บอร์ดททท.ผ่านแผนกรอบ แผนงานปี 56 ของบ 8.6 พันล้านบาท หวังรายได้โต 12% ดันท่องเที่ยวไทยยั่งยืน พร้อมเข้าสู่ตลาดเออีซี เห็นชอบแผนปิดกิจการอีลิทการ์ด เตรียมเสนอ ครม. มีนาคมนี้ คาดใช้เงินขั้นต่ำ 190 ล้านบาท เสร็จภายใน เม.ย.56
วานนี้(25ม.ค.55) การประชุมคณะ
กรรมการ(บอร์ด)การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)
โดย นายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการ ททท. เปิดเผยว่า ที่
ประชุมบอร์ดเห็นชอบ กรอบการจัดทำแผนการดำเนิน
งานในปีงบประมาณ 2556 ภายใต้วงเงินงบประมาณที่
จะเสนอขอ 8,600 ล้านบาท วางเป้าหมายเพิ่มรายได้
จากปีงบประมาณ 2555 ราว 12% และ เห็นชอบแผน
ดำเนินการปิดกิจการบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด
จำกัด หรือ ทีพีซี ตามที่ บริษัท ทีพีซี เสนอ
***ขอ 8.6
พันล้านดันรายได้โต12% ปี56***
ทั้งนี้ กรอบการวางแผนงานในปีงบประมาณ 2556 ต้อง
จัดทำให้สอดคล้องกับแผนวิสาหกิจ ททท.ปี 56-59 และ
แผนยุทธศาสตร์ 4 ปี ของรัฐบาล ซึ่งขอให้เน้นการทำ
งานใน 4 ด้านหลัก ได้แก่ 1.การเสริมสร้างภาพลักษณ์
ประเทศไทย ตอกย้ำแบรนด์ “อะเมซิ่งไทยแลนด์” ให้
แข็งแกร่ง 2. มุ่งยกระดับประเทศไทยให้เป็นควอลิตี้เด
สติเนชั่น นำจุดเด่นเรื่องความเป็นไทยเนส ออกมานำ
เสนอส่งเสริมการทำตลาดแบบยั่งยื่น ดึงความต้องการ
ของนักท่องเที่ยวกลุ่มไฮเอนด์
3.สร้างเน็คเวิร์คกิ้ง ประสานพันธมิตรทั้งในและนอก
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ในการช่วยทำการตลาด เพื่อ
การมุ่งสู่การเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี)
ผลักดันไทยเป็นเกทเวย์อาเซียน และเอ็กซิส เดสติเนชั่น
หรือมาแวะเที่ยวเป็นประเทศแรกก่อนไปประเทศอื่น
หรือแวะเที่ยวเป็นประเทศสุดท้ายก่อนจะเดินทางกลับ
และ 4.การพัฒนาด้านการบริหารจัดการองค์กร และ
บุคคลากรโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เข้าสู่ยุคดิจิตอล
และการจัดหาช่องทางการตลาดสมัยใหม่
“ตัวเลขงบประมาณปี 2556 ที่จะขอ 8,600 ล้านบาท คำ
นวนจากผลการทำงานที่คาดหวังและความต้องการการ
เติบโตทางด้านรายได้รวมในประเทศและต่างประเทศ
เติบโต 12% จากปี 2555 ซึ่งได้รับงบประมาณ 4,807
ล้านบาท รายได้รวม 1.2 ล้านล้านบาท ดังนั้นจึงจำเป็น
ต้องให้ความสำคัญกับการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์
และการตลาด เพื่อรักษาฐานนักท่องเที่ยวเก่า ขยายสู่นัก
ท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ๆ รวมถึงเปรียบเทียบการใช้เงินทำ
การตลาดของประเทศคู่แข่งขันอย่าง มาเลเซีย ซึ่งใช้งบ
เฉพาะโฆษณา 14 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ไทยใช้เพียง
1 ล้านเหรียญสหรัฐ ต่างกันถึง 14 เท่า ส่วนสิงคโปร์
อินเดีย ออสเตรเลีย ก็ใช้งบมากกว่าไทย”
***เสนอครม.ปิดอีลิทมี.ค.ใช้เงิน190ล้าน***
สำหรับ กรอบแนวทางการปิดกิจการอีลิทการ์ด ตามที่
บริษัท ทีพีซี ได้นำเสนอผ่านที่ประชุมผู้ถือหุ้น ททท
.จะนำเสนอกระทรวงการท่องเที่ยว เพื่อเสนอต่อที่
ประชุมคณะรัฐมนตรี พิจารณาภายในเดือนมี.ค. 55 และ
จะดำเนินการปิดกิจการภายใน 90 วัน นับจากวันที่มีมติ
จากครม.และปิดกิจการได้แล้วเสร็จภายใน 300 วัน ใช้
มีค่าใช้จ่ายฟิกคอร์สในการปิดกิจการราว 190 ล้านบาท
“ในรายละเอียดของแผนที่ทีพีซี จัดทำมานั้น มี 2 แนว
