ASTVผู้จัดการรายวัน – พีดีเฮ้าส์ฯแจงราคาที่ดินจังหวัดหัวเมืองใหญ่ในภาคอีสานถีบตัวสูง ระบุขอนแก่น-อุบลฯ-อุดรฯราคาขายขยับ50-100% จากไร่ละ1ล้านบาทขยับขึ้น1.5-2ล้านบาท ชี้เป็นสัญญาณที่ดีต่องการขยายตลาด-ฐานลูกค้ารับสร้างบ้านภาคอีสาน หลังผู้ประกอบการค้าปลีก -วัสดุก่อสร้าง -วัสดุตกแต่งบ้านโมเดิร์นเทรดรายใหญ่ของประเทศแห่ลงทุนเปิดสาขา พร้อมเตรียมปรับแบบออกแบบบ้านใหม่ขนาดเล็กลงจับกลุ่มลูกค้าตลาดล่าง 1-2ล้านบาท รับการขยายตัวลูกค้าที่มีกำลังซื้อเพิ่มจากสินค้าเกษตรดี-รายได้แรงงานในพื้นที่ขยับตามการขยายตัวแหล่งงานและเศรษฐกิจในพื้นที่
นายสิทธิพร สุวรรณสุต ประธานกรรมการ บริษัท ปทุมดีไซน์ ดิเวลลอป จำกัด ผู้ให้บริการธุรกิจรับสร้างบ้านแฟรนไชส์ แบรนด์ พีดีเฮ้าส์ กล่าวว่า ปัญหาน้ำท่วมใหญ่และการขยายการลงทุนของผู้ประกอบการวัสดุก่อสร้าง ห้างสรรพสินค้า และวัสดุตกแต่งบ้านในรูปแบบโมเดิร์นเทรดในพื้นที่ภาคอีสานในจังหวัดศูนย์กลางภูมิภาค เช่น ขอนแก่น อุบลราชธานี อุดรธานี และจังหวัดแนวตะเข็บชายแดน ส่งผลต่อการขยายตัวของตลาดที่อยู่อาศัย(บ้านสร้างเอง)ในจังหวัดภาคอีสานอย่างมาก
ทั้งนี้ การขยายการลงทุนของผู้ประกอบการรายใหญ่ เช่น บริษัทโฮมโปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีการขยายสาขาโฮมโปร, กลุ่ม เซ็นทรัลพัฒนาฯ ซึ่งมีการลงทุนเปิดตัวห้างสรรพสินค้า และร้านค้าวัสดุก่อสร้างไทวัสดุ, บริษัท สยาม โกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีการขยายการลงทุนร้านค้าวัสดุก่อสร้างครบวงจร รวมถึงการขยายการลงทุนของร้านค้าวัสดุก่อสร้างในรูปแบบโมเดิร์นเทรด ดูโฮม นอกจากนี้ยังมีกลุ่มนักลงทุนผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จำนวนมากขยายการลงทุนไปในพื้นภาคอีสานเพิ่มขึ้นจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มบริษัท SCG ภายใต้แบรน์ ซีเมนต์ไทยโฮมมาร์ท
สำหรับการขยายการลงทุนของกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ดังกล่าวในพื้นที่จังหวัดภาคอีสาน นั้นคาดว่าส่วนหรือเป็นการเพิ่มช่องทางการตลาดและขยายฐานลูกค้า แต่ปัจจัยสำคัญของการขยายการลงทุนดังกล่าวน่าจะเป็นการลงทุนเพื่อรองรับการขยายตลาดในประเทศเพื่อนบ้าน ภายหลังการเปิดเสรีทางการค้าในกลุ่มประเทศอาเซียน หรือ AEC ซึ่งจะเกิดขึ้นใน3ปีจากนี้ ส่วนสาเหตุที่ผุ้ประกอบการรายใหญ่ยังกล่าวยังไม่ขยายการลงทุนโดยตรงในประเทศเพื่อบ้านนั้นน่าจะยังมีปัญหาในด้านข้อกฎหมายและข้อบังคับของแต่ละประเทศรวมถึงปัญหาด้านการจัดเก็บภาษีของประเทศต่างๆ
“ ในด้านความสัมพันธ์กับคู่ค้าของบริษัทขนาดใหญ่เหล่านี้กับกลุ่มผู้ประกอบการในต่างประเทศนั้นเชื่อว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีอยู่แล้วดังนั้นการขยายการลงทุนในต่างประเทศจึงไม่น่ามีปัญหา แต่ที่ยังไม่ขยายไปลงทุนในประเทศเพื่อบ้านในขณะนี้เพราะยังติดปัญหาด้านกฎหมายและข้อปฏิบัติของต่างประเทศ วึ่งหลังจากเปิดAEC แล้วข้อกำหนด และกฎหมายๆ ต่างๆ จะค่อยๆ เอื้อต่อการลงทุนมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ในอนาคตมีการขยายลงทุนในประเทสเพื่อนบ้านเหล่านี้เกิดขึ้นแน่นอน”
