ภาพที่ปรากฏเหมือนคนร้ายประกอบระเบิดเตรียมการไปก่อการแล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้นก่อน
ภาพที่ปรากฏสอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในจอร์เจีย อินเดีย และในไทยเองก่อนหน้านี้ไม่นาน สอดคล้องกับการเตือนล่วงหน้ารวมทั้งการให้ข่าวที่ตามมาต่อเนื่องของเครือข่ายประเทศมหาอำนาจตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและอิสราเอล และสอดคล้องกับพลอตเรื่องหนังฮอลลีวูดที่เราดูเรื่องแล้วเรื่องเล่าต่อเนื่องมา
ภาพที่ปรากฏเสมือนอิหร่านเป็นคนร้ายของโลก!
เหตุการณ์พระสยามเทวาธิราชช่วยเหลือประเทศไทยอีกครั้งหนึ่งเมื่อสัปดาห์ก่อนทำให้ผมย้อนนึกถึงเหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้เมื่อ 18 ปีก่อนที่พระผู้เป็นเทวดารักษาสยามประเทศนี้ได้ออกแรงช่วยเหลือไว้หนักหนาสาหัสกว่าครั้งนี้อีก เพราะครั้งนั้นไม่ใช่แค่ระเบิดสังหารเป้าหมายบุคคล แต่เป็นระเบิดสำหรับก่อวินาศกรรมต่อสถานที่และชีวิตบุคคลกินอาณาบริเวณกว้างถึง 2 ตารางกิโลเมตร
นั่นก็อิหร่านเหมือนกัน!!
เช้าวันหนึ่งในเดือนมีนาคม 2537 รถบรรทุกหกล้อเล็กคันหนึ่งขับออกมาจากที่จอดรถห้างเซ็นทรัลชิดลม คนขับกับเพื่อนที่นั่งมาเป็นชาวต่างชาติหน้าตากระเดียดไปทางตะวันออกกลาง ระหว่างเลี้ยวบังเอิญไปเฉี่ยวชนมอเตอร์ไซค์รับจ้าง คนขับกับเพื่อนต้องลงมาเจรจา มอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ระดมพรรคพวกมากดดันเรียกร้องค่าเสียหาย คนขับรถบรรทุกขอจ่ายเป็นเงินดอลลาร์อเมริกัน มอเตอร์ไซค์รับจ้างไม่รับ คนขับกับเพื่อนขอตัวไปแลกเงินไทย แต่แล้วก็เดินหายไปไม่กลับมาอีก เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินีสถานที่เกิดเหตุต้องขับรถบรรทุกไปจอดไว้ที่ สน.ลุมพินีไม่ไกลจากจุดเกิดเหตุมากนัก ต่อมาอีกหลายวันมีผู้ประกอบการรถเช่ามาสอบถามเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินีเกี่ยวกับรถบรรทุกหกล้อที่หายไป ก็พบรถคันนั้นพอดี แต่สงสัยว่าแท็งก์น้ำที่บรรทุกอยู่มาจากไหน เจ้าหน้าที่ตำรวจขึ้นไปเปิดแท็งก์น้ำ ปรากฏว่าช็อกเมื่อพบศพคนขับคนไทยที่ขับรถคันนี้อยู่ประจำ และพบส่วนประกอบระเบิดปุ๋ยแอมโมเนียมไนเตรตผสมกับน้ำมันโซล่าหนักกว่า 1 ตัน มีระเบิดซีโฟร์ขนาด 2 ปอนด์เป็นตัวจุดระเบิด มีสวิตช์กดระเบิดอยู่ในรถ....
การสอบสวนพบว่าชาวตะวันออกกลางไปเช่ารถคันนี้มาเมื่อหลายวันก่อน เจ้าของขอให้เอาคนขับคนไทยไปด้วย รถคันนี้ไปจอดค้างคืนอยู่ในที่จอดรถห้างเซ็นทรัลชิดลมอยู่คืนหนึ่งก่อนจะขับออกมาเจออุบัติเหตุกิ๊กก๊อกตอนเช้า...
คาดว่าเป้าหมายของคาร์บอมบ์ครั้งนั้นอยู่ที่สถานทูตอิสราเอลที่ขณะนั้นอยู่ห่างห้างเซ็นทรัลชิดลมไปแยกเดียวเท่านั้น...
