00 แม้นาทีนี้ยังไม่อาจพิสูจน์ได้เห็นภาพชัดเจนว่าจะมีกลุ่มต่อต้านการรื้อ รธน.เพื่อล้างผิดให้กับ ทักษิณ ชินวัตร เป็นจำนวนเท่าใดกันแน่ เพราะยังเป็นช่วงเริ่มต้น ยังรอดูท่าทีกันอยู่ โดยเฉพาะพวกกลุ่มมวลชนที่เพียงแค่ขยับเคลื่อนไหวแสดงท่าทีกันออกมาเท่านั้น แต่ที่น่าสนใจก็คือการออกตัวของกลุ่มองค์กรมาตรฐาน อย่างถี่ยิบ ตั้งแต่ผู้ตรวจการแผ่นดินที่ตั้งคณะที่ปรึกษาติดตามการแก้ไข รธน.ที่มี นรนิติ เศรษฐบุตร เป็นประธาน กรรมการ เช่น วิษณุ เครืองาม บวรศักดิ์ อุวรรณโณ สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ เป็นต้น ล้วนแล้วแต่เป็น “กูรู” ด้านกม.และรัฐศาสตร์ เกี่ยวข้องกับการร่างกฎหมายสำคัญมาแล้วทั้งสิ้น
00 ขณะที่กลุ่มศาล ก็มีการตั้งทีมศึกษาการแก้ไขขึ้นมาในลักษณะเดียวกัน นอกเหนือจากมีการแถลงตอบโต้เพื่อสกัดการรุกคืบของฝ่ายทักษิณ ชินวัตร พรรคเพื่อไทย และรัฐบาล ที่เป็นพวกเดียวกันที่เหิมเกริมถึงขั้นเสนอยุบศาลที่เป็นองค์กรตามรธน.เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง ศาลฎีกาฯแผนกคดีอาญาฯ รวมทั้งปปช. เป็นต้น ความเคลื่อนไหวดังกล่าวอย่างน้อยก็เป็นการ “คัดท้าย” ไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง ไม่ให้พวก ส.ส.ร.ลูกน้องนักการเมืองอ้างเสียงข้างมากเข้ามาปู้ยี่ปู้ยำตามอำเภอใจ ล่าสุดยังมีกลุ่ม ส.ส.ร.50 ออกมาร่วมเคลื่อนไหวคัดค้านและปกป้อง รธน.ฉบับปัจจุบันที่ร่างมากับมืออีก ดูแล้วมันก็น่าหนักใจเอาการเหมือนกับสำหรับ “เครือข่ายแม้ว” เมื่อเทียบกับ มือกม.ระดับ เยสโนโอเค อย่าง “ดร.หน้าแดง” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่เป็นหัวหมู่ทะลวงฟันอยู่ในเวลานี้ เห็นแค่นี้ก็สรุปได้แล้วว่าใครน่าเชื่อถือกว่ากัน
00 สำหรับ ทักษิณ ชินวัตร ส่งสัญญาณชัดข้ามประเทศออกมาเป็นครั้งแรก เพื่อเป็นธงนำให้บรรดาลิ่วล้อได้เดินตามนั่นคือ “ต้องรื้อ” ศาล-องค์กรอิสระ แน่นอน เพราะนี่คือหนามตำใจมานานกว่า 5 ปี ถูกตัดสิทธิ์ ถูกยึดทรัพย์ และถูกจำคุก แต่มันก็โทษใครไม่ได้ เพราะใครทำชั่วก็ต้องรับกรรม ทำผิดก็ต้องรับโทษ นี่คือความจริง ทุกอย่าง “เป็นไปตามกรรม” อย่าไปฝืนให้วุ่นวายเลย ที่สำคัญระวังจะไม่มีแผ่นดินอยู่ทั้งพี่ทั้งน้องก็ได้ แต่ที่น่าสังเกตก็คือคราวนี้พยายามผ่อนแรงต้านด้วยการไม่แตะสถาบันพระมหากษัตริย์และกองทัพชั่วคราว เพราะรู้ดีว่าถ้ายังขืนดันทุรังก็ “พังแน่” จึงต้องเบรกเอาไว้ก่อน
00 การแข่งกันเยือนญี่ปุ่นระหว่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ชิงตัดหน้าเดินทางไปก่อนราวหนึ่งสัปดาห์อ้างว่าเพื่อไปชี้แจงนักลงทุน ฟื้นฟูความเชื่อมั่นไม่ให้ย้ายฐานการผลิต และกลับมาลงทุนในประเทศไทยเพิ่ม จากนั้นก็ถึงคราวที่ นายกฯปูนิ่ม จะมีคิวไปเยือนแดนปลาดิบกันบ้าง เป้าหมายก็เป็นแบบเดียวกันคือ เรียกความเชื่อมั่น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำได้แค่ไหน แต่เชื่อว่าคราวนี้ถ้า “อ่านสคริปต์” ได้คล่องก็ไม่น่ามีปัญหา เพราะต่างก็ใช้ภาษาถิ่นของตัวเองด้วยกันทั้งคู่ สามารถ “ใช้ล่าม” กันอย่างเต็มที่ คงไม่ถึงกับหายใจไม่ทั่วท้องเหมือนกับเวลาไปเยือนต่างประเทศอื่นๆก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังกังวลอยู่ดีตอนตอบคำถามสดนี่สิ ถ้าเป็นไปได้ก็ให้เลี่ยงเถอะ ได้โปรดเถอะ อ้อเกือบลืมไปการไปญี่ปุ่นของ หนุ่มมาร์ค ไม่ว่ามองในมุมไหนมันก็เหมือนเป็น “เกมการเมือง” ของปชป.ที่ต้องการเปรียบเทียบให้เห็นว่า “ใครเจ๋งกว่ากัน” เฮ้อ !!