นายสิทธิพร กล่าวว่า อย่างไรก็ตามการเข้าไปลงทุนของกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลต่อการขยายตัวของแรงงาน และเศรษฐกิจในพื้นที่อย่างมาก รวมถึงส่งผลต่อรายได้ของประชากรในพื้นที่ ซึ่งมีผลต่อการขยายตัวของดีมานด์ในตลาดที่อยู่อาสัยให้เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งดัชนีชี้วัดว่ามีการขยายตัวของดีมานด์ในตลาดที่อยู่อาศัยในภาคอีสานได้เป็นอย่างดี คือ การขยายตัวของราคาที่ดินในพื้นที่ตัวจังหวัด และอำเภอที่มีการอยู่อาศัยของประชากรที่หนาแน่น
ทั้งนี้ จากการเก็บตัวเลขการปรับตัวของราคาขายที่ดิน ซึ่งเป็นราคาตลาดในพื้นที่จังหวัดในภาคอีสาน พบว่าในจังหวัดหัวเมืองขนาดใหญ่ เช่น ขอนแก่ อุดรธานี อุบลราชธานี สกลนคร ฯลฯ พบว่าราคาที่ดินมีการปรับตัวขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยการปรับราคาขายขึ้นสูง 50-100 % จากราคาขายเดิม เช่น เดิมราคาขายไร่ละ 1ล้านบาท ก็ปรับขึ้นไปอยู่ที่ 1.5-2ล้านบาท ทั้งนี้ เชื่อว่าหากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในส่วนกลางขยายการลงทุนไปในจังหวัดภาคอีสานมากขึ้น จะส่งผลให้เกิดการขยายตัวของตลาดอสังหาฯอย่างมากและชัดเจนมากขึ้น
“การเข้าไปลงทุนของผู้ประธุรกิจรายใหญ่ ในพื้นที่ภาคอีสาน ส่งผลดีต่อตลาดรับสร้างบ้านในอนาคต เนื่องจากช่วยให้รายได้ของประชากรในพื้นที่สูงขึ้น ประกอบกับปัจจุบันสินค้าภาคเกษตรมีราคาดี หากมีแหล่งกระจายสินค้าใกล้ขึ้นและมีตลาดรับซื้อพื้ชผลการเกษตรจะทำให้เศรษฐกิจในพื้นที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง กำลังซื้อของประชาชนในพื้นที่ก็ส่งขึ้นไปด้วย ในอนาคตความต้องการปลูกสร้างที่อยู่อาศัยก็จะขยายตัวเพิ่มเช่นกัน”
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรองรับการกลุ่มลูกค้าในตลาดล่างระดับราคา1-2ล้านบาท บริษัทได้เตรียมแผนขยายเข้าไปเจาะตลาดดังกล่าวซึ่งขณะนี้รอเพียงดัชนีชี้ชัดว่าตลาดระดับล่างมีความต้องการขยายตัวสูง โดยวัดจากการเข้าไปลงทุนของผู้ประกอบการอสังหาฯรายใหญ่ ซึ่งปัจจุบันมีหลายบริษัทมีแผนเข้าไปลงทุนพัฒนาโครงการแล้วในปีนี้ พีดี เฮ้าส์ ก็พร้อมที่จะเข้าไปจับกลุ่มดังกล่าว ดดยการออกแบบบ้านในระดับราคาดังกล่าวรองรับความต้องการกลุ่มลูกค้าใหม่ทันที่
โดยปัจจุบันบริษัทยังเน้นจับลูกค้าในตลาดกลาง-บน ระดับราคา3-7ล้านบาท เป็นหลัก เนื่องจากการขยายตัวของกลุ่มลูกค้าดังกล่าวเกิดขึ้นต่อเนื่องโดยเฉพาะความต้องการในกลุ่มเจ้าของกิจการขนาดกลาง ขนาดเล็ก และเจ้าของธุรกิจที่เข้าไปขยายการลงทุนในพื้นที่ภาคอีสาน
