เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หากใครได้ติดตามข่าวทางหน้าจอโทรทัศน์ ก็คงจะเห็นข่าวชาวญี่ปุ่นเดินขบวนประท้วงในโตเกียว เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในการผลิตไฟฟ้า ก่อนวันครบรอบ 1 ปีการเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเดือนมีนาคม โดยเหตุการณ์ในครั้งนั้นก่อให้เกิดการแพร่กระจายของสารกัมมันตรังสีที่รั่วไหลจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จนเป็นที่วิตกของชาวญี่ปุ่นโดยทั่วกัน (ที่มา :ญี่ปุ่นประท้วงต้านนิวเคลียร์ก่อนครบรอบ 1 ปีสึนามิถล่ม (12 ก.พ.2555), www.mcot.net )
เมื่อมองกลับมาในประเทศไทย ก็มีเหตุการณ์ลักษณะคล้ายๆกัน ที่ชาวบ้านในบางพื้นที่ออกมาชุมนุมต่อต้านการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในเขตพื้นที่ที่คาดว่าจะมีการสร้างโรงไฟฟ้า เนื่องจาก ประเทศไทยต้องหาแหล่งเชื้อเพลิงอื่นๆในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติมในอนาคต โรงไฟฟ้านิวเคลียร์จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งในปัจจุบันหากดูสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าในประเทศไทย จะพบว่า มีการพึ่งพิงก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า โดยที่ส่วนใหญ่มาจากแหล่งก๊าซในประเทศ ดังนั้น จึงมีความเสี่ยงต่อการผลิตไฟฟ้า หากเกิดปัญหาขัดข้องขึ้นกับแหล่งก๊าซธรรมชาติ อีกทั้งในอนาคตก๊าซธรรมชาติในประเทศก็จะหมดไป ดังนั้น ประเทศไทยจึงต้องมองหาเชื้อเพลิงอื่นๆ เพื่อความมั่นคงของการผลิตไฟฟ้าในประเทศ
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ หรือโรงไฟฟ้าถ่านหิน จึงน่าจะเป็นทางเลือกเพื่อรองรับการผลิตไฟฟ้าในอนาคตสำหรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หลังจากเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ญี่ปุ่นเมื่อปีที่แล้ว อาจก่อให้เกิดความกังวลในเรื่องความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ที่สร้างโรงไฟฟ้าได้ และคงต้องมีการทำความเข้าใจให้เป็นที่ยอมรับกันทุกฝ่ายต่อไป สำหรับโรงไฟฟ้าถ่านหินก็มีภาพลักษณ์ในอดีตที่หลายคนอาจกังวลในเรื่องมลภาวะที่เกิดจากการผลิต แต่ด้วยเทคโนโลยีการกำจัดมลภาวะที่เกิดจากการผลิตในปัจจุบัน โรงไฟฟ้าถ่านหินจึงอาจจะเป็นทางเลือกอย่างหนึ่งสำหรับการผลิตไฟฟ้าในประเทศไทยในอนาคต
สำหรับถ่านหินมีการซื้อขายมากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก และมีประเทศผู้ใช้กว่า 70 ประเทศ โดยในปีพ.ศ. 2553 การซื้อขายถ่านหินระหว่างประเทศมีประมาณ 1,083 ล้านตัน แต่คิดเพียง 16% ของการใช้ทั้งหมดเท่านั้น เนื่องจาก โดยส่วนใหญ่ประเทศผู้ผลิตจะมีการใช้ในประเทศ ส่วนในเรื่องราคา จากข้อมูลในอดีตพบว่า ราคาของถ่านหินจะต่ำกว่าและมีเสถียรภาพมากกว่าราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ (ที่มา:www.worldcoal.org ) และเช่นเดียวกับสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆในกลุ่มพลังงาน ถ่านหินมีการซื้อขายในตลาดซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้าในหลายๆประเทศ เช่น New York Mercantile Exchange (NYMEX) หรือ Intercontinental Exchange (ICE) เป็นต้น
ในอนาคตถ่านหินจึงน่าจะมีบทบาทสำคัญกับการผลิตไฟฟ้าในประเทศไม่มากก็น้อย แต่อย่างไรก็ตาม นอกจากการหาแหล่งเชื้อเพลิงอื่นๆมาใช้ผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติมในอนาคต สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ การใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัด ซึ่งถ้าใครได้ติดตามข่าวคราวที่ญี่ปุ่น จะพบว่า หลังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ปริมาณการใช้ไฟฟ้าของชาวญี่ปุ่นลดลงต่อเนื่องกันโดยตลอด เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว แม้ว่าจะอยู่ในช่วงฤดูหนาวที่อากาศหนาวเย็นกว่าปีก่อนก็ตาม (ที่มา : ญี่ปุ่นเผยปริมาณการผลิตไฟฟ้าเดือนธ.ค.ลดลงเป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกัน(17 ม.ค. 2555), สำนักข่าวอินโฟเควสท์) นอกจากในเรื่องของเทคโนโลยีต่างๆที่เราเรียนรู้จากประเทศญี่ปุ่น ในเรื่องวินัยของชาวญี่ปุ่นก็ถือเป็นสิ่งที่ควรเอาเป็นแบบอย่างไม่แพ้กัน
