เหตุการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้นถึง 3 จุดในกรุงเทพฯ เมื่อวันวาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์ 2555 เป็นที่แน่นอนแล้วว่า “ผู้กระทำ” และ “ผู้ที่ตกเป็นเป้าหมายของการกระทำ” ไม่ใช่คนไทย เป็นเรื่องของขบวนการก่อการร้ายข้ามชาติที่เข้ามาอาศัยประเทศไทยเป็นสถานที่ก่อเหตุ มุ่งหวังให้บรรลุเงื่อนไขตามความต้องการแห่งผลประโยชน์ตน
เพียงแต่สังคมไทยมีพระสยามเทวาธิราชคุ้มครองป้องปกอยู่ ทำให้ผู้มุ่งหวังก่อเหตุยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์เท่านั้น
ถึงเวลานี้มีภาพที่ถูกฉายชัดออกมาว่า เป็นการประลองฝีมือของศัตรูคู่อริตลอดกาลระหว่าง “อิหร่าน” ที่มีภาพของโลกมุสลิมทาบทับอยู่กับ “อิสราเอล” ตัวแทนของโลกตะวันตก หรือว่ากันให้ชัดก็คือ “สหรัฐอเมริกา” นั่นเอง
ประเทศไทยและสังคมไทยไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลย แค่ถูกขบวนการก่อการร้ายข้ามชาติใช้เป็นสมรภูมิสงคราม ซึ่งไม่ต่างจากอินเดียและจอร์เจียที่ได้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะคล้ายคลึงกันวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2555 ก่อนหน้าเพียงวันเดียว แล้วก็บรรลุวัตถุประสงค์ของผู้ก่อการเสียด้วย
แม้เหตุการณ์ในไทยจะยังไม่มีบทสรุปว่าฝ่ายก่อการเป็นใครกันแน่ ทางหนึ่งชี้ว่าอิหร่านอยู่เบื้องหลัง ด้วยต้องการสังหารนักการทูตอิสราเอล แต่อีกทางสวนกลับว่าน่าจะเป็นกระบวนการจัดฉากของอเมริกา เพราะแสดงความกระสันมาตลอดว่าต้องการบุกเข้าไปฮุบบ่อน้ำมันในตะวันออกกลาง ซึ่งเวลานี้มีเป้าอยู่ที่อิหร่านแบบเดียวกับที่เคยทำกับอิรักและอัฟกานิสถานมาแล้ว
ในประเด็นหลังนี้เป็นไปตามทฤษฎีที่ชี้ว่า อเมริกามีแผนการที่ต้องการจะเข้าควบคุมแหล่งพลังงานทั่วโลกให้ได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะนอกจากจะเป็นเรื่องของการสร้างความมั่งคั่งให้กับกลุ่มทุนของตนเองแล้ว ยังเป็นเรื่องของยุทธศาสตร์ในการสร้างความมั่นคงอีกด้วย
สำหรับคนไทยแล้วเชื่อว่าน่าจะเทน้ำหนักให้กับประเด็นหลังนี้มากพอสมควร สื่อเครือ “ASTVผู้จัดการ” โดยเฉพาะผู้ก่อตั้งคือ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ได้อรรถาธิบายเรื่องนี้อย่างเป็นระบบมานมนานว่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถือเป็นยุคที่อเมริกาต้องการเข้าไปควบคุมศูนย์กลางแหล่งพลังงานของโลกเพื่อความเป็นมหาอำนาจ
นอกจากนี้ยังเชื่อมโยงให้เห็นด้วยว่า กรณีที่ไทยกำลังจะสูญเสียเขาพระวิหารให้เขมร อันนำไปสู่การปักหลักเขตสุดท้ายบนบกที่จังหวัดตราด ซึ่งมีผลต่อเขตแดนในท้องทะเลของไทยด้วย ปัญหานี้ล้วนมีอเมริกาและชาติตะวันตกอยู่เบื้องหลัง เพราะต้องการเข้ามามีส่วนแชร์ผลประโยชน์แหล่งพลังงานในอ่าวไทย
