ASTVผู้จัดการรายวัน - “กลุ่มเซ็นทรัล” คาดเศรษฐกิจรวมปีนี้น่าสดใส เตรียมทุ่มงบ 30,000 ล้านบาท ลุยเต็มสูบทั้งในและต่างประเทศ มั่นใจรับมือเออีซีอยู่หมัด แต่กลัวเสียเปรียบต่างชาติเรื่องสินค้ามากกว่า จี้รัฐส่งเสริมท่องเที่ยวและลดภาษีนำเข้าสินค้า มั่นใจปีนี้ดันรายได้ทะลุ 188,000 ล้านบาท เติบโต 35% หลังปีที่แล้วสูญโอกาสสร้างรายได้ 8,000 ล้านบาทจากน้ำท่วมใหญ่ แต่ก็ยังโต 17%
นายสุทธิธรรม จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด เปิดเผยว่า ทางกลุ่มเซ็นทรัลประเมินว่า ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศในปีนี้น่าจะดีกว่าปีที่แล้ว จากที่มีการคาดการณ์จีดีพีของไทยปี้นี้จะโต 4-5% แต่ในช่วงครึ่งปีแรกนี้ คงจะเป็นการเยียวยาและฟื้นฟูหลังจากที่ประสบปัญหาน้ำท่วมหนักกปีที่แล้ว อีกทั้งการรลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของรัฐที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจก็จะทำให้เกิดการจ้างงานและมีกำลังซื้อในกลุ่มู้บริโภคมากขึ้น
ชี้เปิดเออีซีเรื่องจิ๊บจ๊อย
ขณะที่การเตรียมตัวเพื่อรองรับกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีในปี 2558 นั้น กลุ่มเซ็นทรัลมีความมั่นใจว่าจะรับมือกับการแข่งขันได้ เพราะเราวางรากฐานมาอย่างดี เงินทุนก็มีพร้อม ประสบการณ์ก็มีและเทคโนโลยีเราก็มีการพัฒนาตลอดเวลา ซึ่งจริงๆแล้วเราไม่ได้แค่รองรับเออีซีเท่านั้น แต่เรายังรองรับการบุกตลาดโลกด้วย
“ธุรกิจค้าปลีกในไทยจริงๆแล้วเปิดเสรีกันมานานแล้ว เปิดเต็มที่ด้วย ต่างชาติเข้ามาจำนวนมากแล้วก็หายไป ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่นที่เป็นรายใหญ่ตั้งแต่ยุคไทยไดมารูมาแล้ว แต่เรปรับตัวต่อสู้และอยู่ของเรามาได้ตลอด เราไม่กลัวเออีซี” นายสุทธิธรรมกล่าว
จี้รัฐลดภาษีนำเข้าสำคัญกว่า
แต่สิ่งสำคัญที่น่าเป็นห่วงก็คือ ความเสียเปรียบด้านการชอปปิ้งและภาษีนำเข้าสินค้ามากกว่า ซึ่งต้องการให้ภาครัฐบาลส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมากขึ้น เพราะไทยเรามีความพร้อม ทั้งในด้านของสถานที่ท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร และบริการ อีกประเด็นคือ ต้องการให้ภาครัฐหันมาให้ความสำคัญในเรื่องของการช้อปปิ้งควบคู่กันไปด้วย เพราะการท่องเที่ยวจะคู่กับชอปปิ้ง ด้วยการปรับลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้ต่างชาติเข้ามาซื้อสินค้าในประเทศไทยมากขึ้นด้วย
“แม้ว่าธุรกิจค้าปลีกของเราจะดีแค่ไหน แต่ว่ายังมีกำแพงภาษีนำเข้าสูงก็เสียเปรียบต่างชาติอยู่ดี ไม่ว่าประเทศเจริญหรือใหญ่แค่ไหนเขาก็ต้องมีสินคานำเข้าจากต่างประเทศมาขายเหมือนกัน”
ทุ่ม3หมื่นล้านบาทลุยปี55
