เป็นประเด็นฉาวโฉ่ ร้อนแรง เม้าท์กันสนั่นไปทั้งโลก
ภายหลังปฏิบัติการ ยิ่งลักษณ์ ณ โฟร์ซีซั่น ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว.5 เดินทางไปทำภารกิจส่วนตัว โดยไม่ให้ผู้สื่อข่าวติดตามทำข่าวเหมือนอย่างเคย ใช้เวลาราชการที่ ส.ส.กำลังประชุมสภา อย่างเคร่งเครียด เดินทางไปที่โรงแรมโฟร์ซีซั่น ย่านราชดำริ
โดยไม่รู้เหตุผล ว่า ไปทำอะไรกันแน่
แต่ที่รู้แน่ เห็นภาพชัด คือความไม่เหมาะสม ถูกตำหนิติเตียนจากหลายฝ่าย
เรื่องนี้เป็นประเด็นขึ้นมา เมื่อบังเอิญโรงแรมที่ว่านี้ เป็นสถานที่ ที่ “เอกยุทธ อันชันบุตร” นักธุรกิจการเงินและอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของเว็บไซต์ไทยอินไซด์เดอร์ ชอบไปนั่งจิบกาแฟอยู่เสมอๆ แต่วันเดียวกันนั้นเอง นายเอกยุทธ ได้ถูกทำร้ายร่างกายจนหน้าปูด บวม ก่อนออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าว
ตั้งข้อสงสัยว่า ตัวเองถูกทำร้ายร่างกายจากอดีตทีมงานของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นักโทษผู้หลบหนีคดีอาญาอยู่ต่างประเทศ ภายหลัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินทางออกจากโรงแรมเพียง 10 นาที
พร้อมทิ้งปริศนาถึงบุคคลที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไปพบ ที่ชั้น 7 ของโรงแรมในวันนั้น
เดิมทีประเด็นอยู่ที่ใครทำร้ายร่างกายนายเอกยุทธ ใช่เครือข่าย ของ พ.ต.ท.ทักษิณ จริงหรือไม่ เป็นทีมงานของ “ยิ่งลักษณ์” หรือไม่ เกิดกรณีหมั่นไส้นายเอกยุทธ ที่วิพากษ์วิจารณ์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มาตลอดหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้ไม่นาน นายเอกยุทธก็ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ยิ่งลักษณ์อย่างรุนแรง โดยพาดพิงไปถึงถิ่นเกิด เหมารวมผู้หญิงภาคเหนือ จนถูกฟ้องร้อง และรวมตัวประท้วงยกใหญ่กันมาครั้งหนึ่งแล้ว
เรื่องนั้นก็เป็นสิ่งที่ต้องติดตามสืบสวนข้อเท็จจริงกันต่อไป แต่ดูเหมือนกระแสสังคมจะไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้ หันไปซุบซิบนินทาว่า นายกรัฐมนตรี ไปทำภารกิจลับอะไร กับใคร ที่นั่น?
ซึ่งตอนหลังนายเอกยุทธก็เป็นคนแฉอีกว่า เวลาไล่เลี่ยกันที่นายกรัฐมนตรีออกจากโรงแรม มีคนพบเห็น นักธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ คนหนึ่ง นามว่า เศรษฐา ทวีสิน พูดทิ้งปมไว้เท่านี้ ก็ทำให้สังคมอยากรู้อยากเห็นว่าเขาเป็นใครกันแน่
แต่ในแวดวงผู้คลุกวงในการเมืองและธุรกิจ ก็พอจะต่อ จิ๊กซอว์ ได้ไม่ยาก เพราะเป็นข่าวซุบซิบสไตล์ไฮโซมาแล้ว ว่า ทั้ง 2 คน มีความสนิทสนม??
จนตอนนี้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เลยเถิดไปในทำนอง “Meetingทับท้อง”ไปโน่น เม้าท์กันสนุกปากตามประสาชาวบ้านร้านตลาด จนลิ่วล้อของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย ต้องดาหน้าออกมาดับกระแสแก้ข่าวเป็นพัลวัน ไม่เว้นแม้แต่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับสายตรงให้ชี้แจงในเรื่องนี้ก็อธิบายว่านายกรัฐมนตรีไปประชุม?? ซึ่งก็ดูจะมีน้ำหนัก พอฟังได้
แต่สุดท้ายก็พลาดตกไม้ตายกันเอง เพราะไม่ได้เตี๊ยมกันมาก่อน นายกรัฐมนตรีบอกว่า ไม่ได้ไปประชุม แต่ไปพบใครบางคน ซึ่งดิฉันเองมีสิทธิ์ที่จะไปพบใครก็ได้!!