เป็นที่รับรู้กันว่า ทั้งน้ำมันและก๊าซใต้ท้องทะเลอ่าวไทยมีปริมาณที่หลายชาติทั่วโลกกำลังจับจ้องกันแบบแทบไม่อยากจะกะพริบตา เพราะอาจจะทำให้เสียโอกาสได้
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการฟันธงด้วยว่า กรณีการลุกโชนเปลวของ “ไฟใต้” ระลอกใหม่ตั้งแต่ต้นปี 2547 ที่ผ่านมา ซึ่งเกิดจากน้ำมือของนักโทษหนีคุก “ทักษิณ ชินวัตร” ไม่น่าจะเป็นเรื่องของการมัวเมาในอำนาจจนย่ามใจแต่เพียงอย่างเดียว แต่มีผลประโยชน์เรื่องของธุรกิจพลังงานในอ่าวไทยอยู่เบื้องหลังด้วย
เนื่องเพราะหากขบวนการแบ่งแยกดินแดนสามารถตัดผืนแผ่นดินปลายด้ามขวานออกไปได้ นั่นก็จะเป็นการนำไปสู่การสูญเสียเขตแดนในทะเลฝั่งตะวันออกของประเทศไทยด้วยเช่นกัน
คงจำกันได้ในสมัยที่ระบอบทักษิณเรืองอำนาจจนสามารถที่จะกุมกลไกรัฐไทยได้เกือบจะเบ็ดเสร็จ นักโทษหนีคดีอยู่ต่างประเทศคนนี้แหละที่แสดงอาการกระสันแบบแบไต๋ตลอดว่า ต้องการที่จะก้าวรุกจากธุรกิจโทรคมนาคมกระโดดไปสู่การกอบโกยคำใหญ่ๆ แบบเต็มกอบเต็มกำในธุรกิจพลังงาน โดยเฉพาะการคืบคลานฮุบอุตสาหกรรมพลังงานในประเทศ
สิ่งนี้ยืนยันได้จากการผลักดันให้แปรรูป ปตท.ที่สุดท้ายหุ้นเกือบครึ่งก็ตกไปอยู่ในมือตนเองและพวกพ้อง การจัดฉากประกาศขายหุ้นชินคอร์ปให้กับกองทุนเทมาเส็กของรัฐบาลสิงคโปร์เพื่อหันไปลงทุนด้านพลังงาน การร่วมลงขันและชักพานายอัลฟาเยด มาลงทุนขุดเจาะน้ำมันในอ่าวไทย รวมถึงดึงกลุ่มทุนดูไบ เวิลด์ มาตีตราจ้องเส้นทางพลังงานข้ามโลกของไทย หรือเมกะโปรเจกต์แลนด์บริดจ์ในโครงการเซาเทิร์นซีบอร์ด เป็นต้น
แม้ในเวลาที่ต้องหนีคุกตารางอยู่ต่างประเทศก็ยังไปอาศัยมือของนายฮุนเซน ผู้นำจอมเผด็จการของกัมพูชาหวังจะตีกินพลังงานในอ่าวไทยให้ได้ โดยอาศัย MOU 2544 ที่ตนเองไปแอบตกลงยกเขตแดนทะเลไทยให้เขมรเป็นเครื่องมือ ถึงขั้นยอมที่จะหอบเงินไปซื้อเกาะริมทะเลเขมรเตรียมไว้เป็นฐานบัญชาการแล้วด้วย
เราต้องไม่ลืมนะครับว่าเงื่อนไขสำคัญประการหนึ่งของไฟใต้คือ การหยิบยกเอาศาสนา “อิสลาม” และความเป็น “มุสลิม” ของพี่น้องชาวชายแดนใต้ไปเชื่อมโยงกับ “อาณาจักรปัตตานี” ที่อรรถาธิบายประวัติศาสตร์แบบไม่สมบูรณ์ แถมคนที่นั่นมีความเชื่อว่าโลกตะวันตก โดยเฉพาะ “สหรัฐอเมริกา” ได้ยื่นมือเข้าไปแทรกแซงปัญหาไฟใต้มาตลอด
จึงเป็นไปได้ที่เหตุการณ์ระเบิดในกรุงเทพฯ จะถูกนำไปเพิ่มให้เป็นอีกเงื่อนไขของการโหมกระพือไฟใต้
นักโทษหนีคุกทักษิณ ชินวัตร คือคนที่ราดน้ำมันใส่ไฟใต้ให้คุโชนขึ้นมาระลอกใหม่ และเมื่อเห็นปัญหากลับหันหลังให้ ปล่อยให้เชื้อแห่งขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่เคยถูกกดทับจนแทบไม่มีพิษสง ได้มีโอกาสฟื้นและฟักตัว อีกทั้งได้ขยายตัวเสียจนใหญ่โตแล้วเวลานี้
การที่นักโทษหนีคุกทักษิณ ชินวัตร ยังสามารถควบคุมระบอบทักษิณให้ครอบงำและบงการอำนาจรัฐไทยอยู่ได้ โดยยังคงปล่อยปละละเลยเมินเฉยต่อวิกฤตไฟใต้ หากจะเข้าไปเกี่ยวข้องก็เฉพาะแต่ที่จะเห็นประโยชน์กองอยู่ตรงหน้าเท่านั้น