อย่างไรก็ตาม ทางกลุ่มเซ็นทรัลยังคงมีแผนงานรุกธุรกิจต่อเนื่อง โดยในปี 2555 นี้ ตั้งงบประมาณการลงทุนโดยรวม 30,000 ล้านบาททั้งในและต่างประเทศ โดยจะเน้นหนักไปที่ 2 กลุ่มหลักกว่า 70% คือ ซีอาร์ซีหรือกลุ่มค้าปลีก และซีพีเอ็นหรือกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ส่วนที่เหลือ 30% เป็นอีก 3 กลุ่มรวมกันคือ ซีเอ็มจีหรือธุรกิจค้าส่ง ซีเอชอาร์หรือกลุ่มโรงแรม และซีอาร์จีกลุ่มธุกริจอาหาร ซึ่งจะเป็นเงินหมุนเวียน 20,000 ล้านบาท และมาจากเงินกู้อีก 10,000 ล้านบาท
ในเบื้องต้นนี้จะยังคงมุ่งเน้นการขยายธุรกิจแบบการควบรวมกิจการต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด หลังจากที่ปีที่แล้วได้เข้าซื้อกิจการไป 2 โครงการคือ การทุ่มงบประมาณ 11,000 ล้านบาท ซื้อกิจการห้างสรรพสินค้าลารีนาเซนเต้ที่ใหญ่ที่สุดของอิตาลี และการซื้อกิจการร้านอาหารญี่ปุ่นโอโตยะ มูลค่ากว่า 720 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้รายได้รวมเติบโตอย่างมาก
แผนลงทุนคร่าวๆของทั้งกลุ่มปีนี้ เช่น เปิดห้างโรบินสันอีก 5 สาขาเช่นที่ สุพรรณบุรี บางแค เมกะบางนา สุราษฎร์ธานี ลำปาง การขยายสาขาของท็อปส์และสเปเชียลตี้สโตร์ทั้งหลายเช่น เพาเวอร์บาย บีทูเอส ซูเปอร์สปอร์ต รวมกว่า 200 สาขา การขยายศูนย์การค้าของซีพีเอ็นอีก 3 แห่ง การเปิดห้างสรรพสินค้าที่เมืองเฉินตู ประเทศจีน การบริหารจัดการโรงแรมในประเทศและต่างประเทศ การร่วมทุนเพื่อขยายโรงแรมเซนทาราแห่งใหม่ที่ มัลดีฟ โดยรวมในกลุ่มโรงแรมนี้ มีการขยายรวม 23 แห่ง ทั่วโลกทั้งรับบริหารและสร้างเอง ซึ่งเปิดบริการแล้ว 4 แห่ง ส่วนกลุ่มค้าส่งก็จะมีสินค้าแบรนด์ใหม่นำเข้ามาจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง
ใส่เกียร์เร่งต่างประเทศ
ในต่างประเทศบริษัทฯยังคงมองการลงทุนไปในประเทศที่มีศักยภาพของภูมิภาคอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม และพม่า หลังจากก่อนหน้านี้ได้เข้าไปขยายธุรกิจเปิดห้างสรรสินค้าเซ็นทรัลและเซนในประเทศจีนมาแล้วจำนวน 3 เมือง ที่ หางโจว เซิ่นหยาง และเฉินตู
“ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ที่บอร์ดชุดนี้เข้ามดูแล เราขยายธุรกิจมากขึ้น เป็นแบบแอกเกรสซีฟ (Aggressive) และเราพยายามให้มีกระแสเงินสดรองรับไว้ 10,000 ล้านบาทต่อปี”
เป้า188,000 ล้านบาทปีมังกรทอง
สำหรับผลประกอบการปี 2555 นายสุทธิธรรมกล่าวว่า ทางกลุ่มเซ็นทรัลตั้งเป้าหมายรายได้รวมไว้ที่ 188,000 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนรายได้ในประเทศกว่า 89% และจากต่างประเทศ 11% เติบโต 35% จากปี 2554 ที่มีรายได้รวม 139,600 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายรวมที่ตั้งไว้ที่ 133,500 ล้านบาท หรือเติบโต 17% จากปี 2553 โดยแบ่งเป็นแต่ละกลุ่มดังนี้ ซีอาร์ซีเติบโต 17% ซีพีเอ็นเติบโต 11% ซีเอ็มจีเติบโต 21% ซีเอชอาร์เติบโต 20% และซีอาร์จีเติบโต 24%