ต่อมาในปี 2538 มีการจับผู้ต้องสงสัยเป็นชาวอิหร่าน 3 คน ปล่อยตัวไป 2 คนในชั้นสอบสวน คงเหลือฟ้องร้องดำเนินคดี 1 คน....
2 เหตุการณ์ในรอบ 18 ปีมีข้อเท็จจริงสอดรับกันว่าอิหร่านเป็นคนร้าย!
คดีปัจจุบันก็ว่ากันไป
คดีเมื่อ 18 ปีก่อนที่น้อยคนจะได้ติดตามรายละเอียด โดยเฉพาะรายละเอียดที่ไม่เป็นข่าว ศาลชั้นต้นพิพากษาประหารชีวิตจำเลยชาวอิหร่าน จำเลยที่มีนายสมชาย นีละไพจิตรเป็นทนายความอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ลงโทษประหารชีวิตตามศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา
ศาลฎีกายกฟ้อง!
ก่อนที่ศาลฎีกาจะยกฟ้องมีเหตุการณ์ที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก คือจำเลยชาวอิหร่านทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ข้อมูลที่ผมรับรู้มาตั้งแต่ปี 2547 จากนายตำรวจสันติบาลระดับพันตำรวจเอกที่เชี่ยวชาญงานการข่าวในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มายาวนาน และมีเครือข่ายสายข่าวทั้งกับอดีตชาวพรรคคอมมิวนิสต์ไทย, อดีตชาวพรรคคอมมิวนิสต์มลายา และเครือข่ายขบวนการแบ่งแยกดินแดน ก็คือ ในระหว่างการดำเนินคดีนี้มีการร้องขอความเป็นธรรมจากจำเลยจากอิหร่านในหลายรูปแบบจนเขาเข้าไปร่วมดำเนินการ จนเกิดเอะใจในพลอตเรื่อง ที่ดูภาพรวมแม้สมจริง แต่เมื่อเจาะลงไปเฉพาะจุด กลับพบเห็นสภาพการณ์ที่ไม่สมจริง ขอพูดโดยสรุปว่าพวกเขามีความเห็นว่า อาจเป็นการพยายามจัดฉากว่าจะมีคาร์บอมบ์ให้ถูกจับได้โดยบังเอิญโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจไทย
คือมีกระบวนการเตรียมการคาร์บอมบ์จริง มีคนอิหร่านจริง มีอุปกรณ์พร้อมจริง แต่ไม่ได้ประสงค์ให้เกิดระเบิดจริง
ในทางการข่าวยังได้ตามติดไปถึงจารชนเครือข่ายตะวันตกคนหนึ่งที่มีความเชี่ยวชาญด้านระเบิด!
เมื่อเห็นเช่นนี้จึงได้ให้ความช่วยเหลือจำเลยชาวอิหร่านคนนั้นในทางลับหลายต่อหลายประการด้วยกัน รวมทั้งการยื่นถวายฎีกาแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และการให้ความเป็นธรรมในการสืบพยาน
ก่อนเดินทางกลับประเทศนอกจากจะแสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้งแล้ว จำเลยชาวอิหร่านคนนั้นและเครือข่ายยังได้ให้ข่าวสารข้อมูลในคดีสังหารเจ้าหน้าที่สถานทูตซาอุดีอาระเบียเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2532 และวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2533 อีกต่างหาก
เรื่องสังหารเจ้าหน้าที่การทูตซาอุดีอาระเบียเป็นมหากาพย์ที่จะต้องหาเวลาเล่าให้ฟังกันในภายหลัง
ข้อมูลที่ผมเคยรับรู้มีเท่านี้ วันก่อนในการประชุมคณะกรรมาธิการของวุฒิสภาชุดหนึ่งได้สอบถามกับอดีตเบอร์หนึ่งของสำนักข่าวกรองแห่งชาติที่เข้ามาเป็นกรรมาธิการ ท่านได้กรุณาให้ข้อมูลเพิ่มเติม แม้จะไม่เหมือนเสียทีเดียวในบทสรุป แต่ที่เหมือนกันแน่ๆ คือจำเลยชาวอิหร่านคนนั้นไม่ใช่ตัวจริง เป็นแพะรับบาป การกระทำมีจริงแต่ใครจะเป็นคนทำตราบใดที่จับกุมผู้ต้องหาตัวจริงไม่ได้ก็สุดแท้แต่ความเชื่อของแต่ละคน
อิหร่านจะเป็นคนร้ายของโลกหรือไม่?
