xs
xsm
sm
md
lg

พระภิกษุสักยันต์สีกา : สะท้อนความย่อหย่อนวงการสงฆ์

เผยแพร่:   โดย: สามารถ มังสัง

ภิกษุหรือนักบวชในพุทธศาสนา โดยรากศัพท์แปลว่า ผู้ขอ คือ เลี้ยงชีพด้วยข้าวปลาอาหารที่พุทธบริษัทถวายด้วยความศรัทธาในวัตรปฏิบัติ และถือว่าภิกษุสงฆ์ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าเป็นเนื้อนาบุญของโลก (ปุญฺญกฺเขตตํ โลกสฺสาติ) ดังที่ปรากฏในบทสวดเจริญสังฆคุณที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า สุปฏิปันโน นั่นเอง

แต่มิได้หมายความว่าภิกษุที่เข้ามาบวชนุ่งเหลืองทุกรูปจะเป็นเนื้อนาบุญของโลกได้ จะเป็นได้ก็ต่อเมื่อมีศีลสมบูรณ์ และบรรลุธรรมอย่างน้อยโสดาบัน ดังปรากฏในบทสวดเดียวกันที่ว่า สี่คู่บุคคลแปด คือ ถ้านับเป็นรายบุคคลตั้งแต่โสดาปัตติมรรคไปจนถึงอรหัตตผล ก็จะได้ 8 แต่ถ้านับเป็นคู่ๆ คือโสดาปัตตมรรค และโสดาปัตติผล ไปจนถึงคู่ที่ 4 คือ อรหัตตมรรค และอรหัตตผล ก็จะได้ 4 คู่ดังกล่าวแล้ว พระสงฆ์สาวกทั้ง 8 บุคคล หรือ 4 คู่เท่านั้นที่จัดเป็นเนื้อนาบุญของโลก โดยนัยแห่งบทสวดเจริญสังฆคุณ

แต่มิได้หมายความว่าภิกษุที่ยังมิได้บรรลุมรรคผล หรือที่เรียกว่า สมมติสงฆ์ จะไม่เป็นที่ตั้งแห่งบุญเพียงแต่ให้ผลแก่ผู้ทำบุญน้อยกว่าอริยสงฆ์เท่านั้น

อีกประการหนึ่ง ถ้าพิจารณาจากการแบ่งประเภทของภิกษุสงฆ์ อันเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าออกเป็น 2 ประเภท คือ เสขบุคคล คือผู้ที่ยังไม่บรรลุอรหันต์ แต่เป็นผู้มีศีลสมบูรณ์ก็เป็นที่ตั้งแห่งบุญของผู้ต้องการทำบุญได้ จะเห็นได้ว่าพุทธพจน์ที่ว่า วิเจยฺย ทานํ พึงเลือกก่อนแล้วให้ทาน และอรรถาธิบายขยายความเพิ่มเติมว่า จะต้องเลือกปฏิคคาหก คือผู้รับทานซึ่งเป็นผู้มีศีล และยังจะต้องมีองค์ประกอบของการให้ทานอีก 2 ประการ คือ ผู้ให้จะต้องมีศรัทธา และสิ่งของที่จะนำมาถวายจะต้องได้มาด้วยความบริสุทธิ์ การให้ทานด้วยองค์ประกอบประการนี้เท่านั้นจึงจะได้บุญมาก

จากนัยแห่งพุทธพจน์และอรรถาดังกล่าวข้างต้น เป็นการยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า แม้แต่เป็นสมมติสงฆ์ก็เป็นที่ตั้งแห่งบุญได้ถ้าเป็นผู้มีศีล และบุญจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อผู้ให้มีองค์ประกอบ 2 ประการที่เหลือครบถ้วน

ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของชาวพุทธทุกคนจะต้องทำนุบำรุง โดยการส่งเสริมให้ภิกษุผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบดำรงอยู่ได้โดยไม่เดือดร้อน และในขณะเดียวกันก็จะต้องช่วยกันขจัดภิกษุประเภทผู้เข้ามาบวชเพื่ออาศัยศาสนาทำมาหากินนอกลู่นอกทางให้หมดไปจากพุทธศาสนา เพื่อให้สงฆ์สาวกของพระพุทธองค์ยังคงเป็นเนื้อนาบุญต่อไปอีกนานเท่านาน

แต่วันนี้และเวลานี้ วงการสงฆ์ในประเทศกำลังจะทำให้ศาสนาเสื่อมถอยลงเรื่อยๆ จากการได้รู้ ได้เห็น และได้ยินข่าวนักบวชในพุทธศาสนามีพฤติกรรมสวนทางกับคำสอนของพระพุทธองค์ ทั้งในส่วนของพระธรรม และพระวินัยอันเป็นศาสดาแทนพระพุทธเจ้า ตามนัยแห่งพุทธพจน์ที่ตรัสแก่พระอานนท์ที่ว่า “ดูก่อนธรรมก็ดี วินัยก็ดี ที่เรา (ตถาคต) แสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แก่เธอทั้งหลาย ธรรมและวินัยนั้นจะเป็นศาสดา เมื่อเรา (ตถาคต) ล่วงลับไปแล้ว”

โดยนัยแห่งพุทธพจน์ที่ว่านี้ เป็นการแสดงให้เห็นชัดเจนว่าภิกษุรูปใดล่วงละเมิดพระวินัย และไม่ใส่ใจปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น ภิกษุรูปนั้นไม่เคารพในพระศาสดา และถือได้ว่าเป็นต้นเหตุให้พุทธศาสนาเสื่อมโดยแท้

หนึ่งในบรรดาภิกษุผู้ทำให้ศาสนาเสื่อมได้ปรากฏทางสื่อสิ่งพิมพ์ และอินเทอร์เน็ตเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว นั่นก็คือ พระภิกษุรูปหนึ่งกำลังสักยันต์ให้แก่หญิงสาวที่เปลือยแผ่นหลัง และเพื่อนชายกำลังปิดป้องด้านหน้า โดยที่พระภิกษุรูปนั้นใช้ผ้ารองและจับแผ่นผ้าไว้ขณะสักยันต์ เห็นแล้วนึกถึงพระสูตรที่ชื่อว่า พรหมชาลสูตร ที่สอนเกี่ยวกับศีลของภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนาข้อที่ว่าด้วยการเว้นจากการดำรงชีพด้วยเดรัจฉานวิชา เช่น ทายนิมิต ทายฝัน และการสักยันต์ก็รวมอยู่ในข้อนี้ด้วย

นอกจากนี้ การจับต้องกายหญิงก็มีข้อห้ามไว้ และถ้ามีความกำหนัดคือ มีอารมณ์ทางเพศร่วมด้วยในขณะที่จับต้องก็เป็นอาบัติสังฆาทิเสส แต่ถ้าไม่กำหนัดก็เป็นโลกวัชชะคือ โลกติเตียนในพฤติกรรมไม่เหมาะสม และการเอาผ้ามารองก็มิได้ช่วยให้พ้นจากการเป็นอาบัติ หรือการผิดศีลในข้อที่ว่า จับต้องวัตถุเนื่องด้วยกาย เช่น เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ เป็นต้น เพียงแต่อาบัติหรือโทษทางวินัยเบากว่าเท่านั้นเอง แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะมีอารมณ์ทางเพศร่วมด้วยในขณะทำการสักยันต์หรือไม่การทำเช่นนี้ถือได้ว่าไม่เหมาะแก่เพศภาวะของนักบวช และยังขัดต่อการดำรงชีพของภิกษุดังกล่าวแล้ว

เมื่อพระภิกษุทำผิด และไม่รู้สึกว่าตนทำผิด จึงเป็นหน้าที่ขององค์กรปกครองสงฆ์ คือ มหาเถรสมาคมจะต้องทำการสืบสวนให้รู้ว่าภิกษุที่ว่านี้ชื่ออะไร และอยู่วัดใด รวมไปถึงจะต้องลงไปดูการปกครองของวัดนี้เป็นอย่างไร ย่อหย่อนขนาดไหนจึงปล่อยให้พระภิกษุในวัดมีพฤติกรรมเยี่ยงนี้ได้อย่างไร และเชื่อว่าถ้ามีการสอบสวนอย่างจริงจัง ก็คงจะได้ความจริงและหาทางแก้ไขได้โดยยึดแนวทางพระวินัยเป็นหลัก ไม่ต้องพึ่งเจ้าหน้าที่ทางฝ่ายบ้านเมืองให้เปลืองกำลังคน เพราะแค่สืบให้ได้ความจริงแล้วประกาศลงโทษด้วยการขับออกจากหมู่สงฆ์ หรือที่เรียกปัพพาชนียกรรม ก็คงจะแก้ปัญหานี้ได้ในระดับหนึ่ง

ข้อสำคัญ องค์กรทางสงฆ์อย่าอยู่เฉยโดยไม่ทำอะไร ปล่อยให้เรื่องเงียบไปเองเหมือนหลายกรณีที่เกิดขึ้นแล้วเงียบไป และที่สำคัญยิ่งกว่านี้ องค์กรปกครองสงฆ์ที่ทางฝ่ายบ้านเมืองตั้งขึ้น คือ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะต้องทำหน้าที่ค้นหา และนำเสนอมหาเถรสมาคมอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง อย่าทำงานแบบไฟไหม้ฟาง คือพอมีข่าวก็ออกมาให้สัมภาษณ์แล้วก็เงียบไปในลักษณะยึดภาษิต ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ ชาวบ้านอย่างเราไม่เกี่ยวข้อง ถ้าเป็นเช่นนี้พุทธศาสนาเสื่อมก่อนกาลเวลาที่เชื่อกันว่า 5,000 ปีแน่นอน

นอกจากองค์กรปกครองสงฆ์ เช่น มหาเถรสมาคม และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติแล้ว องค์กรทางวิชาการคือมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง 2 แห่ง คือ มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ก็คงจะต้องทำการศึกษาวิจัยในเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อหาแนวทางแก้ไขและกำหนดมาตรการป้องกันอย่างเป็นระบบ อย่าเอาแต่เรียนทฤษฎีเพียงอย่างเดียว ลงมือปฏิบัติให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมว่านักบวชนั้นใช่เพียงสอนคนอื่นเพียงอย่างเดียว แต่สอนตนเองได้ด้วย และในทางที่ควรจะเป็น ควรจะสอนตนเองก่อนสอนคนอื่น จึงจะได้ชื่อว่าเป็นพุทธสาวกที่แท้จริง

แต่ในเรื่องนี้ ผู้เขียนเพียงเสนอแนะ ไม่คาดหวังว่าจะได้เห็นการแก้ปัญหาอย่างจริงจังแต่อย่างใด ทั้งนี้ด้วยเหตุผลในเชิงตรรกะดังต่อไปนี้

1. ตราบใดที่คนยังมีกิเลส ไม่ว่าจะอยู่ในเพศและภาวะใด รวมไปถึงดำรงตำแหน่งใด ถ้าไม่มีหิริ และโอตตัปปะแล้ว อย่าหวังว่าเขาจะคิดได้เอง

2. ตราบใดที่วัตถุนิยมครอบงำจิตใจ คนจะทำผิดเพื่อลาภสักการะได้เสมอ

กำลังโหลดความคิดเห็น