อย่างไรก็ตามยอมรับว่า กลุ่มเซ็นทรัลได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำทว่มเช่นกัน โดยต้องสูญเสียโอกาสในการสร้างรายได้กว่า 8,000 ล้านบาท สูญเสียโอกาสทำกำไรกว่า 1,500 ล้านบาท ทรัพย์สินรวมเสียหายหลายร้อยล้านบาท
เข้มรับมือภัยพิบัติ
นายทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจค้าปลีกหรือซีอาร์ซี กล่าวถึงกรณีปัญหาน้ำท่วมว่า ในเรื่องดิสทริวบิวชั่นต้องมีการปรับระบบวางแผนให้ดี การสร้างดีซีที่เดียวคงไม่ปลอดภัย ต้องมีการกระจายไปตามต่างจังหวัดภาคต่างๆมากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยง ระบบไอทีต้องมีการรองรับอย่างดี ไม่ให้สะดุดเมื่อเกิดภัยธรรมชาติ เราเตรียมไว้หมดไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติอะไร ไฟไหม้ น้ำท่วมแผ่นดินไหว
นายกอบชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด และกรรมการผู้จัดการใหญ่กลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หรือซีพีเอ็น กล่าวว่า ปีที่แล้วเรารับมือกับน้ำท่มวมได้ดีพอสมควรไม่มีศูนย์การค้าสาขาไหนของเราน้ำท่วมมีเลย มีแต่น้ำล้อมรอบเท่านั้น ส่วนปีนี้เราต้องเตรียมตัวให้ดีขึ้น เพราะได้เรียนรู้มาแล้ว การก่อสร้างอาคารใหม่เราต้องคำนึงถึงเรื่อองภัยธรรมชาติด้วยไม่ว่าจะเป็น แผ่นดินไหว หรือน้ำท่วส ม ซึ่งมาตรฐานเราต้องสูงกว่าที่กฎหมายกำหนด
นายสุทธิธรรม จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด เปิดเผยว่า ทางกลุ่มเซ็นทรัลประเมินว่า ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศในปีนี้น่าจะดีกว่าปีที่แล้ว จากที่มีการคาดการณ์จีดีพีของไทยปี้นี้จะโต 4-5% แต่ในช่วงครึ่งปีแรกนี้ คงจะเป็นการเยียวยาและฟื้นฟูหลังจากที่ประสบปัญหาน้ำท่วมหนักกปีที่แล้ว อีกทั้งการรลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของรัฐที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจก็จะทำให้เกิดการจ้างงานและมีกำลังซื้อในกลุ่มู้บริโภคมากขึ้น
ชี้เปิดเออีซีเรื่องจิ๊บจ๊อย
ขณะที่การเตรียมตัวเพื่อรองรับกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีในปี 2558 นั้น กลุ่มเซ็นทรัลมีความมั่นใจว่าจะรับมือกับการแข่งขันได้ เพราะเราวางรากฐานมาอย่างดี เงินทุนก็มีพร้อม ประสบการณ์ก็มีและเทคโนโลยีเราก็มีการพัฒนาตลอดเวลา ซึ่งจริงๆแล้วเราไม่ได้แค่รองรับเออีซีเท่านั้น แต่เรายังรองรับการบุกตลาดโลกด้วย