“พีดี เฮ้าส์ไม่ได้กังวลในด้านคู่แข่งที่จะเข้ามาแข่งในตลาดต่างจังหวัด เนื่องจากพีดี เฮ้าส์ ที่เป็นเจ้าแรกที่เปิดตลาดนี้ ทำให้ได้เปรียบคู่แข่งอยู่หลายช่วงตัว ยิ่งการขยายตลาดของบริษัทมีรูปแบบการลงทุนแบบแฟรนไชส์ ซึ่งดึงคู่แข่งมาเป็นคู่ค้า ทำให้สามารถขยายตัวได้รวดเร็วขึ้น หากผู้ประกอบการรายอื่นๆ จะเข้ามาตลาดนี้ในรูปแบบแฟรนไชส์ก็จะต้องใช้ระยะเวลาในการปรับตัว1-2ปี แต่หากจะเข้าไปลงทุนเองก็จะต้องใช้งบที่สูงทำให้บริษัทมีข้อได้เปรียบทั้งด้านฐานลูกค้าและการมีชื่อเป็นที่รู้จักของลูกค้ามากก่อน”
นายสิทธิพร สุวรรณสุต ประธานกรรมการ บริษัท ปทุมดีไซน์ ดิเวลลอป จำกัด ผู้ให้บริการธุรกิจรับสร้างบ้านแฟรนไชส์ แบรนด์ พีดีเฮ้าส์ กล่าวว่า ปัญหาน้ำท่วมใหญ่และการขยายการลงทุนของผู้ประกอบการวัสดุก่อสร้าง ห้างสรรพสินค้า และวัสดุตกแต่งบ้านในรูปแบบโมเดิร์นเทรดในพื้นที่ภาคอีสานในจังหวัดศูนย์กลางภูมิภาค เช่น ขอนแก่น อุบลราชธานี อุดรธานี และจังหวัดแนวตะเข็บชายแดน ส่งผลต่อการขยายตัวของตลาดที่อยู่อาศัย(บ้านสร้างเอง)ในจังหวัดภาคอีสานอย่างมาก
ทั้งนี้ การขยายการลงทุนของผู้ประกอบการรายใหญ่ เช่น บริษัทโฮมโปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีการขยายสาขาโฮมโปร, กลุ่ม เซ็นทรัลพัฒนาฯ ซึ่งมีการลงทุนเปิดตัวห้างสรรพสินค้า และร้านค้าวัสดุก่อสร้างไทวัสดุ, บริษัท สยาม โกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีการขยายการลงทุนร้านค้าวัสดุก่อสร้างครบวงจร รวมถึงการขยายการลงทุนของร้านค้าวัสดุก่อสร้างในรูปแบบโมเดิร์นเทรด ดูโฮม นอกจากนี้ยังมีกลุ่มนักลงทุนผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จำนวนมากขยายการลงทุนไปในพื้นภาคอีสานเพิ่มขึ้นจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มบริษัท SCG ภายใต้แบรน์ ซีเมนต์ไทยโฮมมาร์ท
สำหรับการขยายการลงทุนของกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ดังกล่าวในพื้นที่จังหวัดภาคอีสาน นั้นคาดว่าส่วนหรือเป็นการเพิ่มช่องทางการตลาดและขยายฐานลูกค้า แต่ปัจจัยสำคัญของการขยายการลงทุนดังกล่าวน่าจะเป็นการลงทุนเพื่อรองรับการขยายตลาดในประเทศเพื่อนบ้าน ภายหลังการเปิดเสรีทางการค้าในกลุ่มประเทศอาเซียน หรือ AEC ซึ่งจะเกิดขึ้นใน3ปีจากนี้ ส่วนสาเหตุที่ผุ้ประกอบการรายใหญ่ยังกล่าวยังไม่ขยายการลงทุนโดยตรงในประเทศเพื่อบ้านนั้นน่าจะยังมีปัญหาในด้านข้อกฎหมายและข้อบังคับของแต่ละประเทศรวมถึงปัญหาด้านการจัดเก็บภาษีของประเทศต่างๆ
“ ในด้านความสัมพันธ์กับคู่ค้าของบริษัทขนาดใหญ่เหล่านี้กับกลุ่มผู้ประกอบการในต่างประเทศนั้นเชื่อว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีอยู่แล้วดังนั้นการขยายการลงทุนในต่างประเทศจึงไม่น่ามีปัญหา แต่ที่ยังไม่ขยายไปลงทุนในประเทศเพื่อบ้านในขณะนี้เพราะยังติดปัญหาด้านกฎหมายและข้อปฏิบัติของต่างประเทศ วึ่งหลังจากเปิดAEC แล้วข้อกำหนด และกฎหมายๆ ต่างๆ จะค่อยๆ เอื้อต่อการลงทุนมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ในอนาคตมีการขยายลงทุนในประเทสเพื่อนบ้านเหล่านี้เกิดขึ้นแน่นอน”