00 ขณะที่กลุ่มศาล ก็มีการตั้งทีมศึกษาการแก้ไขขึ้นมาในลักษณะเดียวกัน นอกเหนือจากมีการแถลงตอบโต้เพื่อสกัดการรุกคืบของฝ่ายทักษิณ ชินวัตร พรรคเพื่อไทย และรัฐบาล ที่เป็นพวกเดียวกันที่เหิมเกริมถึงขั้นเสนอยุบศาลที่เป็นองค์กรตามรธน.เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง ศาลฎีกาฯแผนกคดีอาญาฯ รวมทั้งปปช. เป็นต้น ความเคลื่อนไหวดังกล่าวอย่างน้อยก็เป็นการ “คัดท้าย” ไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง ไม่ให้พวก ส.ส.ร.ลูกน้องนักการเมืองอ้างเสียงข้างมากเข้ามาปู้ยี่ปู้ยำตามอำเภอใจ ล่าสุดยังมีกลุ่ม ส.ส.ร.50 ออกมาร่วมเคลื่อนไหวคัดค้านและปกป้อง รธน.ฉบับปัจจุบันที่ร่างมากับมืออีก ดูแล้วมันก็น่าหนักใจเอาการเหมือนกับสำหรับ “เครือข่ายแม้ว” เมื่อเทียบกับ มือกม.ระดับ เยสโนโอเค อย่าง “ดร.หน้าแดง” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่เป็นหัวหมู่ทะลวงฟันอยู่ในเวลานี้ เห็นแค่นี้ก็สรุปได้แล้วว่าใครน่าเชื่อถือกว่ากัน
00 สำหรับ ทักษิณ ชินวัตร ส่งสัญญาณชัดข้ามประเทศออกมาเป็นครั้งแรก เพื่อเป็นธงนำให้บรรดาลิ่วล้อได้เดินตามนั่นคือ “ต้องรื้อ” ศาล-องค์กรอิสระ แน่นอน เพราะนี่คือหนามตำใจมานานกว่า 5 ปี ถูกตัดสิทธิ์ ถูกยึดทรัพย์ และถูกจำคุก แต่มันก็โทษใครไม่ได้ เพราะใครทำชั่วก็ต้องรับกรรม ทำผิดก็ต้องรับโทษ นี่คือความจริง ทุกอย่าง “เป็นไปตามกรรม” อย่าไปฝืนให้วุ่นวายเลย ที่สำคัญระวังจะไม่มีแผ่นดินอยู่ทั้งพี่ทั้งน้องก็ได้ แต่ที่น่าสังเกตก็คือคราวนี้พยายามผ่อนแรงต้านด้วยการไม่แตะสถาบันพระมหากษัตริย์และกองทัพชั่วคราว เพราะรู้ดีว่าถ้ายังขืนดันทุรังก็ “พังแน่” จึงต้องเบรกเอาไว้ก่อน
00 การแข่งกันเยือนญี่ปุ่นระหว่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ชิงตัดหน้าเดินทางไปก่อนราวหนึ่งสัปดาห์อ้างว่าเพื่อไปชี้แจงนักลงทุน ฟื้นฟูความเชื่อมั่นไม่ให้ย้ายฐานการผลิต และกลับมาลงทุนในประเทศไทยเพิ่ม จากนั้นก็ถึงคราวที่ นายกฯปูนิ่ม จะมีคิวไปเยือนแดนปลาดิบกันบ้าง เป้าหมายก็เป็นแบบเดียวกันคือ เรียกความเชื่อมั่น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำได้แค่ไหน แต่เชื่อว่าคราวนี้ถ้า “อ่านสคริปต์” ได้คล่องก็ไม่น่ามีปัญหา เพราะต่างก็ใช้ภาษาถิ่นของตัวเองด้วยกันทั้งคู่ สามารถ “ใช้ล่าม” กันอย่างเต็มที่ คงไม่ถึงกับหายใจไม่ทั่วท้องเหมือนกับเวลาไปเยือนต่างประเทศอื่นๆก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังกังวลอยู่ดีตอนตอบคำถามสดนี่สิ ถ้าเป็นไปได้ก็ให้เลี่ยงเถอะ ได้โปรดเถอะ อ้อเกือบลืมไปการไปญี่ปุ่นของ หนุ่มมาร์ค ไม่ว่ามองในมุมไหนมันก็เหมือนเป็น “เกมการเมือง” ของปชป.ที่ต้องการเปรียบเทียบให้เห็นว่า “ใครเจ๋งกว่ากัน” เฮ้อ !!