เท่านั้นเองแทนที่เรื่องจะจบ กลับสร้างความสงสัยมากขึ้นไปอีก พวกอยากรู้อยากเห็นก็ไปขุดคุ้ย สืบค้นประวัติเก่าๆ เอามาเม้าท์กันเป็นที่ฮือฮาไปอีก..
อย่างไรก็แล้วแต่ มีการตั้งข้อสังเกตเช่นกันว่า ปฏิบัติภารกิจ ว.5 ณ ชั้น 7 โรงแรมโฟร์ซีซั่น วันนั้น อาจเป็นการนัดหารือเรื่องธุรกิจที่ดินบางอย่างหรือไม่ เพราะเร็วๆ นี้รัฐบาลจะทำการสำรวจพื้นที่สร้างฟลัดเวย์ แก้มลิง ตามแผนบริหารจัดการน้ำทั้งระบบที่ทำกันมาต่อเนื่อง
ถ้าหากมีใครรู้ล่วงหน้าก่อนว่า รัฐบาลจะใช้จุดไหนทำฟลัดเวย์ แก้มลิง แล้วไปกว้านซื้อที่ดินเหล่านั้น เมื่อถึงเวลาที่รัฐบาลจะขอเวนคืนที่ดิน อาจทำกำไรได้มหาศาล ดังนั้นจึงมีการตั้งข้อสงสัยในเรื่อง “ผลประโยชน์ทับซ้อน”เช่นกัน
เรื่องนี้ทางที่ดี “ยิ่งลักษณ์”ต้องออกมาไขความกระจ่างให้สังคม ว่าปฏิบัติการ ว.5 ข้อเท็จจริงคืออะไรแน่ ไม่อย่างนั้นสังคมก็จะตั้งคำถามอยู่ตลอด และจะทำให้ภาพลักษณ์ของ “ยิ่งลักษณ์” ยิ่งเสื่อมเสีย ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์จนเครดิตลดลงไปเรื่อยๆ
อาจถึงขั้นไม่เป็นอันทำการทำงาน ที่เคยหลุดๆ หลงๆ ก็จะยิ่งหลุดมากขึ้น อาจถึงขั้นหลุดโลกไปเลย ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย ที่กำลังเดินเกมอะไรต่อมิอะไรหลายอย่าง
ทั้งเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การเสนอกฎหมายปรองดอง อาจได้รับผลกระทบกระเทือนไปหมด นับเป็นเรื่องน่าหนักใจอย่างยิ่ง ของทั้งตัวนายกฯเองและเครือข่ายรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
ถือเป็นก้าวที่พลาดพลั้งอย่างแรง เพราะในห้วงเวลาเดียวกัน รัฐบาลอุตส่าห์ดีลงาน จนประสบผลสำเร็จสามารถเรียนเชิญ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ พร้อมด้วยองคมนตรี มาร่วมงาน “รักเมืองไทย เดินหน้าประเทศไทย” สร้างภาพสมานฉันท์ได้แล้ว แต่กลับโดนกลบข่าวด้วยเรื่องฉาวโฉ่นี้
งานใหญ่หรูเลิศอลังการ “รักเมืองไทย เดินหน้าประเทศไทย” ดูจะไร้ความหมายไปโดยปริยาย เพราะไม่ถูกปั่นกระแส กระพือข่าวเท่าที่ควร นั่นเพราะบางส่วนเชื่อว่ามันเป็นเพียงการสร้างภาพปรองดองเท่านั้น แต่เนื้อในแก่นแท้แล้ว
สถานการณ์ยังคงดำรงอยู่เช่นเดิม ความขัดแย้งที่อยู่ ณ เบื้องหลัง ยังไม่มีวันจางหายไปง่ายๆ
เมื่องานนี้ไม่ปรากฏอะไรที่เป็นเชิงรูปธรรมชัดเจน ไม่มีการขยายผลต่อเนื่อง สังคมก็หลงลืมไปเร็ววัน ยิ่งมีข่าว “ยิ่งลักษณ์ ณ โฟร์ซีซั่น” เข้าไปอีก อะไรๆ ก็ไม่เป็นที่จดจำ เรื่องดีๆ ไม่มีให้นึกถึง เรื่องที่สังคมสนใจ ใคร่รู้ ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องที่ลึกๆ ลับๆ อะไรทำนองนี้แหละ
ฉะนั้นก็ต้องถือเป็นการบ้านข้อใหญ่ที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ จะต้องไปขบคิดว่าจะออกตัวมาบอกความจริงกับสังคมอย่างไร หรือจะเลือกวิธีหลงลืมมันไป ให้เวลาเยียวยาดับกระแสให้มอดลง
