ASTVผู้จัดการรายวัน -"มาร์ค" แนะรัฐบาลแก้ปัญหาหนี้ให้ต่อเนื่อง ชี้โครงการพักชำระหนี้ ไม่แก้ปัญหา จี้ออกกม.ดูแลสิทธิ ให้ความรู้ลูกหนี้ต่อเนื่อง ซัดรัฐเร่งทำโครงการตามที่หาเสียง หวั่นถลุงเงินกระทบการเงินการคลัง จี้ทบทวนเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์
เมื่อเวลา 09.00 น.วานนี้ (4 มี.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเปิดโครงการ ผู้หญิงชนะหนี้ ที่จัดโดยพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อให้ความรู้กับผู้หญิง ในการดูแลการบริหารจัดการหนี้ ว่า ปัญหาของโครงการพักชำระหนี้ คือไม่ได้เป็นไปตามแนวคิด และวัตถุประสงค์ เพราะหากลูกหนี้ได้รับการผ่อนผันภาระหนี้ แต่ไม่ได้ทำให้มีรายได้ที่มั่นคง ภาระหนี้จะกลับมาใหม่
ดังนั้น มาตรการพักชำระหนี้ของรัฐบาล จึงเป็นเพียงมาตรการส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหา แต่ไม่ใช่คำตอบ โครงการพักชำระหนี้ยังไม่เป็นไปตามเป้าที่คาดหมาย เห็นได้จากการที่โครงการเริ่มระยะหนึ่งแล้ว แต่มีประชาชนเข้าร่วมน้อยมาก เนื่องจากเงื่อนไขที่กำหนดไว้ทำให้คนเข้าถึงได้น้อย จนรัฐบาลต้องขายเวลา และปรับปรุงเกณฑ์ในการเข้าร่วมโครงการ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าร่วมได้มากขึ้น
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า การแก้ไขปัญหาหนี้สิน ต้องดำเนินการต่อเนื่อง ประเด็นที่ควรให้ความสำคัญต่อไปคือ สิทธิลูกหนี้ รัฐบาลควรออกกฎหมายเพื่อคุ้มครอง และดูและสิทธิของลูกหนี้ เพื่อไม่ให้ถูกเอาเปรียบ และได้รับการดูและสิทธิ การปรับโครงการสร้างยังต้องทำอย่างต่อเนื่อง โดยมีความร่วมมือจากสถาบันการเงินของรัฐ และเอกชนเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้รับสิทธิในการดูแล เท่ากับลูกหนี้ภาคเอกชน
ทั้งนี้การดำเนินมาตรการ จะต้องไม่ทำลายวินัยการชำระหนี้ และต้องมีการให้ความรู้และการศึกษาในการบริหารจัดการด้านการเงินกับประชาชน เช่น จัดให้มีผู้เชี่ยวชาญที่เรียกว่าหมอหนี้ ไปให้ความรู้กับประชาชน การให้ความรู้กับประชาชนที่เป็นลูกหนี้ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แม้ว่าทุกมาตรการ จะไม่สามารถแก้ปัญหาหนี้สินได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะความเสี่ยงยังมีอยู่ แต่ภาพรวมคือ การให้คำแนะนำ และความรู้เป็นสิ่งที่จำเป็นโดยควรปลูกฝังแนวคิดในการบริหารจัดการเงิน ตั้งแต่ในระดับโรงเรียน
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลมีนโยบายพักการชำระหนี้ให้ลูกหนี้ชั้นดี เป็นเวลา 3 ปี ว่า ที่ผ่านมาโครงการพักชำระหนี้ของรัฐบาล มีคนเข้าร่วมน้อย เพราะมีปัญหาเรื่องเงื่อนไข ที่รัฐบาลกำหนดทำให้ประชาชนเข้าถึงได้น้อย อย่างไรก็ดี การแก้ไขปัญหา ควรแก้อย่างเป็นระบบ โดยมุ่งเน้นแก้ไขปัญหานี้อย่างยั่งยืนมากกว่าจะคิดว่า ได้พักหนี้กี่ปี
ส่วนกรณีที่จะมีการใช้งบประมาณกว่า 5 แสนล้านบาท ในการทำโครงการนี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พรรคเพื่อไทย หาเสียงไว้ในตอนเลือกตั้ง จึงต้องดำเนินการให้ได้ ตนได้เคยบอกแล้วว่า หากการแก้ไขปัญหาหนี้ไม่ได้ทำให้มีความต่อเนื่อง และแก้ไขปัญหาระยะยาว การทำโครงการจึงต้องกำหนดเงื่อนไข และวิธีการบริหารจัดการให้ดี เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ให้สำเร็จ ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ วินัยทางด้านการเงิน และวินัยของลูกหนี้