ถ้าเรามีฐานคิดฐานข้อมูลที่นอกเหนือจากหนังฮอลลีวูดและข่าวจากเครือข่ายตะวันตกแล้ว ตอบคำถามนี้ไม่ได้ง่ายๆ แน่ โดยเฉพาะในบริบทการเมืองเรื่องน้ำมันและแหล่งพลังงาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้วงเวลาที่สหรัฐอเมริกาและเครือข่ายตะวันตกมุ่งเข้ามายังเอเชียอาคเนย์อีกครั้งเพราะเป็นแหล่งน้ำมันและพลังงานใหญ่ ก็ให้บังเอิญมาเกิดเหตุเกิดภาพอิหร่านใช้ประเทศไทยเป็นสนามรบขึ้นมาอีกครั้ง ในขณะที่เหตุการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยิ่งนานวันยิ่งรุนแรง
เรื่องนี้ต้องคิดต้องมองให้รอบคอบ
อย่าคิดอย่ามองชั้นเดียว และอย่าคิดอย่ามองตามแต่ที่สหรัฐอเมริกาและอิสราเอลชี้ให้เท่านั้น
อย่าลืมว่าแต่เดิม ราชสำนักพระเจ้ากรุงสยามไว้วางใจ ชาวเปอร์เซียมุสลิมนิกายชีอะห์มาช้านาน ต้นวงศ์วานว่านเครือเข้ามาอาศัยร่มพระบรมโพธิสมภารตั้งแต่แผ่นดินพระเจ้าทรงธรรมแห่งกรุงศรีอยุธยา รับใช้ราชสำนักมาตลอด วงศ์วานว่านเครือบางท่านเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ และก่อนหน้าปี 2475 ผู้ดำรงตำแหน่งประมุขศาสนาอิสลามในประเทศไทย เป็นธรรมเนียมว่าพระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งจากผู้นำมุสลิมชีอะห์เท่านั้น
และอย่าได้ลืมเชียวว่า...
อภิมหาอำนาจศูนย์กลางโลกทุนนิยมอย่างสหรัฐอเมริกานั้นเป็น “สัตว์เลี้ยงลูกด้วยวิกฤต” และ “บริโภควิกฤตเป็นภักษาหาร!!”
ภาพที่ปรากฏสอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในจอร์เจีย อินเดีย และในไทยเองก่อนหน้านี้ไม่นาน สอดคล้องกับการเตือนล่วงหน้ารวมทั้งการให้ข่าวที่ตามมาต่อเนื่องของเครือข่ายประเทศมหาอำนาจตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและอิสราเอล และสอดคล้องกับพลอตเรื่องหนังฮอลลีวูดที่เราดูเรื่องแล้วเรื่องเล่าต่อเนื่องมา
ภาพที่ปรากฏเสมือนอิหร่านเป็นคนร้ายของโลก!
เหตุการณ์พระสยามเทวาธิราชช่วยเหลือประเทศไทยอีกครั้งหนึ่งเมื่อสัปดาห์ก่อนทำให้ผมย้อนนึกถึงเหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้เมื่อ 18 ปีก่อนที่พระผู้เป็นเทวดารักษาสยามประเทศนี้ได้ออกแรงช่วยเหลือไว้หนักหนาสาหัสกว่าครั้งนี้อีก เพราะครั้งนั้นไม่ใช่แค่ระเบิดสังหารเป้าหมายบุคคล แต่เป็นระเบิดสำหรับก่อวินาศกรรมต่อสถานที่และชีวิตบุคคลกินอาณาบริเวณกว้างถึง 2 ตารางกิโลเมตร
นั่นก็อิหร่านเหมือนกัน!!