ทาง คือ กรณีที่สมาชิกไม่ฟ้องร้อง คาดว่าจะดำเนินการ
ปิดบริษัทได้ภายใน เม.ย.56 และ กรณีที่สมาชิกฟ้องร้อง
จะปิดในราว ก.ย.57 โดยเบื้องต้นเมื่อ ครม.เห็นชอบแผน
ก็จะดำเนินการเลิกจ้าง พนักงาน ทีพีซี ภายใน 90 วัน
จากปัจจุบันมีราว 83 คน ให้เหลือเพียง 10 คน เพื่อดูแล
เรื่องการปิดกิจการ และคดีความที่อาจเกิดมีขึ้นได้ โดย
จากผลสำรวจ มีสมาชิกเพียง 25%ที่ใช้บริการอย่างต่อ
เนื่อง กลุ่มนี้ มีความเป็นไปได้ที่จะฟ้องร้อง อีก 75%
ถือบัตรไว้เฉยๆไม่ค่อยได้มาใช้บริการ”
อย่างไรก็ตาม กระบวนการปิดกิจการของบริษัท จะ
ต้องขายทรัพย์สิน และเรียกชำระค่าหุ้นที่ยังเหลือเป็น
ลำดับแรก เพื่อนำมาใช้หนี้บริษัท และชดเชยความเสีย
หายตามกฎหมาย ซึ่งปัจจุบันทีพีซียังมีค่าหุ้นคงค้าง ที่
ททท.ต้องจ่ายอยู่อีกราว 500 ล้านบาท
***คุยก่อการร้ายไม่กระทบท่องเที่ยว**
นายสุรพล กล่าวถึงผลกระทบจากกระแสข่าวก่อการ
ร้ายในประเทศไทยว่า ล่าสุดมีประเทศที่ยังคงประกาศ
เตือนนักท่องเที่ยว เหลือเพียง 14 ประเทศ จากที่
ประกาศไว้ 18 ประเทศ ซึ่ง ททท. ให้ความสำคัญกับ
การสื่อสารข้อมูล ให้ข้อเท็จจริง ในสิ่งที่รัฐบาลเร่ง
ดำเนินการจัดการ ขณะเดียวกันมีรายงานจากสำนักงาน
ททท.ต่างประเทศ เช่น จีน และ อเมริกา ยังไม่มีตัวเลข
การยกเลิกการเดินทางของนักท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ
ส่วนรายงานจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ด่านสนาม
บินสุวรรณภูมิ 1-24 ม.ค.55มีนักท่องเที่ยวต่าง
ชาติ982,865 คน เพิ่มขึ้น 3.95% ส่วนท่าอากาศยานภูเก็ต
วันที่ 1-18 ม.ค. มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา 149,474
คน เพิ่มขึ้น 16.66% แสดงให้เห็นว่า ข่าวเตือนการก่อ
การร้ายไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวภาพรวมมาก
วานนี้(25ม.ค.55) การประชุมคณะ
กรรมการ(บอร์ด)การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)
โดย นายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการ ททท. เปิดเผยว่า ที่
ประชุมบอร์ดเห็นชอบ กรอบการจัดทำแผนการดำเนิน
งานในปีงบประมาณ 2556 ภายใต้วงเงินงบประมาณที่
จะเสนอขอ 8,600 ล้านบาท วางเป้าหมายเพิ่มรายได้
จากปีงบประมาณ 2555 ราว 12% และ เห็นชอบแผน
ดำเนินการปิดกิจการบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด
จำกัด หรือ ทีพีซี ตามที่ บริษัท ทีพีซี เสนอ
***ขอ 8.6
พันล้านดันรายได้โต12% ปี56***
ทั้งนี้ กรอบการวางแผนงานในปีงบประมาณ 2556 ต้อง
จัดทำให้สอดคล้องกับแผนวิสาหกิจ ททท.ปี 56-59 และ
แผนยุทธศาสตร์ 4 ปี ของรัฐบาล ซึ่งขอให้เน้นการทำ
งานใน 4 ด้านหลัก ได้แก่ 1.การเสริมสร้างภาพลักษณ์
ประเทศไทย ตอกย้ำแบรนด์ “อะเมซิ่งไทยแลนด์” ให้
แข็งแกร่ง 2. มุ่งยกระดับประเทศไทยให้เป็นควอลิตี้เด
สติเนชั่น นำจุดเด่นเรื่องความเป็นไทยเนส ออกมานำ
เสนอส่งเสริมการทำตลาดแบบยั่งยื่น ดึงความต้องการ
ของนักท่องเที่ยวกลุ่มไฮเอนด์
3.สร้างเน็คเวิร์คกิ้ง ประสานพันธมิตรทั้งในและนอก
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ในการช่วยทำการตลาด เพื่อ
การมุ่งสู่การเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี)
ผลักดันไทยเป็นเกทเวย์อาเซียน และเอ็กซิส เดสติเนชั่น
หรือมาแวะเที่ยวเป็นประเทศแรกก่อนไปประเทศอื่น
หรือแวะเที่ยวเป็นประเทศสุดท้ายก่อนจะเดินทางกลับ