เพราะช่วงเวลานี้ เป็นเวลาที่ประจวบเหมาะพอดีที่ “ยิ่งลักษณ์” จะเดินสายตะลอนทัวร์ ไปต่างจังหวัด แบบ ลองไทม์ ทั้งสัปดาห์ ไปวางแผนบริหารจัดการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม นายกฯจะใช้จังหวะเวลานี้ดับกระแสสังคมด้วยการสร้างภาพการทำงานได้หรือไม่ ยังเป็นเรื่องที่น่าติดตาม
อย่างไรก็แล้วแต่ ความเป็นนายกรัฐมนตรี ความที่เป็นบุคคลสาธารณะ ทุกก้าวย่างต้องถูกสปอตไลท์สอดส่ายจากทุกภาคส่วนของสังคม นายกฯควรที่จะทำทุกอย่างแบบเปิดเผย โปร่งใส ให้ควรค่าแก่การเป็นผู้นำประเทศ และเป็นแบบอย่างที่ดีของทุกคนในประเทศ
หากเทียบเคียงจากนานาอารยประเทศที่เจริญแล้ว ก็จะเห็นเรื่องเหล่านี้ชัดเจน บางประเทศ มีเรื่องฉาวโฉ่ มีเงื่อนงำนิดเดียว ผู้นำประเทศก็แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกมานักต่อนักแล้ว
ตลอดเวลานับเนื่องจากนี้ไปในตำแหน่งผู้นำสูงสุดของประเทศ “ยิ่งลักษณ์” น่าจะทำอะไรที่เปิดเผย โปร่งใส ชัดเจน อย่าทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในวงสังคมจนฉาวโฉ่เช่นนี้อีก!!
ภายหลังปฏิบัติการ ยิ่งลักษณ์ ณ โฟร์ซีซั่น ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว.5 เดินทางไปทำภารกิจส่วนตัว โดยไม่ให้ผู้สื่อข่าวติดตามทำข่าวเหมือนอย่างเคย ใช้เวลาราชการที่ ส.ส.กำลังประชุมสภา อย่างเคร่งเครียด เดินทางไปที่โรงแรมโฟร์ซีซั่น ย่านราชดำริ
โดยไม่รู้เหตุผล ว่า ไปทำอะไรกันแน่
แต่ที่รู้แน่ เห็นภาพชัด คือความไม่เหมาะสม ถูกตำหนิติเตียนจากหลายฝ่าย
เรื่องนี้เป็นประเด็นขึ้นมา เมื่อบังเอิญโรงแรมที่ว่านี้ เป็นสถานที่ ที่ “เอกยุทธ อันชันบุตร” นักธุรกิจการเงินและอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของเว็บไซต์ไทยอินไซด์เดอร์ ชอบไปนั่งจิบกาแฟอยู่เสมอๆ แต่วันเดียวกันนั้นเอง นายเอกยุทธ ได้ถูกทำร้ายร่างกายจนหน้าปูด บวม ก่อนออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าว
ตั้งข้อสงสัยว่า ตัวเองถูกทำร้ายร่างกายจากอดีตทีมงานของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นักโทษผู้หลบหนีคดีอาญาอยู่ต่างประเทศ ภายหลัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินทางออกจากโรงแรมเพียง 10 นาที
พร้อมทิ้งปริศนาถึงบุคคลที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไปพบ ที่ชั้น 7 ของโรงแรมในวันนั้น
เดิมทีประเด็นอยู่ที่ใครทำร้ายร่างกายนายเอกยุทธ ใช่เครือข่าย ของ พ.ต.ท.ทักษิณ จริงหรือไม่ เป็นทีมงานของ “ยิ่งลักษณ์” หรือไม่ เกิดกรณีหมั่นไส้นายเอกยุทธ ที่วิพากษ์วิจารณ์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มาตลอดหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้ไม่นาน นายเอกยุทธก็ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ยิ่งลักษณ์อย่างรุนแรง โดยพาดพิงไปถึงถิ่นเกิด เหมารวมผู้หญิงภาคเหนือ จนถูกฟ้องร้อง และรวมตัวประท้วงยกใหญ่กันมาครั้งหนึ่งแล้ว
เรื่องนั้นก็เป็นสิ่งที่ต้องติดตามสืบสวนข้อเท็จจริงกันต่อไป แต่ดูเหมือนกระแสสังคมจะไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้ หันไปซุบซิบนินทาว่า นายกรัฐมนตรี ไปทำภารกิจลับอะไร กับใคร ที่นั่น?