เช้าวันหนึ่งในเดือนมีนาคม 2537 รถบรรทุกหกล้อเล็กคันหนึ่งขับออกมาจากที่จอดรถห้างเซ็นทรัลชิดลม คนขับกับเพื่อนที่นั่งมาเป็นชาวต่างชาติหน้าตากระเดียดไปทางตะวันออกกลาง ระหว่างเลี้ยวบังเอิญไปเฉี่ยวชนมอเตอร์ไซค์รับจ้าง คนขับกับเพื่อนต้องลงมาเจรจา มอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ระดมพรรคพวกมากดดันเรียกร้องค่าเสียหาย คนขับรถบรรทุกขอจ่ายเป็นเงินดอลลาร์อเมริกัน มอเตอร์ไซค์รับจ้างไม่รับ คนขับกับเพื่อนขอตัวไปแลกเงินไทย แต่แล้วก็เดินหายไปไม่กลับมาอีก เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินีสถานที่เกิดเหตุต้องขับรถบรรทุกไปจอดไว้ที่ สน.ลุมพินีไม่ไกลจากจุดเกิดเหตุมากนัก ต่อมาอีกหลายวันมีผู้ประกอบการรถเช่ามาสอบถามเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินีเกี่ยวกับรถบรรทุกหกล้อที่หายไป ก็พบรถคันนั้นพอดี แต่สงสัยว่าแท็งก์น้ำที่บรรทุกอยู่มาจากไหน เจ้าหน้าที่ตำรวจขึ้นไปเปิดแท็งก์น้ำ ปรากฏว่าช็อกเมื่อพบศพคนขับคนไทยที่ขับรถคันนี้อยู่ประจำ และพบส่วนประกอบระเบิดปุ๋ยแอมโมเนียมไนเตรตผสมกับน้ำมันโซล่าหนักกว่า 1 ตัน มีระเบิดซีโฟร์ขนาด 2 ปอนด์เป็นตัวจุดระเบิด มีสวิตช์กดระเบิดอยู่ในรถ....
การสอบสวนพบว่าชาวตะวันออกกลางไปเช่ารถคันนี้มาเมื่อหลายวันก่อน เจ้าของขอให้เอาคนขับคนไทยไปด้วย รถคันนี้ไปจอดค้างคืนอยู่ในที่จอดรถห้างเซ็นทรัลชิดลมอยู่คืนหนึ่งก่อนจะขับออกมาเจออุบัติเหตุกิ๊กก๊อกตอนเช้า...
คาดว่าเป้าหมายของคาร์บอมบ์ครั้งนั้นอยู่ที่สถานทูตอิสราเอลที่ขณะนั้นอยู่ห่างห้างเซ็นทรัลชิดลมไปแยกเดียวเท่านั้น...
ต่อมาในปี 2538 มีการจับผู้ต้องสงสัยเป็นชาวอิหร่าน 3 คน ปล่อยตัวไป 2 คนในชั้นสอบสวน คงเหลือฟ้องร้องดำเนินคดี 1 คน....
2 เหตุการณ์ในรอบ 18 ปีมีข้อเท็จจริงสอดรับกันว่าอิหร่านเป็นคนร้าย!
คดีปัจจุบันก็ว่ากันไป
คดีเมื่อ 18 ปีก่อนที่น้อยคนจะได้ติดตามรายละเอียด โดยเฉพาะรายละเอียดที่ไม่เป็นข่าว ศาลชั้นต้นพิพากษาประหารชีวิตจำเลยชาวอิหร่าน จำเลยที่มีนายสมชาย นีละไพจิตรเป็นทนายความอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ลงโทษประหารชีวิตตามศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา
ศาลฎีกายกฟ้อง!
ก่อนที่ศาลฎีกาจะยกฟ้องมีเหตุการณ์ที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก คือจำเลยชาวอิหร่านทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ข้อมูลที่ผมรับรู้มาตั้งแต่ปี 2547 จากนายตำรวจสันติบาลระดับพันตำรวจเอกที่เชี่ยวชาญงานการข่าวในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มายาวนาน และมีเครือข่ายสายข่าวทั้งกับอดีตชาวพรรคคอมมิวนิสต์ไทย, อดีตชาวพรรคคอมมิวนิสต์มลายา และเครือข่ายขบวนการแบ่งแยกดินแดน ก็คือ ในระหว่างการดำเนินคดีนี้มีการร้องขอความเป็นธรรมจากจำเลยจากอิหร่านในหลายรูปแบบจนเขาเข้าไปร่วมดำเนินการ จนเกิดเอะใจในพลอตเรื่อง ที่ดูภาพรวมแม้สมจริง แต่เมื่อเจาะลงไปเฉพาะจุด กลับพบเห็นสภาพการณ์ที่ไม่สมจริง ขอพูดโดยสรุปว่าพวกเขามีความเห็นว่า อาจเป็นการพยายามจัดฉากว่าจะมีคาร์บอมบ์ให้ถูกจับได้โดยบังเอิญโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจไทย
คือมีกระบวนการเตรียมการคาร์บอมบ์จริง มีคนอิหร่านจริง มีอุปกรณ์พร้อมจริง แต่ไม่ได้ประสงค์ให้เกิดระเบิดจริง
ในทางการข่าวยังได้ตามติดไปถึงจารชนเครือข่ายตะวันตกคนหนึ่งที่มีความเชี่ยวชาญด้านระเบิด!