นายสิทธิพร กล่าวว่า อย่างไรก็ตามการเข้าไปลงทุนของกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลต่อการขยายตัวของแรงงาน และเศรษฐกิจในพื้นที่อย่างมาก รวมถึงส่งผลต่อรายได้ของประชากรในพื้นที่ ซึ่งมีผลต่อการขยายตัวของดีมานด์ในตลาดที่อยู่อาสัยให้เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งดัชนีชี้วัดว่ามีการขยายตัวของดีมานด์ในตลาดที่อยู่อาศัยในภาคอีสานได้เป็นอย่างดี คือ การขยายตัวของราคาที่ดินในพื้นที่ตัวจังหวัด และอำเภอที่มีการอยู่อาศัยของประชากรที่หนาแน่น
ทั้งนี้ จากการเก็บตัวเลขการปรับตัวของราคาขายที่ดิน ซึ่งเป็นราคาตลาดในพื้นที่จังหวัดในภาคอีสาน พบว่าในจังหวัดหัวเมืองขนาดใหญ่ เช่น ขอนแก่ อุดรธานี อุบลราชธานี สกลนคร ฯลฯ พบว่าราคาที่ดินมีการปรับตัวขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยการปรับราคาขายขึ้นสูง 50-100 % จากราคาขายเดิม เช่น เดิมราคาขายไร่ละ 1ล้านบาท ก็ปรับขึ้นไปอยู่ที่ 1.5-2ล้านบาท ทั้งนี้ เชื่อว่าหากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในส่วนกลางขยายการลงทุนไปในจังหวัดภาคอีสานมากขึ้น จะส่งผลให้เกิดการขยายตัวของตลาดอสังหาฯอย่างมากและชัดเจนมากขึ้น
“การเข้าไปลงทุนของผู้ประธุรกิจรายใหญ่ ในพื้นที่ภาคอีสาน ส่งผลดีต่อตลาดรับสร้างบ้านในอนาคต เนื่องจากช่วยให้รายได้ของประชากรในพื้นที่สูงขึ้น ประกอบกับปัจจุบันสินค้าภาคเกษตรมีราคาดี หากมีแหล่งกระจายสินค้าใกล้ขึ้นและมีตลาดรับซื้อพื้ชผลการเกษตรจะทำให้เศรษฐกิจในพื้นที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง กำลังซื้อของประชาชนในพื้นที่ก็ส่งขึ้นไปด้วย ในอนาคตความต้องการปลูกสร้างที่อยู่อาศัยก็จะขยายตัวเพิ่มเช่นกัน”
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรองรับการกลุ่มลูกค้าในตลาดล่างระดับราคา1-2ล้านบาท บริษัทได้เตรียมแผนขยายเข้าไปเจาะตลาดดังกล่าวซึ่งขณะนี้รอเพียงดัชนีชี้ชัดว่าตลาดระดับล่างมีความต้องการขยายตัวสูง โดยวัดจากการเข้าไปลงทุนของผู้ประกอบการอสังหาฯรายใหญ่ ซึ่งปัจจุบันมีหลายบริษัทมีแผนเข้าไปลงทุนพัฒนาโครงการแล้วในปีนี้ พีดี เฮ้าส์ ก็พร้อมที่จะเข้าไปจับกลุ่มดังกล่าว ดดยการออกแบบบ้านในระดับราคาดังกล่าวรองรับความต้องการกลุ่มลูกค้าใหม่ทันที่
โดยปัจจุบันบริษัทยังเน้นจับลูกค้าในตลาดกลาง-บน ระดับราคา3-7ล้านบาท เป็นหลัก เนื่องจากการขยายตัวของกลุ่มลูกค้าดังกล่าวเกิดขึ้นต่อเนื่องโดยเฉพาะความต้องการในกลุ่มเจ้าของกิจการขนาดกลาง ขนาดเล็ก และเจ้าของธุรกิจที่เข้าไปขยายการลงทุนในพื้นที่ภาคอีสาน
“พีดี เฮ้าส์ไม่ได้กังวลในด้านคู่แข่งที่จะเข้ามาแข่งในตลาดต่างจังหวัด เนื่องจากพีดี เฮ้าส์ ที่เป็นเจ้าแรกที่เปิดตลาดนี้ ทำให้ได้เปรียบคู่แข่งอยู่หลายช่วงตัว ยิ่งการขยายตลาดของบริษัทมีรูปแบบการลงทุนแบบแฟรนไชส์ ซึ่งดึงคู่แข่งมาเป็นคู่ค้า ทำให้สามารถขยายตัวได้รวดเร็วขึ้น หากผู้ประกอบการรายอื่นๆ จะเข้ามาตลาดนี้ในรูปแบบแฟรนไชส์ก็จะต้องใช้ระยะเวลาในการปรับตัว1-2ปี แต่หากจะเข้าไปลงทุนเองก็จะต้องใช้งบที่สูงทำให้บริษัทมีข้อได้เปรียบทั้งด้านฐานลูกค้าและการมีชื่อเป็นที่รู้จักของลูกค้ามากก่อน”