ซึ่งตอนหลังนายเอกยุทธก็เป็นคนแฉอีกว่า เวลาไล่เลี่ยกันที่นายกรัฐมนตรีออกจากโรงแรม มีคนพบเห็น นักธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ คนหนึ่ง นามว่า เศรษฐา ทวีสิน พูดทิ้งปมไว้เท่านี้ ก็ทำให้สังคมอยากรู้อยากเห็นว่าเขาเป็นใครกันแน่
แต่ในแวดวงผู้คลุกวงในการเมืองและธุรกิจ ก็พอจะต่อ จิ๊กซอว์ ได้ไม่ยาก เพราะเป็นข่าวซุบซิบสไตล์ไฮโซมาแล้ว ว่า ทั้ง 2 คน มีความสนิทสนม??
จนตอนนี้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เลยเถิดไปในทำนอง “Meetingทับท้อง”ไปโน่น เม้าท์กันสนุกปากตามประสาชาวบ้านร้านตลาด จนลิ่วล้อของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย ต้องดาหน้าออกมาดับกระแสแก้ข่าวเป็นพัลวัน ไม่เว้นแม้แต่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับสายตรงให้ชี้แจงในเรื่องนี้ก็อธิบายว่านายกรัฐมนตรีไปประชุม?? ซึ่งก็ดูจะมีน้ำหนัก พอฟังได้
แต่สุดท้ายก็พลาดตกไม้ตายกันเอง เพราะไม่ได้เตี๊ยมกันมาก่อน นายกรัฐมนตรีบอกว่า ไม่ได้ไปประชุม แต่ไปพบใครบางคน ซึ่งดิฉันเองมีสิทธิ์ที่จะไปพบใครก็ได้!!
เท่านั้นเองแทนที่เรื่องจะจบ กลับสร้างความสงสัยมากขึ้นไปอีก พวกอยากรู้อยากเห็นก็ไปขุดคุ้ย สืบค้นประวัติเก่าๆ เอามาเม้าท์กันเป็นที่ฮือฮาไปอีก..
อย่างไรก็แล้วแต่ มีการตั้งข้อสังเกตเช่นกันว่า ปฏิบัติภารกิจ ว.5 ณ ชั้น 7 โรงแรมโฟร์ซีซั่น วันนั้น อาจเป็นการนัดหารือเรื่องธุรกิจที่ดินบางอย่างหรือไม่ เพราะเร็วๆ นี้รัฐบาลจะทำการสำรวจพื้นที่สร้างฟลัดเวย์ แก้มลิง ตามแผนบริหารจัดการน้ำทั้งระบบที่ทำกันมาต่อเนื่อง
ถ้าหากมีใครรู้ล่วงหน้าก่อนว่า รัฐบาลจะใช้จุดไหนทำฟลัดเวย์ แก้มลิง แล้วไปกว้านซื้อที่ดินเหล่านั้น เมื่อถึงเวลาที่รัฐบาลจะขอเวนคืนที่ดิน อาจทำกำไรได้มหาศาล ดังนั้นจึงมีการตั้งข้อสงสัยในเรื่อง “ผลประโยชน์ทับซ้อน”เช่นกัน
เรื่องนี้ทางที่ดี “ยิ่งลักษณ์”ต้องออกมาไขความกระจ่างให้สังคม ว่าปฏิบัติการ ว.5 ข้อเท็จจริงคืออะไรแน่ ไม่อย่างนั้นสังคมก็จะตั้งคำถามอยู่ตลอด และจะทำให้ภาพลักษณ์ของ “ยิ่งลักษณ์” ยิ่งเสื่อมเสีย ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์จนเครดิตลดลงไปเรื่อยๆ
อาจถึงขั้นไม่เป็นอันทำการทำงาน ที่เคยหลุดๆ หลงๆ ก็จะยิ่งหลุดมากขึ้น อาจถึงขั้นหลุดโลกไปเลย ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย ที่กำลังเดินเกมอะไรต่อมิอะไรหลายอย่าง
