นายยุทธพงษ์ เสรีดีเลิศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สแตนดาร์ด เมทอล จำกัด เปิดเผยว่าเมื่อวันที่ 31 มกราคม 55 ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีกรมบังคับคดี (จบค.)ไปทำการยึดทรัพย์ของ บริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ASCON เพื่อนำไปขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้กับบริษัทฯ โดยทรัพย์สินที่จะชี้ยึดคือทรัพย์สินต่างๆ ที่อยู่ภายในบริษัท หรือ อยู่ในความครอบครองของ บมจ. แอสคอน คอนสตรัคชั่น
ทั้งนี้ บริษัท สแตนดาร์ด เมทอล จำกัด (โจทย์) ได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลแพ่งเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 4858/2551 เมื่อวันที่ 18
สิงหาคม 51 ต่อ บริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ASCON จำเลย เนื่องจากระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน 51
ทางจำเลยได้สั่งซื้อสินค้าประเภทเหล็กจากโจทย์ จำนวน 7 ครั้ง รวมเป็นเงิน 8,251,003.98 บาท และได้มีการส่งมอบสินค้าให้ครบถ้วนแล้ว
ซึ่งมีข้อตกลงว่าจำเลยจะชำระค่าสินค้าภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับสินค้า เมื่อครบกำหนดแล้ว บริษัท สแตนดาร์ด เมทอล จำกัด
เรียกเก็บเงินแต่จำเลยไม่ชำระ
โดยในวันที่ 29 ตุลาคม 52 ศาลได้พิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทย์ จำนวน 8,435,533.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้น 8,251,003.98 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 18 สิงหาคม 51) เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทย์
กับให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทย์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
" นับตั้งแต่วันที่ศาลพิพากษาให้ ASCON ชำระหนี้ให้กับ บริษัท สแตนดาร์ด เมทอล จำกัด แต่ปรากฏว่าจนกระทั่งถึงปัจจุบันยังไม่ได้รับการชำระหนี้เลย ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาดำเนินการมอบหมายให้ บริษัท สำนักกฎหมาย ลิ่วมโนมนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ดำเนินการบังคับคดี ในคดีของ ASCON ซึ่งสำนักกฎหมายฯ ได้ยื่นเรื่องต่อพนักงานบังคับคดีเพื่อทำการยึดทรัพย์สินภายในบริษัท ASCON เพื่อนำขายทอดตลาด นำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาของศาล โดยเจ้าพนักงานบังคับคดีได้กำหนดวันยึดทรัพย์คือวันที่ 31 มกราคม 55 เวลา 10.00 นาฬิกา”
อย่างไรก็ตามเมื่อไปถึงสถานที่ดังกล่าว ผู้พบในสถานที่ยึด ได้มีการตกลงเจรจาชำระหนี้ภายนอกกับผู้แทนโจทก์ แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ ผู้พบในสถานที่ยึดได้นำผู้แทนโจทก์กับ จบค.ไปดำเนินการตรวจสอบทรัพย์สินของจำเลยภายในสถานที่ดังกล่าว เพื่อดำเนินการบังคับคดีตามกฎหมายต่อไป แต่ไม่มีทรัพย์สินอื่นใดของจำเลยที่จะยึดพอชำระหนี้แก่โจทก์ได้ เนื่องจากได้มีเจ้าหนี้รายอื่นของจำเลยได้ดำเนินการยึดทรัพย์สินของจำเลยไปบางส่วน แต่ยังมิได้ขนย้ายทรัพย์สินที่ยึดไปเก็บรักษา ณ สถานรักษาและจำหน่ายทรัพย์สินของกรมบังคับคดี ทั้งผู้แทนโจทก์ได้ตกลงต่อ จบค. ว่าหากได้มีการยึดทรัพย์สินของจำเลยในวันนี้ อาจเป็นการยึดซ้ำกับเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีอื่น ซึ่งเป็นการต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. ม. 290 ว.1
ในเวลาต่อมาผู้แทนโจทก์ ได้แจ้งต่อผู้พบในสถานที่ยึดว่าขอตรวจสอบบัญชีเงินฝากของจำเลยหรือบัญชีอื่นๆ ของจำเลย
จบค.ได้แจ้งต่อผู้พบในสถานที่ยึดว่าการดำเนินการดังกล่าวสามารถกระทำได้โปรดให้ความร่วมมือด้วย ซึ่งเป็นไปตาม ป.วิ.พ. ม. 279 ว.2 เวลา 14.15 น. ผู้พบในสถานที่ดังกล่าวได้นำเอกสารบัญชีเงินฝากหรือบัญชีเงินอื่นๆ ของจำเลยมาแสดงต่อ จบค. ขอให้งดยึดทรัพย์สินของจำเลยในวันนี้ (31 มกราคม 55) ไว้ก่อน เพื่อประสงค์จะดำเนินการบังคับคดีกับจำเลยต่อไป จบค.จึงงดยึดทรัพย์สินไว้ตามความประสงค์ของผู้แทนโจทก์ และในการปฏิบัติหน้าที่ในวันนี้ จบค. มิได้ก่อให้เกิดความเสียหายหรือสูญหายแก่ทรัพย์สินอื่นใดของจำเลย หากมีความเสียหายผิดพลาดประการใดผู้แทนโจทก์ยินยอมรับผิดทั้งสิ้น