สิ่งนี้จึงเป็นเรื่องที่คนไทยทุกคนต้องตระหนักร่วมกันว่า สมควรจะทอดเวลาให้ผ่านเลยแบบที่ผ่านๆ มาต่อไปอีกหรือไม่
เพียงแต่สังคมไทยมีพระสยามเทวาธิราชคุ้มครองป้องปกอยู่ ทำให้ผู้มุ่งหวังก่อเหตุยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์เท่านั้น
ถึงเวลานี้มีภาพที่ถูกฉายชัดออกมาว่า เป็นการประลองฝีมือของศัตรูคู่อริตลอดกาลระหว่าง “อิหร่าน” ที่มีภาพของโลกมุสลิมทาบทับอยู่กับ “อิสราเอล” ตัวแทนของโลกตะวันตก หรือว่ากันให้ชัดก็คือ “สหรัฐอเมริกา” นั่นเอง
ประเทศไทยและสังคมไทยไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลย แค่ถูกขบวนการก่อการร้ายข้ามชาติใช้เป็นสมรภูมิสงคราม ซึ่งไม่ต่างจากอินเดียและจอร์เจียที่ได้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะคล้ายคลึงกันวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2555 ก่อนหน้าเพียงวันเดียว แล้วก็บรรลุวัตถุประสงค์ของผู้ก่อการเสียด้วย
แม้เหตุการณ์ในไทยจะยังไม่มีบทสรุปว่าฝ่ายก่อการเป็นใครกันแน่ ทางหนึ่งชี้ว่าอิหร่านอยู่เบื้องหลัง ด้วยต้องการสังหารนักการทูตอิสราเอล แต่อีกทางสวนกลับว่าน่าจะเป็นกระบวนการจัดฉากของอเมริกา เพราะแสดงความกระสันมาตลอดว่าต้องการบุกเข้าไปฮุบบ่อน้ำมันในตะวันออกกลาง ซึ่งเวลานี้มีเป้าอยู่ที่อิหร่านแบบเดียวกับที่เคยทำกับอิรักและอัฟกานิสถานมาแล้ว
ในประเด็นหลังนี้เป็นไปตามทฤษฎีที่ชี้ว่า อเมริกามีแผนการที่ต้องการจะเข้าควบคุมแหล่งพลังงานทั่วโลกให้ได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะนอกจากจะเป็นเรื่องของการสร้างความมั่งคั่งให้กับกลุ่มทุนของตนเองแล้ว ยังเป็นเรื่องของยุทธศาสตร์ในการสร้างความมั่นคงอีกด้วย
สำหรับคนไทยแล้วเชื่อว่าน่าจะเทน้ำหนักให้กับประเด็นหลังนี้มากพอสมควร สื่อเครือ “ASTVผู้จัดการ” โดยเฉพาะผู้ก่อตั้งคือ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ได้อรรถาธิบายเรื่องนี้อย่างเป็นระบบมานมนานว่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถือเป็นยุคที่อเมริกาต้องการเข้าไปควบคุมศูนย์กลางแหล่งพลังงานของโลกเพื่อความเป็นมหาอำนาจ
นอกจากนี้ยังเชื่อมโยงให้เห็นด้วยว่า กรณีที่ไทยกำลังจะสูญเสียเขาพระวิหารให้เขมร อันนำไปสู่การปักหลักเขตสุดท้ายบนบกที่จังหวัดตราด ซึ่งมีผลต่อเขตแดนในท้องทะเลของไทยด้วย ปัญหานี้ล้วนมีอเมริกาและชาติตะวันตกอยู่เบื้องหลัง เพราะต้องการเข้ามามีส่วนแชร์ผลประโยชน์แหล่งพลังงานในอ่าวไทย
เป็นที่รับรู้กันว่า ทั้งน้ำมันและก๊าซใต้ท้องทะเลอ่าวไทยมีปริมาณที่หลายชาติทั่วโลกกำลังจับจ้องกันแบบแทบไม่อยากจะกะพริบตา เพราะอาจจะทำให้เสียโอกาสได้