ส่วนที่รัฐบาลพยายามขยายเงื่อนไขต่างๆ เพื่อให้มีผู้เข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้นนั้น ตนเห็นว่า จะกระทบต่อภาวะการเงินการคลังของประเทศได้ เพราะหากไปขยายเงื่อนไขแล้วกลายเป็นว่าไม่ได้ช่วยเหลือคนที่มีความจำเป็นจริง ๆ ก็เป็นความสูญเสียที่เกิดขึ้นในระบบการเงินได้ ซึ่งการแก้ไขปัญหาหนี้สินควรทำให้เป็นระบบและยั่งยืน
ส่วนที่รัฐบาลจะพัฒนากองทุนพัฒนาสตรี นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า แนวคิดในการจัดตั้งกองทุน เป็นแนวคิดที่ดี แต่ปัญหาจะอยู่ที่การบริหารจะต้องทำไม่ให้เกิดความแตกแยก และหากไม่กำหนดหลักเกณฑ์เพื่อทำให้การใช้เงินทุนนำสู่ความเข้มแข็ง แต่กลับทำให้เกิดการพึ่งพิง และกลายเป็นปัญหาหนี้สิน ก็จะได้ผลตรงกันข้าม ปัญหาขณะนี้คือ รัฐบาลหาเสียงไว้มาก โดยไม่เคยคิดถึงปัญหา มาวันนี้ก็คิดแต่ว่า จะทำอย่างไรที่จะทำให้ได้ตามที่หาเสียงเอาไว้ ไม่ว่าผลสุดท้ายจะเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่โฆษณาหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่ารัฐบาลควรจะมีการออกเป็น พ.ร.บ.กองทุนดังกล่าว เพราะมีวงเงินการใช้งบประมาณเกือบหมื่นล้านบาท
เมื่อถามว่า ความเสียหายจากการที่รัฐบาลจะผลักดันโครงการต่าง ๆ จะทำให้ประเทศเสียงบประมาณไปมากน้อยแค่ไหน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า จะมีการสะสมไปเรื่อย โครงการละ 1-2 หมื่นล้านบาท ที่สำคัญคือรัฐบาลต้องดูว่า ถ้าเห็นได้ชัดว่าบางโครงการดำเนินไปแล้วมีปัญหาจะทบทวนตอนไหนอย่างไร
ด้านนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรักษาการโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง กรณีนายอภิสิทธิ์ วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล เรื่องกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ที่หวั่นว่ากองทุนดังกล่าวจะถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง และการบริหารจะต้องไม่เกิดความแตกแยก และส่งเสริมให้คนเป็นหนี้ ว่า ขอขอบคุณในความห่วงใย แต่ขอให้นายอภิสิทธิ์ สบายใจได้ว่า กองทุนดังกล่าวจะไม่เกิดปัญหาอย่างนั้น เพราะรัฐบาลได้จัดทำประชาคมภายใต้กรอบการจัดตั้งกองทุนฯ ซึ่งมีผู้แทนจากหลายภาคส่วนทั่วทุกภาคของประเทศ ซึ่งก็รวมถึงบุคลากรทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ เข้าร่วมทุกครั้ง
กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี มีวัตถุประสงค์หลัก 2 ประการ คือ การแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อสตรี การล่อลวง การดูหมิ่นสตรี สนับสนุนการส่งเสริมบทบาทสตรี ให้เป็นที่ยอมรับ รวมถึง การเข้าไปเป็นแหล่งทุนในการดำเนินการ ด้วยการให้เงินกู้ปลอดดอกเบี้ย หรือ ดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งขณะนี้กองทุนฯ อยู่ระหว่างการรับสมัครสมาชิกกองทุนฯ เพื่อสรรหา คณะกรรมการในระดับภูมิภาค ปัจจุบันมีผู้สมัครเข้าเป็นสมาชิกแล้วจำนวนกว่า 4 ล้านคน จนต้องขยายระยะเวลาลงทะเบียนสมาชิกฯ ไปจนถึงวันที่ 31 มี.ค.55
นายอนุสรณ์ กล่าวด้วยว่า กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ไม่ได้ให้กู้รายบุคคล แต่จะต้องรวมกลุ่มตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป เพื่อเสนอโครงการ แม้จะก่อให้เกิดหนี้ แต่จะเป็นหนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้ ไม่ใช่แค่ จ่าย 2,000 บาท แล้วก็จบกัน รัฐบาลมั่นใจว่า ภายในระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี จะประสบความสำเร็จ เหมือนดังกองทุนฯ ต่างๆ ที่รัฐบาลเคยทำสำเร็จมาแล้วในอดีต.