เมื่อมองกลับมาในประเทศไทย ก็มีเหตุการณ์ลักษณะคล้ายๆกัน ที่ชาวบ้านในบางพื้นที่ออกมาชุมนุมต่อต้านการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในเขตพื้นที่ที่คาดว่าจะมีการสร้างโรงไฟฟ้า เนื่องจาก ประเทศไทยต้องหาแหล่งเชื้อเพลิงอื่นๆในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติมในอนาคต โรงไฟฟ้านิวเคลียร์จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งในปัจจุบันหากดูสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าในประเทศไทย จะพบว่า มีการพึ่งพิงก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า โดยที่ส่วนใหญ่มาจากแหล่งก๊าซในประเทศ ดังนั้น จึงมีความเสี่ยงต่อการผลิตไฟฟ้า หากเกิดปัญหาขัดข้องขึ้นกับแหล่งก๊าซธรรมชาติ อีกทั้งในอนาคตก๊าซธรรมชาติในประเทศก็จะหมดไป ดังนั้น ประเทศไทยจึงต้องมองหาเชื้อเพลิงอื่นๆ เพื่อความมั่นคงของการผลิตไฟฟ้าในประเทศ
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ หรือโรงไฟฟ้าถ่านหิน จึงน่าจะเป็นทางเลือกเพื่อรองรับการผลิตไฟฟ้าในอนาคตสำหรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หลังจากเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ญี่ปุ่นเมื่อปีที่แล้ว อาจก่อให้เกิดความกังวลในเรื่องความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ที่สร้างโรงไฟฟ้าได้ และคงต้องมีการทำความเข้าใจให้เป็นที่ยอมรับกันทุกฝ่ายต่อไป สำหรับโรงไฟฟ้าถ่านหินก็มีภาพลักษณ์ในอดีตที่หลายคนอาจกังวลในเรื่องมลภาวะที่เกิดจากการผลิต แต่ด้วยเทคโนโลยีการกำจัดมลภาวะที่เกิดจากการผลิตในปัจจุบัน โรงไฟฟ้าถ่านหินจึงอาจจะเป็นทางเลือกอย่างหนึ่งสำหรับการผลิตไฟฟ้าในประเทศไทยในอนาคต
สำหรับถ่านหินมีการซื้อขายมากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก และมีประเทศผู้ใช้กว่า 70 ประเทศ โดยในปีพ.ศ. 2553 การซื้อขายถ่านหินระหว่างประเทศมีประมาณ 1,083 ล้านตัน แต่คิดเพียง 16% ของการใช้ทั้งหมดเท่านั้น เนื่องจาก โดยส่วนใหญ่ประเทศผู้ผลิตจะมีการใช้ในประเทศ ส่วนในเรื่องราคา จากข้อมูลในอดีตพบว่า ราคาของถ่านหินจะต่ำกว่าและมีเสถียรภาพมากกว่าราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ (ที่มา:www.worldcoal.org ) และเช่นเดียวกับสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆในกลุ่มพลังงาน ถ่านหินมีการซื้อขายในตลาดซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้าในหลายๆประเทศ เช่น New York Mercantile Exchange (NYMEX) หรือ Intercontinental Exchange (ICE) เป็นต้น
ในอนาคตถ่านหินจึงน่าจะมีบทบาทสำคัญกับการผลิตไฟฟ้าในประเทศไม่มากก็น้อย แต่อย่างไรก็ตาม นอกจากการหาแหล่งเชื้อเพลิงอื่นๆมาใช้ผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติมในอนาคต สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ การใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัด ซึ่งถ้าใครได้ติดตามข่าวคราวที่ญี่ปุ่น จะพบว่า หลังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ปริมาณการใช้ไฟฟ้าของชาวญี่ปุ่นลดลงต่อเนื่องกันโดยตลอด เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว แม้ว่าจะอยู่ในช่วงฤดูหนาวที่อากาศหนาวเย็นกว่าปีก่อนก็ตาม (ที่มา : ญี่ปุ่นเผยปริมาณการผลิตไฟฟ้าเดือนธ.ค.ลดลงเป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกัน(17 ม.ค. 2555), สำนักข่าวอินโฟเควสท์) นอกจากในเรื่องของเทคโนโลยีต่างๆที่เราเรียนรู้จากประเทศญี่ปุ่น ในเรื่องวินัยของชาวญี่ปุ่นก็ถือเป็นสิ่งที่ควรเอาเป็นแบบอย่างไม่แพ้กัน