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการฟันธงด้วยว่า กรณีการลุกโชนเปลวของ “ไฟใต้” ระลอกใหม่ตั้งแต่ต้นปี 2547 ที่ผ่านมา ซึ่งเกิดจากน้ำมือของนักโทษหนีคุก “ทักษิณ ชินวัตร” ไม่น่าจะเป็นเรื่องของการมัวเมาในอำนาจจนย่ามใจแต่เพียงอย่างเดียว แต่มีผลประโยชน์เรื่องของธุรกิจพลังงานในอ่าวไทยอยู่เบื้องหลังด้วย
เนื่องเพราะหากขบวนการแบ่งแยกดินแดนสามารถตัดผืนแผ่นดินปลายด้ามขวานออกไปได้ นั่นก็จะเป็นการนำไปสู่การสูญเสียเขตแดนในทะเลฝั่งตะวันออกของประเทศไทยด้วยเช่นกัน
คงจำกันได้ในสมัยที่ระบอบทักษิณเรืองอำนาจจนสามารถที่จะกุมกลไกรัฐไทยได้เกือบจะเบ็ดเสร็จ นักโทษหนีคดีอยู่ต่างประเทศคนนี้แหละที่แสดงอาการกระสันแบบแบไต๋ตลอดว่า ต้องการที่จะก้าวรุกจากธุรกิจโทรคมนาคมกระโดดไปสู่การกอบโกยคำใหญ่ๆ แบบเต็มกอบเต็มกำในธุรกิจพลังงาน โดยเฉพาะการคืบคลานฮุบอุตสาหกรรมพลังงานในประเทศ
สิ่งนี้ยืนยันได้จากการผลักดันให้แปรรูป ปตท.ที่สุดท้ายหุ้นเกือบครึ่งก็ตกไปอยู่ในมือตนเองและพวกพ้อง การจัดฉากประกาศขายหุ้นชินคอร์ปให้กับกองทุนเทมาเส็กของรัฐบาลสิงคโปร์เพื่อหันไปลงทุนด้านพลังงาน การร่วมลงขันและชักพานายอัลฟาเยด มาลงทุนขุดเจาะน้ำมันในอ่าวไทย รวมถึงดึงกลุ่มทุนดูไบ เวิลด์ มาตีตราจ้องเส้นทางพลังงานข้ามโลกของไทย หรือเมกะโปรเจกต์แลนด์บริดจ์ในโครงการเซาเทิร์นซีบอร์ด เป็นต้น
แม้ในเวลาที่ต้องหนีคุกตารางอยู่ต่างประเทศก็ยังไปอาศัยมือของนายฮุนเซน ผู้นำจอมเผด็จการของกัมพูชาหวังจะตีกินพลังงานในอ่าวไทยให้ได้ โดยอาศัย MOU 2544 ที่ตนเองไปแอบตกลงยกเขตแดนทะเลไทยให้เขมรเป็นเครื่องมือ ถึงขั้นยอมที่จะหอบเงินไปซื้อเกาะริมทะเลเขมรเตรียมไว้เป็นฐานบัญชาการแล้วด้วย
เราต้องไม่ลืมนะครับว่าเงื่อนไขสำคัญประการหนึ่งของไฟใต้คือ การหยิบยกเอาศาสนา “อิสลาม” และความเป็น “มุสลิม” ของพี่น้องชาวชายแดนใต้ไปเชื่อมโยงกับ “อาณาจักรปัตตานี” ที่อรรถาธิบายประวัติศาสตร์แบบไม่สมบูรณ์ แถมคนที่นั่นมีความเชื่อว่าโลกตะวันตก โดยเฉพาะ “สหรัฐอเมริกา” ได้ยื่นมือเข้าไปแทรกแซงปัญหาไฟใต้มาตลอด
จึงเป็นไปได้ที่เหตุการณ์ระเบิดในกรุงเทพฯ จะถูกนำไปเพิ่มให้เป็นอีกเงื่อนไขของการโหมกระพือไฟใต้
นักโทษหนีคุกทักษิณ ชินวัตร คือคนที่ราดน้ำมันใส่ไฟใต้ให้คุโชนขึ้นมาระลอกใหม่ และเมื่อเห็นปัญหากลับหันหลังให้ ปล่อยให้เชื้อแห่งขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่เคยถูกกดทับจนแทบไม่มีพิษสง ได้มีโอกาสฟื้นและฟักตัว อีกทั้งได้ขยายตัวเสียจนใหญ่โตแล้วเวลานี้
การที่นักโทษหนีคุกทักษิณ ชินวัตร ยังสามารถควบคุมระบอบทักษิณให้ครอบงำและบงการอำนาจรัฐไทยอยู่ได้ โดยยังคงปล่อยปละละเลยเมินเฉยต่อวิกฤตไฟใต้ หากจะเข้าไปเกี่ยวข้องก็เฉพาะแต่ที่จะเห็นประโยชน์กองอยู่ตรงหน้าเท่านั้น
สิ่งนี้จึงเป็นเรื่องที่คนไทยทุกคนต้องตระหนักร่วมกันว่า สมควรจะทอดเวลาให้ผ่านเลยแบบที่ผ่านๆ มาต่อไปอีกหรือไม่