เมื่อเวลา 09.00 น.วานนี้ (4 มี.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเปิดโครงการ ผู้หญิงชนะหนี้ ที่จัดโดยพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อให้ความรู้กับผู้หญิง ในการดูแลการบริหารจัดการหนี้ ว่า ปัญหาของโครงการพักชำระหนี้ คือไม่ได้เป็นไปตามแนวคิด และวัตถุประสงค์ เพราะหากลูกหนี้ได้รับการผ่อนผันภาระหนี้ แต่ไม่ได้ทำให้มีรายได้ที่มั่นคง ภาระหนี้จะกลับมาใหม่
ดังนั้น มาตรการพักชำระหนี้ของรัฐบาล จึงเป็นเพียงมาตรการส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหา แต่ไม่ใช่คำตอบ โครงการพักชำระหนี้ยังไม่เป็นไปตามเป้าที่คาดหมาย เห็นได้จากการที่โครงการเริ่มระยะหนึ่งแล้ว แต่มีประชาชนเข้าร่วมน้อยมาก เนื่องจากเงื่อนไขที่กำหนดไว้ทำให้คนเข้าถึงได้น้อย จนรัฐบาลต้องขายเวลา และปรับปรุงเกณฑ์ในการเข้าร่วมโครงการ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าร่วมได้มากขึ้น
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า การแก้ไขปัญหาหนี้สิน ต้องดำเนินการต่อเนื่อง ประเด็นที่ควรให้ความสำคัญต่อไปคือ สิทธิลูกหนี้ รัฐบาลควรออกกฎหมายเพื่อคุ้มครอง และดูและสิทธิของลูกหนี้ เพื่อไม่ให้ถูกเอาเปรียบ และได้รับการดูและสิทธิ การปรับโครงการสร้างยังต้องทำอย่างต่อเนื่อง โดยมีความร่วมมือจากสถาบันการเงินของรัฐ และเอกชนเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้รับสิทธิในการดูแล เท่ากับลูกหนี้ภาคเอกชน
ทั้งนี้การดำเนินมาตรการ จะต้องไม่ทำลายวินัยการชำระหนี้ และต้องมีการให้ความรู้และการศึกษาในการบริหารจัดการด้านการเงินกับประชาชน เช่น จัดให้มีผู้เชี่ยวชาญที่เรียกว่าหมอหนี้ ไปให้ความรู้กับประชาชน การให้ความรู้กับประชาชนที่เป็นลูกหนี้ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แม้ว่าทุกมาตรการ จะไม่สามารถแก้ปัญหาหนี้สินได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะความเสี่ยงยังมีอยู่ แต่ภาพรวมคือ การให้คำแนะนำ และความรู้เป็นสิ่งที่จำเป็นโดยควรปลูกฝังแนวคิดในการบริหารจัดการเงิน ตั้งแต่ในระดับโรงเรียน
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลมีนโยบายพักการชำระหนี้ให้ลูกหนี้ชั้นดี เป็นเวลา 3 ปี ว่า ที่ผ่านมาโครงการพักชำระหนี้ของรัฐบาล มีคนเข้าร่วมน้อย เพราะมีปัญหาเรื่องเงื่อนไข ที่รัฐบาลกำหนดทำให้ประชาชนเข้าถึงได้น้อย อย่างไรก็ดี การแก้ไขปัญหา ควรแก้อย่างเป็นระบบ โดยมุ่งเน้นแก้ไขปัญหานี้อย่างยั่งยืนมากกว่าจะคิดว่า ได้พักหนี้กี่ปี
ส่วนกรณีที่จะมีการใช้งบประมาณกว่า 5 แสนล้านบาท ในการทำโครงการนี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พรรคเพื่อไทย หาเสียงไว้ในตอนเลือกตั้ง จึงต้องดำเนินการให้ได้ ตนได้เคยบอกแล้วว่า หากการแก้ไขปัญหาหนี้ไม่ได้ทำให้มีความต่อเนื่อง และแก้ไขปัญหาระยะยาว การทำโครงการจึงต้องกำหนดเงื่อนไข และวิธีการบริหารจัดการให้ดี เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ให้สำเร็จ ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ วินัยทางด้านการเงิน และวินัยของลูกหนี้
ส่วนที่รัฐบาลพยายามขยายเงื่อนไขต่างๆ เพื่อให้มีผู้เข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้นนั้น ตนเห็นว่า จะกระทบต่อภาวะการเงินการคลังของประเทศได้ เพราะหากไปขยายเงื่อนไขแล้วกลายเป็นว่าไม่ได้ช่วยเหลือคนที่มีความจำเป็นจริง ๆ ก็เป็นความสูญเสียที่เกิดขึ้นในระบบการเงินได้ ซึ่งการแก้ไขปัญหาหนี้สินควรทำให้เป็นระบบและยั่งยืน
