xs
xsm
sm
md
lg

“ศรีไทย”หนีค่าแรงไทยโหด ทุ่ม1พันล.โยกฐานผลิตตปท.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน – ตลาดแรงงานไทยค่าแรงสูง “ศรีไทยฯ” ทุ่ม1,000 ล้าน มุ่งปังธงสร้างฐานผลิตในต่างแดนทดแทน เดินหน้าเพิ่มกำลังผลิตแพกเกจจิ้ง ดัน“เอสเนเจอร์”สู่ตลาดอาเซียน มั่นใจสิ้นปีรายได้รวมโตมากกว่า 10% หรือกว่า7,800 ล้านบาท

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจของกลุ่มศรีไทยฯในปีนี้ จะมีการลงทุนขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะใช้งบลงทุนรวมไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท สำหรับ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ เมลามีน, พลาสติก และธุรกิจขายตรง เอสเนเจอร์ โดยในส่วนเมลามีน จะใช้งบ 100 ล้านบาท ในการตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่ คือ บริษัท โคราชไทยเทรด จำกัด เป็นโรงงานที่ตั้งอยู่ในจังหวัดนครราชสีมา เป็นเอสเอ็มอี รับจ้างผลิตสินค้าที่ทำจากเมลามีนส่งออกไปยังยุโรปและอเมริกาโดยเฉพาะ ลูกค้าหลักคือ IKEA ทั้งนี้เพื่อเป็นไปตามข้อตกลงของคู่ค้า ที่ต้องการให้แรงงานทำงานไม่เกิน 60 ชม./คน/สัปดาห์ คาดว่าภายในกางเดือนก.พ.ที่จะถึงนี้ จะเริ่มส่งออกสินค้าได้ คาดว่าต่อปีจะมีรายได้ราว450 ล้านบาท

และจากปัญหาค่าแรงไทยกำลังขยับตัวสูงขึ้นอีกทั้งยังหายาก จึงต้องมีการเรียกใช้แรงงานจากเพื่อนบ้านแทนทั้งจาก พม่า และกัมพูชา แต่ก็ไม่เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ ดังนั้นแผนการขยายกำลังการผลิตของศรีไทยฯจะเน้นฐานการผลิตในต่างประเทศเป็นหลัก เนื่องจากค่าแรงที่ถูกกว่า เช่น ที่เวียดนามอาจจะเพิ่มโรงงานใหม่ขยายการผลิตเกี่ยวกับจานชามเมลามีน จากที่มีเครื่องจักร 20 เครื่อง จะเพิ่มเป็น 40 เครื่อง รองรับตลาดในประเทศ รวมถึงส่งออก และพม่าจะเข้าไปตั้งโรงงานเกี่ยวกับเมลามีนด้วยเช่นกัน ส่วนอินเดีย จากเดิมที่มีโรงงานอยู่ 3 แห่ง ก็จะขยายเพิ่มอีก 1 แห่งด้วย

สำหรับกลุ่มพลาสติก ปีนี้จะใช้งบลงทุนร่วม 500-600 ล้านบาท ส่วนใหญ่มุ่งขยายกำลังการผลิตในต่างประเทศเป็นหลัก คือ ที่เวียดนาม จะเปิดไลน์โปรดักส์ใหม่เพิ่ม 1 ไลน์ คือ Preform การเป่าขวด โดยจะให้บริษัทศรีไทยเวียดนาม จำกัด เพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 65 ล้านบาท จาก 270 ล้านบาท คาดว่าจะทำให้รายได้ต่อปีขยับเป็น 650 ล้านบาท จาก 300 ล้านบาทได้ โดยอนาคต ที่ลาว จะเข้าไปเปิดโรงงานผลิตด้านพลาสติกเล็กๆ รับตลาดในประเทศด้วย

ส่วนโรงงานในประเทศ ปีนี้บริษัทได้ลดกำลังการผลิตเกี่ยวกับชิ้นส่วนประกอบรถยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าไปกว่าครึ่ง จากเดิมปีก่อนทำรายได้ที่ 650 ล้านบาท ปีนี้จะเหลือเพียง 300-350 ล้านบาท และในปีหน้าจะหยุดการผลิตลง เนื่องจากปัญหาเรื่องค่าแรงที่เพิ่มสูงขึ้น และแรงงานที่ขาดแคลน แต่จะหันมามุ่งผลิตพลาสติกที่เป็นภาชนะบรรจุอาหารและเครื่องดื่มแทน เช่น กล่องข้าวของกลุ่ม CPF ขวดน้ำPEP และฝาปิดขวดน้ำพลาสติกกับทางไทยน้ำทิพย์ รวมถึงถังบรรจุสีทาบ้าน ถังบรรจุผงซักฟอก และพลาสติกพาเลทวางสินค้า

ส่วนธุรกิจขายตรงเอสเนเจอร์ จากเดิมมีจำนวนสาขาทั่วประเทศ 15 สาขา ปีนี้จะเพิ่มอีก 2 สาขา ที่อุดรธานี และภาคใต้ โดยตลาดต่างประเทศกำลังเริ่มเข้าไปรุกพม่าและลาว และกำลังจะเข้าไปขยายตลาดในกัมพูชาเดือนพ.ค.ที่จะถึงนี้ และอินโดนีเซียในเดือนธ.ค.นี้ด้วย และหากเอสเนเจอร์รุกตลาดเข้าAEC ครบทุกประเทศแล้ว จึงจะพิจารณาเข้าไปทำตลาดในจีนต่อไป เชื่อว่าทั้งปีนี้เอสเนเจอร์จะมีรายได้ประมาณ460ล้านบาท จากปีก่อนทำได้ 353 ล้านบาท

นายสนั่น กล่าวต่อว่า ในแง่รายได้รวม ถึงสิ้นปีนี้คาดว่าทั้งกลุ่มจะมีรายได้เติบโตมากกว่า 10% หรือกว่า 7,800 ล้านบาท ขณะที่ปีก่อนตั้งเป้ารายได้ไว้ที่6,700 ล้านบาท แต่หลังจากเจอปัญหาน้ำท่วม กลับพบว่าตัวเลขรายได้จริงอยู่ที่ 6,695 ล้านบาท ถือว่ายังเป็นไปตามเป้า ดังนั้นปีนี้จึงไม่กังวลกับปัจจัยใดๆทั้งนั้น พร้อมมองวิกฤตเป็นโอกาส แต่ต้องยอมรับว่าราคาต้นทุนเม็ดพลาสติกกำลังจะขยับราคาสูงขึ้นอีกครั้งหลังตรุษจีน ส่งผลให้ในช่วงเม.ย.ที่จะถึงนี้ ทางบริษัทจะมีการปรับราคาสินค้าขึ้นราว 10%
กำลังโหลดความคิดเห็น