ทั้งเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การเสนอกฎหมายปรองดอง อาจได้รับผลกระทบกระเทือนไปหมด นับเป็นเรื่องน่าหนักใจอย่างยิ่ง ของทั้งตัวนายกฯเองและเครือข่ายรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
ถือเป็นก้าวที่พลาดพลั้งอย่างแรง เพราะในห้วงเวลาเดียวกัน รัฐบาลอุตส่าห์ดีลงาน จนประสบผลสำเร็จสามารถเรียนเชิญ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ พร้อมด้วยองคมนตรี มาร่วมงาน “รักเมืองไทย เดินหน้าประเทศไทย” สร้างภาพสมานฉันท์ได้แล้ว แต่กลับโดนกลบข่าวด้วยเรื่องฉาวโฉ่นี้
งานใหญ่หรูเลิศอลังการ “รักเมืองไทย เดินหน้าประเทศไทย” ดูจะไร้ความหมายไปโดยปริยาย เพราะไม่ถูกปั่นกระแส กระพือข่าวเท่าที่ควร นั่นเพราะบางส่วนเชื่อว่ามันเป็นเพียงการสร้างภาพปรองดองเท่านั้น แต่เนื้อในแก่นแท้แล้ว
สถานการณ์ยังคงดำรงอยู่เช่นเดิม ความขัดแย้งที่อยู่ ณ เบื้องหลัง ยังไม่มีวันจางหายไปง่ายๆ
เมื่องานนี้ไม่ปรากฏอะไรที่เป็นเชิงรูปธรรมชัดเจน ไม่มีการขยายผลต่อเนื่อง สังคมก็หลงลืมไปเร็ววัน ยิ่งมีข่าว “ยิ่งลักษณ์ ณ โฟร์ซีซั่น” เข้าไปอีก อะไรๆ ก็ไม่เป็นที่จดจำ เรื่องดีๆ ไม่มีให้นึกถึง เรื่องที่สังคมสนใจ ใคร่รู้ ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องที่ลึกๆ ลับๆ อะไรทำนองนี้แหละ
ฉะนั้นก็ต้องถือเป็นการบ้านข้อใหญ่ที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ จะต้องไปขบคิดว่าจะออกตัวมาบอกความจริงกับสังคมอย่างไร หรือจะเลือกวิธีหลงลืมมันไป ให้เวลาเยียวยาดับกระแสให้มอดลง
เพราะช่วงเวลานี้ เป็นเวลาที่ประจวบเหมาะพอดีที่ “ยิ่งลักษณ์” จะเดินสายตะลอนทัวร์ ไปต่างจังหวัด แบบ ลองไทม์ ทั้งสัปดาห์ ไปวางแผนบริหารจัดการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม นายกฯจะใช้จังหวะเวลานี้ดับกระแสสังคมด้วยการสร้างภาพการทำงานได้หรือไม่ ยังเป็นเรื่องที่น่าติดตาม
อย่างไรก็แล้วแต่ ความเป็นนายกรัฐมนตรี ความที่เป็นบุคคลสาธารณะ ทุกก้าวย่างต้องถูกสปอตไลท์สอดส่ายจากทุกภาคส่วนของสังคม นายกฯควรที่จะทำทุกอย่างแบบเปิดเผย โปร่งใส ให้ควรค่าแก่การเป็นผู้นำประเทศ และเป็นแบบอย่างที่ดีของทุกคนในประเทศ
หากเทียบเคียงจากนานาอารยประเทศที่เจริญแล้ว ก็จะเห็นเรื่องเหล่านี้ชัดเจน บางประเทศ มีเรื่องฉาวโฉ่ มีเงื่อนงำนิดเดียว ผู้นำประเทศก็แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกมานักต่อนักแล้ว
ตลอดเวลานับเนื่องจากนี้ไปในตำแหน่งผู้นำสูงสุดของประเทศ “ยิ่งลักษณ์” น่าจะทำอะไรที่เปิดเผย โปร่งใส ชัดเจน อย่าทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในวงสังคมจนฉาวโฉ่เช่นนี้อีก!!