ส่วนที่รัฐบาลจะพัฒนากองทุนพัฒนาสตรี นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า แนวคิดในการจัดตั้งกองทุน เป็นแนวคิดที่ดี แต่ปัญหาจะอยู่ที่การบริหารจะต้องทำไม่ให้เกิดความแตกแยก และหากไม่กำหนดหลักเกณฑ์เพื่อทำให้การใช้เงินทุนนำสู่ความเข้มแข็ง แต่กลับทำให้เกิดการพึ่งพิง และกลายเป็นปัญหาหนี้สิน ก็จะได้ผลตรงกันข้าม ปัญหาขณะนี้คือ รัฐบาลหาเสียงไว้มาก โดยไม่เคยคิดถึงปัญหา มาวันนี้ก็คิดแต่ว่า จะทำอย่างไรที่จะทำให้ได้ตามที่หาเสียงเอาไว้ ไม่ว่าผลสุดท้ายจะเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่โฆษณาหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่ารัฐบาลควรจะมีการออกเป็น พ.ร.บ.กองทุนดังกล่าว เพราะมีวงเงินการใช้งบประมาณเกือบหมื่นล้านบาท
เมื่อถามว่า ความเสียหายจากการที่รัฐบาลจะผลักดันโครงการต่าง ๆ จะทำให้ประเทศเสียงบประมาณไปมากน้อยแค่ไหน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า จะมีการสะสมไปเรื่อย โครงการละ 1-2 หมื่นล้านบาท ที่สำคัญคือรัฐบาลต้องดูว่า ถ้าเห็นได้ชัดว่าบางโครงการดำเนินไปแล้วมีปัญหาจะทบทวนตอนไหนอย่างไร
ด้านนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรักษาการโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง กรณีนายอภิสิทธิ์ วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล เรื่องกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ที่หวั่นว่ากองทุนดังกล่าวจะถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง และการบริหารจะต้องไม่เกิดความแตกแยก และส่งเสริมให้คนเป็นหนี้ ว่า ขอขอบคุณในความห่วงใย แต่ขอให้นายอภิสิทธิ์ สบายใจได้ว่า กองทุนดังกล่าวจะไม่เกิดปัญหาอย่างนั้น เพราะรัฐบาลได้จัดทำประชาคมภายใต้กรอบการจัดตั้งกองทุนฯ ซึ่งมีผู้แทนจากหลายภาคส่วนทั่วทุกภาคของประเทศ ซึ่งก็รวมถึงบุคลากรทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ เข้าร่วมทุกครั้ง
กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี มีวัตถุประสงค์หลัก 2 ประการ คือ การแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อสตรี การล่อลวง การดูหมิ่นสตรี สนับสนุนการส่งเสริมบทบาทสตรี ให้เป็นที่ยอมรับ รวมถึง การเข้าไปเป็นแหล่งทุนในการดำเนินการ ด้วยการให้เงินกู้ปลอดดอกเบี้ย หรือ ดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งขณะนี้กองทุนฯ อยู่ระหว่างการรับสมัครสมาชิกกองทุนฯ เพื่อสรรหา คณะกรรมการในระดับภูมิภาค ปัจจุบันมีผู้สมัครเข้าเป็นสมาชิกแล้วจำนวนกว่า 4 ล้านคน จนต้องขยายระยะเวลาลงทะเบียนสมาชิกฯ ไปจนถึงวันที่ 31 มี.ค.55
นายอนุสรณ์ กล่าวด้วยว่า กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ไม่ได้ให้กู้รายบุคคล แต่จะต้องรวมกลุ่มตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป เพื่อเสนอโครงการ แม้จะก่อให้เกิดหนี้ แต่จะเป็นหนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้ ไม่ใช่แค่ จ่าย 2,000 บาท แล้วก็จบกัน รัฐบาลมั่นใจว่า ภายในระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี จะประสบความสำเร็จ เหมือนดังกองทุนฯ ต่างๆ ที่รัฐบาลเคยทำสำเร็จมาแล้วในอดีต.