ทั้งนี้ บริษัท สแตนดาร์ด เมทอล จำกัด (โจทย์) ได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลแพ่งเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 4858/2551 เมื่อวันที่ 18
สิงหาคม 51 ต่อ บริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ASCON จำเลย เนื่องจากระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน 51
ทางจำเลยได้สั่งซื้อสินค้าประเภทเหล็กจากโจทย์ จำนวน 7 ครั้ง รวมเป็นเงิน 8,251,003.98 บาท และได้มีการส่งมอบสินค้าให้ครบถ้วนแล้ว
ซึ่งมีข้อตกลงว่าจำเลยจะชำระค่าสินค้าภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับสินค้า เมื่อครบกำหนดแล้ว บริษัท สแตนดาร์ด เมทอล จำกัด
เรียกเก็บเงินแต่จำเลยไม่ชำระ
โดยในวันที่ 29 ตุลาคม 52 ศาลได้พิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทย์ จำนวน 8,435,533.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้น 8,251,003.98 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 18 สิงหาคม 51) เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทย์
กับให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทย์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
" นับตั้งแต่วันที่ศาลพิพากษาให้ ASCON ชำระหนี้ให้กับ บริษัท สแตนดาร์ด เมทอล จำกัด แต่ปรากฏว่าจนกระทั่งถึงปัจจุบันยังไม่ได้รับการชำระหนี้เลย ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาดำเนินการมอบหมายให้ บริษัท สำนักกฎหมาย ลิ่วมโนมนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ดำเนินการบังคับคดี ในคดีของ ASCON ซึ่งสำนักกฎหมายฯ ได้ยื่นเรื่องต่อพนักงานบังคับคดีเพื่อทำการยึดทรัพย์สินภายในบริษัท ASCON เพื่อนำขายทอดตลาด นำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาของศาล โดยเจ้าพนักงานบังคับคดีได้กำหนดวันยึดทรัพย์คือวันที่ 31 มกราคม 55 เวลา 10.00 นาฬิกา”
อย่างไรก็ตามเมื่อไปถึงสถานที่ดังกล่าว ผู้พบในสถานที่ยึด ได้มีการตกลงเจรจาชำระหนี้ภายนอกกับผู้แทนโจทก์ แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ ผู้พบในสถานที่ยึดได้นำผู้แทนโจทก์กับ จบค.ไปดำเนินการตรวจสอบทรัพย์สินของจำเลยภายในสถานที่ดังกล่าว เพื่อดำเนินการบังคับคดีตามกฎหมายต่อไป แต่ไม่มีทรัพย์สินอื่นใดของจำเลยที่จะยึดพอชำระหนี้แก่โจทก์ได้ เนื่องจากได้มีเจ้าหนี้รายอื่นของจำเลยได้ดำเนินการยึดทรัพย์สินของจำเลยไปบางส่วน แต่ยังมิได้ขนย้ายทรัพย์สินที่ยึดไปเก็บรักษา ณ สถานรักษาและจำหน่ายทรัพย์สินของกรมบังคับคดี ทั้งผู้แทนโจทก์ได้ตกลงต่อ จบค. ว่าหากได้มีการยึดทรัพย์สินของจำเลยในวันนี้ อาจเป็นการยึดซ้ำกับเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีอื่น ซึ่งเป็นการต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. ม. 290 ว.1
ในเวลาต่อมาผู้แทนโจทก์ ได้แจ้งต่อผู้พบในสถานที่ยึดว่าขอตรวจสอบบัญชีเงินฝากของจำเลยหรือบัญชีอื่นๆ ของจำเลย
จบค.ได้แจ้งต่อผู้พบในสถานที่ยึดว่าการดำเนินการดังกล่าวสามารถกระทำได้โปรดให้ความร่วมมือด้วย ซึ่งเป็นไปตาม ป.วิ.พ. ม. 279 ว.2 เวลา 14.15 น. ผู้พบในสถานที่ดังกล่าวได้นำเอกสารบัญชีเงินฝากหรือบัญชีเงินอื่นๆ ของจำเลยมาแสดงต่อ จบค. ขอให้งดยึดทรัพย์สินของจำเลยในวันนี้ (31 มกราคม 55) ไว้ก่อน เพื่อประสงค์จะดำเนินการบังคับคดีกับจำเลยต่อไป จบค.จึงงดยึดทรัพย์สินไว้ตามความประสงค์ของผู้แทนโจทก์ และในการปฏิบัติหน้าที่ในวันนี้ จบค. มิได้ก่อให้เกิดความเสียหายหรือสูญหายแก่ทรัพย์สินอื่นใดของจำเลย หากมีความเสียหายผิดพลาดประการใดผู้แทนโจทก์ยินยอมรับผิดทั้งสิ้น