และ 4.การพัฒนาด้านการบริหารจัดการองค์กร และ
บุคคลากรโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เข้าสู่ยุคดิจิตอล
และการจัดหาช่องทางการตลาดสมัยใหม่
“ตัวเลขงบประมาณปี 2556 ที่จะขอ 8,600 ล้านบาท คำ
นวนจากผลการทำงานที่คาดหวังและความต้องการการ
เติบโตทางด้านรายได้รวมในประเทศและต่างประเทศ
เติบโต 12% จากปี 2555 ซึ่งได้รับงบประมาณ 4,807
ล้านบาท รายได้รวม 1.2 ล้านล้านบาท ดังนั้นจึงจำเป็น
ต้องให้ความสำคัญกับการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์
และการตลาด เพื่อรักษาฐานนักท่องเที่ยวเก่า ขยายสู่นัก
ท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ๆ รวมถึงเปรียบเทียบการใช้เงินทำ
การตลาดของประเทศคู่แข่งขันอย่าง มาเลเซีย ซึ่งใช้งบ
เฉพาะโฆษณา 14 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ไทยใช้เพียง
1 ล้านเหรียญสหรัฐ ต่างกันถึง 14 เท่า ส่วนสิงคโปร์
อินเดีย ออสเตรเลีย ก็ใช้งบมากกว่าไทย”
***เสนอครม.ปิดอีลิทมี.ค.ใช้เงิน190ล้าน***
สำหรับ กรอบแนวทางการปิดกิจการอีลิทการ์ด ตามที่
บริษัท ทีพีซี ได้นำเสนอผ่านที่ประชุมผู้ถือหุ้น ททท
.จะนำเสนอกระทรวงการท่องเที่ยว เพื่อเสนอต่อที่
ประชุมคณะรัฐมนตรี พิจารณาภายในเดือนมี.ค. 55 และ
จะดำเนินการปิดกิจการภายใน 90 วัน นับจากวันที่มีมติ
จากครม.และปิดกิจการได้แล้วเสร็จภายใน 300 วัน ใช้
มีค่าใช้จ่ายฟิกคอร์สในการปิดกิจการราว 190 ล้านบาท
“ในรายละเอียดของแผนที่ทีพีซี จัดทำมานั้น มี 2 แนว
ทาง คือ กรณีที่สมาชิกไม่ฟ้องร้อง คาดว่าจะดำเนินการ
ปิดบริษัทได้ภายใน เม.ย.56 และ กรณีที่สมาชิกฟ้องร้อง
จะปิดในราว ก.ย.57 โดยเบื้องต้นเมื่อ ครม.เห็นชอบแผน
ก็จะดำเนินการเลิกจ้าง พนักงาน ทีพีซี ภายใน 90 วัน
จากปัจจุบันมีราว 83 คน ให้เหลือเพียง 10 คน เพื่อดูแล
เรื่องการปิดกิจการ และคดีความที่อาจเกิดมีขึ้นได้ โดย
จากผลสำรวจ มีสมาชิกเพียง 25%ที่ใช้บริการอย่างต่อ
เนื่อง กลุ่มนี้ มีความเป็นไปได้ที่จะฟ้องร้อง อีก 75%
ถือบัตรไว้เฉยๆไม่ค่อยได้มาใช้บริการ”
อย่างไรก็ตาม กระบวนการปิดกิจการของบริษัท จะ
ต้องขายทรัพย์สิน และเรียกชำระค่าหุ้นที่ยังเหลือเป็น
ลำดับแรก เพื่อนำมาใช้หนี้บริษัท และชดเชยความเสีย
หายตามกฎหมาย ซึ่งปัจจุบันทีพีซียังมีค่าหุ้นคงค้าง ที่
ททท.ต้องจ่ายอยู่อีกราว 500 ล้านบาท
***คุยก่อการร้ายไม่กระทบท่องเที่ยว**
นายสุรพล กล่าวถึงผลกระทบจากกระแสข่าวก่อการ
ร้ายในประเทศไทยว่า ล่าสุดมีประเทศที่ยังคงประกาศ
เตือนนักท่องเที่ยว เหลือเพียง 14 ประเทศ จากที่
ประกาศไว้ 18 ประเทศ ซึ่ง ททท. ให้ความสำคัญกับ
การสื่อสารข้อมูล ให้ข้อเท็จจริง ในสิ่งที่รัฐบาลเร่ง
ดำเนินการจัดการ ขณะเดียวกันมีรายงานจากสำนักงาน
ททท.ต่างประเทศ เช่น จีน และ อเมริกา ยังไม่มีตัวเลข
การยกเลิกการเดินทางของนักท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ
ส่วนรายงานจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ด่านสนาม
บินสุวรรณภูมิ 1-24 ม.ค.55มีนักท่องเที่ยวต่าง
ชาติ982,865 คน เพิ่มขึ้น 3.95% ส่วนท่าอากาศยานภูเก็ต
วันที่ 1-18 ม.ค. มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา 149,474
คน เพิ่มขึ้น 16.66% แสดงให้เห็นว่า ข่าวเตือนการก่อ
การร้ายไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวภาพรวมมาก