นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายการเงินและบัญชี บมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ หรือ TTA เปิดเผยว่าบริษัทเชื่อมั่นว่าไตรมาส2/55 ( ม.ค. - มี.ค.) ผลงาน TTA จะพลิกมาเป็นกำไร จากงวดไตรมาส 1/55 ที่มีผลขาดทุนทั้งจากการดำเนินงานและรายการพิเศษ จึงทำให้ภาพรวมทั้งปีรายได้จะเติบโตขึ้น 10-15% จากการเติบโตในทุกธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจพลังงาน ซึ่งเชื่อว่าธุรกิจนี้จะมีสัดส่วนรายได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 50% ของรายได้ทั้งหมดภายใน 3ปี จากปีนี้ที่ขึ้นมาอยู่ในระดับ40%
" ภาพรวมเราไม่ห่วงเรื่องการขาดทุนจากงานดำเนินงานไตรมาส 1 ที่ 160 ล้านบาท เราเชื่อว่าจะฟื้นกลับมามีกำไรได้ ส่วนการขาดทุนในรายการพิเศษอีกกว่า 4 ร้อยล้านบาท เราคงต้องขอดูแนวโน้มการเติบโตก่อน ตอนนี้ธุรกิจพลังงานถือว่าเติบโตค่อนข้างดี ขณะที่ช่วงโลว์ซีซั่นในเขตมรสุม ยังมีการใช้เรือมากกว่า 50% ทำให้ในอนาคตจะมีโอกาสรับงานมากขึ้น"นางฐิติมา กล่าว
ขณะเดียวกันผู้บริหาร TTA มั่นใจว่าไตรมาส 3/55 ธุรกิจในส่วนของของ บมจ.เมอร์เมด มาริไทม์(เมอร์เมด) จะมีรายได้เข้ามาสนับสนุนการเติบโตของบริษัทมากขึ้น เนื่องจากอัตราการใช้เรือจะกลับไปสู่ปกติที่ 70% รวมทั้งได้รับผลบวกจากการต่อสัญญาให้บริการกับเชฟรอนในอินโดนีเซีย และบริษัทต้องขยายเส้นทางเพิ่มขึ้นพื่อให้ไกลกว่าเดิมเพื่อค่าระวางเรือที่สูงขึ้น
โดยปีนี้บริษัทคาดหวังจะขยายกองเรือเพิ่มขึ้นเป็น 20 ลำ จากปัจจุบันที่มีอยู่ 15 ลำ แบ่งเป็นการรับมอบเรือ 2 ลำที่สั่งต่อไว้ก่อนหน้านี้ และการพิจารณาจัดซื้อเรือมือสองเพิ่มขึ้นอีก 3 ลำ แต่เรื่องดังกล่าวต้องขึ้นอยู่กับภาวะของราคาตลาดซื้อขายด้วย อย่างไรก็ตามเป้าหมายของบริษัทคงไว้ที่ 30 ลำใน 3 ปี ซึ่งบริษัทอาจต้องหาพาร์ทเข้ามาร่วมทุนในอนาคตเพื่อให้ถึงเป้าหมาย
" ภาพรวมเราไม่ห่วงเรื่องการขาดทุนจากงานดำเนินงานไตรมาส 1 ที่ 160 ล้านบาท เราเชื่อว่าจะฟื้นกลับมามีกำไรได้ ส่วนการขาดทุนในรายการพิเศษอีกกว่า 4 ร้อยล้านบาท เราคงต้องขอดูแนวโน้มการเติบโตก่อน ตอนนี้ธุรกิจพลังงานถือว่าเติบโตค่อนข้างดี ขณะที่ช่วงโลว์ซีซั่นในเขตมรสุม ยังมีการใช้เรือมากกว่า 50% ทำให้ในอนาคตจะมีโอกาสรับงานมากขึ้น"นางฐิติมา กล่าว
ขณะเดียวกันผู้บริหาร TTA มั่นใจว่าไตรมาส 3/55 ธุรกิจในส่วนของของ บมจ.เมอร์เมด มาริไทม์(เมอร์เมด) จะมีรายได้เข้ามาสนับสนุนการเติบโตของบริษัทมากขึ้น เนื่องจากอัตราการใช้เรือจะกลับไปสู่ปกติที่ 70% รวมทั้งได้รับผลบวกจากการต่อสัญญาให้บริการกับเชฟรอนในอินโดนีเซีย และบริษัทต้องขยายเส้นทางเพิ่มขึ้นพื่อให้ไกลกว่าเดิมเพื่อค่าระวางเรือที่สูงขึ้น
โดยปีนี้บริษัทคาดหวังจะขยายกองเรือเพิ่มขึ้นเป็น 20 ลำ จากปัจจุบันที่มีอยู่ 15 ลำ แบ่งเป็นการรับมอบเรือ 2 ลำที่สั่งต่อไว้ก่อนหน้านี้ และการพิจารณาจัดซื้อเรือมือสองเพิ่มขึ้นอีก 3 ลำ แต่เรื่องดังกล่าวต้องขึ้นอยู่กับภาวะของราคาตลาดซื้อขายด้วย อย่างไรก็ตามเป้าหมายของบริษัทคงไว้ที่ 30 ลำใน 3 ปี ซึ่งบริษัทอาจต้องหาพาร์ทเข้ามาร่วมทุนในอนาคตเพื่อให้ถึงเป้าหมาย