท กล่าว
นายเทพไท กล่าวว่า การเดินทางไปประเทศเกาหลีของพ.ต.ท.ทักษิณ ครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าพ.ต.ท.ทักษิณ พยายามที่จะนำการเมืองภายในประเทศออกสู่ภายนอก โดยเฉพาะการพูดถึงประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยบิดเบือนข้อเท็จจริง กล่าวอ้างว่าคนไทย 66 ล้านคน เห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญในครั้งนี้ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามบิดเบือนเจตนารมณ์ 14 ล้านเสียง ที่เป็นประชามติ ยอมรับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แม้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะเปลี่ยนแปลงไป อย่างไรก็ตามก็เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ยังไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวอ้าง อย่างน้อยที่สุด แม้ว่าจะไม่มีการกระทำประชามติก็ตาม แต่ผลโพล เห็นได้ชัดว่าคน 58 เปอร์เซ็นต์ ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้
"เพราะฉะนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ควรหยุดเคลื่อนไหวทางการเมือง หยุดบิดเบือนข้อเท็จจริง หยุดใช้กระแสสังคมโลกล้อมประเทศได้แล้ว ควรปล่อยให้การเมืองในประเทศเป็นเรื่องของคนไทยในประเทศกันเองจะดีกว่า" นายเทพไท กล่าว