“ธุรกิจค้าปลีกในไทยจริงๆแล้วเปิดเสรีกันมานานแล้ว เปิดเต็มที่ด้วย ต่างชาติเข้ามาจำนวนมากแล้วก็หายไป ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่นที่เป็นรายใหญ่ตั้งแต่ยุคไทยไดมารูมาแล้ว แต่เรปรับตัวต่อสู้และอยู่ของเรามาได้ตลอด เราไม่กลัวเออีซี” นายสุทธิธรรมกล่าว
จี้รัฐลดภาษีนำเข้าสำคัญกว่า
แต่สิ่งสำคัญที่น่าเป็นห่วงก็คือ ความเสียเปรียบด้านการชอปปิ้งและภาษีนำเข้าสินค้ามากกว่า ซึ่งต้องการให้ภาครัฐบาลส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมากขึ้น เพราะไทยเรามีความพร้อม ทั้งในด้านของสถานที่ท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร และบริการ อีกประเด็นคือ ต้องการให้ภาครัฐหันมาให้ความสำคัญในเรื่องของการช้อปปิ้งควบคู่กันไปด้วย เพราะการท่องเที่ยวจะคู่กับชอปปิ้ง ด้วยการปรับลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้ต่างชาติเข้ามาซื้อสินค้าในประเทศไทยมากขึ้นด้วย
“แม้ว่าธุรกิจค้าปลีกของเราจะดีแค่ไหน แต่ว่ายังมีกำแพงภาษีนำเข้าสูงก็เสียเปรียบต่างชาติอยู่ดี ไม่ว่าประเทศเจริญหรือใหญ่แค่ไหนเขาก็ต้องมีสินคานำเข้าจากต่างประเทศมาขายเหมือนกัน”
ทุ่ม3หมื่นล้านบาทลุยปี55
อย่างไรก็ตาม ทางกลุ่มเซ็นทรัลยังคงมีแผนงานรุกธุรกิจต่อเนื่อง โดยในปี 2555 นี้ ตั้งงบประมาณการลงทุนโดยรวม 30,000 ล้านบาททั้งในและต่างประเทศ โดยจะเน้นหนักไปที่ 2 กลุ่มหลักกว่า 70% คือ ซีอาร์ซีหรือกลุ่มค้าปลีก และซีพีเอ็นหรือกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ส่วนที่เหลือ 30% เป็นอีก 3 กลุ่มรวมกันคือ ซีเอ็มจีหรือธุรกิจค้าส่ง ซีเอชอาร์หรือกลุ่มโรงแรม และซีอาร์จีกลุ่มธุกริจอาหาร ซึ่งจะเป็นเงินหมุนเวียน 20,000 ล้านบาท และมาจากเงินกู้อีก 10,000 ล้านบาท
ในเบื้องต้นนี้จะยังคงมุ่งเน้นการขยายธุรกิจแบบการควบรวมกิจการต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด หลังจากที่ปีที่แล้วได้เข้าซื้อกิจการไป 2 โครงการคือ การทุ่มงบประมาณ 11,000 ล้านบาท ซื้อกิจการห้างสรรพสินค้าลารีนาเซนเต้ที่ใหญ่ที่สุดของอิตาลี และการซื้อกิจการร้านอาหารญี่ปุ่นโอโตยะ มูลค่ากว่า 720 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้รายได้รวมเติบโตอย่างมาก
แผนลงทุนคร่าวๆของทั้งกลุ่มปีนี้ เช่น เปิดห้างโรบินสันอีก 5 สาขาเช่นที่ สุพรรณบุรี บางแค เมกะบางนา สุราษฎร์ธานี ลำปาง การขยายสาขาของท็อปส์และสเปเชียลตี้สโตร์ทั้งหลายเช่น เพาเวอร์บาย บีทูเอส ซูเปอร์สปอร์ต รวมกว่า 200 สาขา การขยายศูนย์การค้าของซีพีเอ็นอีก 3 แห่ง การเปิดห้างสรรพสินค้าที่เมืองเฉินตู ประเทศจีน การบริหารจัดการโรงแรมในประเทศและต่างประเทศ การร่วมทุนเพื่อขยายโรงแรมเซนทาราแห่งใหม่ที่ มัลดีฟ โดยรวมในกลุ่มโรงแรมนี้ มีการขยายรวม 23 แห่ง ทั่วโลกทั้งรับบริหารและสร้างเอง ซึ่งเปิดบริการแล้ว 4 แห่ง ส่วนกลุ่มค้าส่งก็จะมีสินค้าแบรนด์ใหม่นำเข้ามาจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง
ใส่เกียร์เร่งต่างประเทศ
ในต่างประเทศบริษัทฯยังคงมองการลงทุนไปในประเทศที่มีศักยภาพของภูมิภาคอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม และพม่า หลังจากก่อนหน้านี้ได้เข้าไปขยายธุรกิจเปิดห้างสรรสินค้าเซ็นทรัลและเซนในประเทศจีนมาแล้วจำนวน 3 เมือง ที่ หางโจว เซิ่นหยาง และเฉินตู
“ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ที่บอร์ดชุดนี้เข้ามดูแล เราขยายธุรกิจมากขึ้น เป็นแบบแอกเกรสซีฟ (Aggressive) และเราพยายามให้มีกระแสเงินสดรองรับไว้ 10,000 ล้านบาทต่อปี”
เป้า188,000 ล้านบาทปีมังกรทอง
สำหรับผลประกอบการปี 2555 นายสุทธิธรรมกล่าวว่า ทางกลุ่มเซ็นทรัลตั้งเป้าหมายรายได้รวมไว้ที่ 188,000 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนรายได้ในประเทศกว่า 89% และจากต่างประเทศ 11% เติบโต 35% จากปี 2554 ที่มีรายได้รวม 139,600 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายรวมที่ตั้งไว้ที่ 133,500 ล้านบาท หรือเติบโต 17% จากปี 2553 โดยแบ่งเป็นแต่ละกลุ่มดังนี้ ซีอาร์ซีเติบโต 17% ซีพีเอ็นเติบโต 11% ซีเอ็มจีเติบโต 21% ซีเอชอาร์เติบโต 20% และซีอาร์จีเติบโต 24%
อย่างไรก็ตามยอมรับว่า กลุ่มเซ็นทรัลได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำทว่มเช่นกัน โดยต้องสูญเสียโอกาสในการสร้างรายได้กว่า 8,000 ล้านบาท สูญเสียโอกาสทำกำไรกว่า 1,500 ล้านบาท ทรัพย์สินรวมเสียหายหลายร้อยล้านบาท
เข้มรับมือภัยพิบัติ
นายทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจค้าปลีกหรือซีอาร์ซี กล่าวถึงกรณีปัญหาน้ำท่วมว่า ในเรื่องดิสทริวบิวชั่นต้องมีการปรับระบบวางแผนให้ดี การสร้างดีซีที่เดียวคงไม่ปลอดภัย ต้องมีการกระจายไปตามต่างจังหวัดภาคต่างๆมากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยง ระบบไอทีต้องมีการรองรับอย่างดี ไม่ให้สะดุดเมื่อเกิดภัยธรรมชาติ เราเตรียมไว้หมดไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติอะไร ไฟไหม้ น้ำท่วมแผ่นดินไหว
นายกอบชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด และกรรมการผู้จัดการใหญ่กลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หรือซีพีเอ็น กล่าวว่า ปีที่แล้วเรารับมือกับน้ำท่มวมได้ดีพอสมควรไม่มีศูนย์การค้าสาขาไหนของเราน้ำท่วมมีเลย มีแต่น้ำล้อมรอบเท่านั้น ส่วนปีนี้เราต้องเตรียมตัวให้ดีขึ้น เพราะได้เรียนรู้มาแล้ว การก่อสร้างอาคารใหม่เราต้องคำนึงถึงเรื่อองภัยธรรมชาติด้วยไม่ว่าจะเป็น แผ่นดินไหว หรือน้ำท่วส ม ซึ่งมาตรฐานเราต้องสูงกว่าที่กฎหมายกำหนด