เมื่อเห็นเช่นนี้จึงได้ให้ความช่วยเหลือจำเลยชาวอิหร่านคนนั้นในทางลับหลายต่อหลายประการด้วยกัน รวมทั้งการยื่นถวายฎีกาแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และการให้ความเป็นธรรมในการสืบพยาน
ก่อนเดินทางกลับประเทศนอกจากจะแสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้งแล้ว จำเลยชาวอิหร่านคนนั้นและเครือข่ายยังได้ให้ข่าวสารข้อมูลในคดีสังหารเจ้าหน้าที่สถานทูตซาอุดีอาระเบียเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2532 และวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2533 อีกต่างหาก
เรื่องสังหารเจ้าหน้าที่การทูตซาอุดีอาระเบียเป็นมหากาพย์ที่จะต้องหาเวลาเล่าให้ฟังกันในภายหลัง
ข้อมูลที่ผมเคยรับรู้มีเท่านี้ วันก่อนในการประชุมคณะกรรมาธิการของวุฒิสภาชุดหนึ่งได้สอบถามกับอดีตเบอร์หนึ่งของสำนักข่าวกรองแห่งชาติที่เข้ามาเป็นกรรมาธิการ ท่านได้กรุณาให้ข้อมูลเพิ่มเติม แม้จะไม่เหมือนเสียทีเดียวในบทสรุป แต่ที่เหมือนกันแน่ๆ คือจำเลยชาวอิหร่านคนนั้นไม่ใช่ตัวจริง เป็นแพะรับบาป การกระทำมีจริงแต่ใครจะเป็นคนทำตราบใดที่จับกุมผู้ต้องหาตัวจริงไม่ได้ก็สุดแท้แต่ความเชื่อของแต่ละคน
อิหร่านจะเป็นคนร้ายของโลกหรือไม่?
ถ้าเรามีฐานคิดฐานข้อมูลที่นอกเหนือจากหนังฮอลลีวูดและข่าวจากเครือข่ายตะวันตกแล้ว ตอบคำถามนี้ไม่ได้ง่ายๆ แน่ โดยเฉพาะในบริบทการเมืองเรื่องน้ำมันและแหล่งพลังงาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้วงเวลาที่สหรัฐอเมริกาและเครือข่ายตะวันตกมุ่งเข้ามายังเอเชียอาคเนย์อีกครั้งเพราะเป็นแหล่งน้ำมันและพลังงานใหญ่ ก็ให้บังเอิญมาเกิดเหตุเกิดภาพอิหร่านใช้ประเทศไทยเป็นสนามรบขึ้นมาอีกครั้ง ในขณะที่เหตุการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยิ่งนานวันยิ่งรุนแรง
เรื่องนี้ต้องคิดต้องมองให้รอบคอบ
อย่าคิดอย่ามองชั้นเดียว และอย่าคิดอย่ามองตามแต่ที่สหรัฐอเมริกาและอิสราเอลชี้ให้เท่านั้น
อย่าลืมว่าแต่เดิม ราชสำนักพระเจ้ากรุงสยามไว้วางใจ ชาวเปอร์เซียมุสลิมนิกายชีอะห์มาช้านาน ต้นวงศ์วานว่านเครือเข้ามาอาศัยร่มพระบรมโพธิสมภารตั้งแต่แผ่นดินพระเจ้าทรงธรรมแห่งกรุงศรีอยุธยา รับใช้ราชสำนักมาตลอด วงศ์วานว่านเครือบางท่านเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ และก่อนหน้าปี 2475 ผู้ดำรงตำแหน่งประมุขศาสนาอิสลามในประเทศไทย เป็นธรรมเนียมว่าพระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งจากผู้นำมุสลิมชีอะห์เท่านั้น
และอย่าได้ลืมเชียวว่า...
อภิมหาอำนาจศูนย์กลางโลกทุนนิยมอย่างสหรัฐอเมริกานั้นเป็น “สัตว์เลี้ยงลูกด้วยวิกฤต” และ “บริโภควิกฤตเป็นภักษาหาร!!”