ASTVผู้จัดการรายวัน - “อีลิท” บัตรเทวดาตกสวรรค์ ฐานะการเงินกรอบ เหลือเงินแค่ 80 ล้านบาท คาดใช้ได้ถึงกลางปีหน้า เพราะไม่มีเงินเข้ากระเป๋ามีแต่เงินไหลออก ด้าน“ชุมพล” สั่งบีบทุกทาง ลดเบี้ยประชุม จี้เร่งปิดกิจการ ที่ประชุมผู้ถือหุ้นเตรียมหารือปรับลดค่าใช้จ่าย เพิ่ม ส่วนกรณีบริษัทเรียกชำระค่าหุ้น 500 ล้านบาท คงได้เท่าที่จำเป็น คาดถ้าต้องปิดกิจการ ต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท
นางวิไลวรรณ ทวิชศรี รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ในการประชุมผู้ถือหุ้นบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจคาร์ด จำกัด หรือ ทีพีซี ผู้บริหารโครงการ บัตรไทยแลนด์อีลิท วันนี้ (9 ธ.ค.54) มีวาระการประชุมที่สำคัญคือ จะนำประเด็นการปรับลดค่าใช้จ่ายของทีพีซี เข้ามาพิจารณาอย่างเร่งด่วน รวมถึงรับฟังการรายงานความคืบหน้าการดำเนินการยุบเลิกกิจการของบริษัท ตามมติของคณะรัฐมนตรี เมื่อปี 2553
สำหรับประเด็นของการลดค่าใช้จ่าย ต้องการให้ทีพีซี ปรับลดค่าในส่วนของรายจ่ายประจำ(ฟิกคอร์ส)ลงอีก จากปัจจุบันที่มีค่าใช้จ่ายประมาณเดือนละ 10 ล้านบาท ซึ่งหากลดลงมากเท่าไรก็จะยิ่งเป็นการดีเท่านั้น เนื่องจากขณะนี้ เงินสดของบริษัทเหลือน้อยลง เต็มที เพราะมีแต่รายจ่ายแต่ไม่มีรายรับเพิ่มเข้ามา ขณะที่เงินค่าหุ้นที่บริษัทเตรียมเรียกชำระเพิ่มทุน 500 ล้านบาท ก็ยังไม่ได้รับการพิจารณาจากคณะรัฐมนตรีแต่อย่างใด
“ตอนนี้โจทย์ของทีพีซี ตามที่นายชุมพล ศิลปอาชา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว ให้มาก็คือ ต้องประหยัดการใช้จ่ายทุกทางให้ได้มากที่สุด การใช้จ่ายใดๆที่ไม่จำเป็นต้องตัดออกไป และต้องการให้ ทีพีซี เดินหน้าชี้แจงสมาชิกของอีลิททั้งหมดให้ทราบถึงฐานะของบริษัทว่าเป็นอย่างไร รวมถึงการทำความเข้าใจต่อมติครม. ที่ให้ ยุบเลิกกิจการ ซึ่งขณะนี้ บริษัทก็กำลังดำเนินการอยู่”
อย่างไรก็ตาม กรณีเงินค่าหุ้น 500 ล้านบาท ที่ บริษัท ทีพีซี เรียกให้ผู้ถือหุ้นนำมาชำระ ซึ่งทางบอร์ด ททท.ได้ผ่านความเห็นชอบในกรอบเบื้องต้นไปแล้ว รอเพียงการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี(ครม.)เป็นลำดับต่อไป แต่เชื่อว่า ครม. คงไม่อนุมัติ วงเงินทั้งหมดดังกล่าวเพราะเป็นจำนวนที่มาก แต่คงพิจารณาให้เท่าที่จำเป็นเพราะขณะนี้รัฐบาลมีภาระที่ต้องใช้เงินงบประมาณจำนวนมากในการฟื้นฟูประเทศและช่วยเหลือประชาชนจากเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นและเร่งด่วนมากกว่า
ส่วนกรณีวงเงินที่จะนำมาใช้ชดเชยให้แก่สมาชิกอีลิทกรณีที่จะต้องยุบเลิกกิจการอีลิทนั้น ทาง ททท.ได้นำข้อมูลทั้งหมดที่มีการศึกษาไว้ก่อนหน้านี้แล้วมาพิจารณาอย่างคร่าวๆ วึ่ทงถือเป็นจำนวนเงินที่มาก เพราะต้องประหยัดการใช้เงินในทุกทาง เบื้องต้นน่าจะใช้เงินไม่น้อยกว่า 2,500 ล้านบาท ตามจำนวนสมาชิกผู้ถือบัตร แต่ยังไม่นับรวมกรณีเกิดการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเพิ่มเติม ที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาและต้องใช้เงินอีกจำนวนมากด้วย ซึ่งก็ยังไม่รู้ด้วยว่าจะนำเงินมากมายขนาดนั้นมาจากไหน
รายงานข่าวแจ้งว่า ปัจจุบัน บริษัท ทีพีซี ยังคงเหลือเงินสดที่จะใช้จ่ายได้ประมาณ 80 ล้านบาทเท่านั้นเอง คาดว่าคงจะเพียงพอที่จะใช้ดำเนินงานได้อีกประมาณ 8 เดือนจากนี้ หรือไม่เกินกลางปีหน้า (2555) โดยที่บริษัทมีภาระค่าใช้จ่ายต่อเดือน ทั้งเงินเดือนพนักงานและค่าใช้จ่ายด้านสมาชิก รวมกันแล้วประมาณเดือนละ 10 ล้านบาท
โดยสถานการณ์ล่าสุด มีคำสั่งให้บริษัทปรับลดเบี้ยประชุมลงครึ่งหนึ่ง เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ส่วนการศึกษาวงเงินที่จะใช้ชดเชยแก่สมาชิก รวมกรณีถูกฟ้องร้อง หาก บริษัทต้องปิดกิจการ คาดว่าจะต้องใช้มากถึง 4 หรือ 5 พันล้านบาท หาก ครม.ไม่มีมติอนุมัติวงเงิน ชำระค่าหุ้นและเงินชดเชยสมาชิก บริษัท ทีพีซีก็ไม่สามารถปิดกิจการได้
นางวิไลวรรณ ทวิชศรี รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ในการประชุมผู้ถือหุ้นบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจคาร์ด จำกัด หรือ ทีพีซี ผู้บริหารโครงการ บัตรไทยแลนด์อีลิท วันนี้ (9 ธ.ค.54) มีวาระการประชุมที่สำคัญคือ จะนำประเด็นการปรับลดค่าใช้จ่ายของทีพีซี เข้ามาพิจารณาอย่างเร่งด่วน รวมถึงรับฟังการรายงานความคืบหน้าการดำเนินการยุบเลิกกิจการของบริษัท ตามมติของคณะรัฐมนตรี เมื่อปี 2553
สำหรับประเด็นของการลดค่าใช้จ่าย ต้องการให้ทีพีซี ปรับลดค่าในส่วนของรายจ่ายประจำ(ฟิกคอร์ส)ลงอีก จากปัจจุบันที่มีค่าใช้จ่ายประมาณเดือนละ 10 ล้านบาท ซึ่งหากลดลงมากเท่าไรก็จะยิ่งเป็นการดีเท่านั้น เนื่องจากขณะนี้ เงินสดของบริษัทเหลือน้อยลง เต็มที เพราะมีแต่รายจ่ายแต่ไม่มีรายรับเพิ่มเข้ามา ขณะที่เงินค่าหุ้นที่บริษัทเตรียมเรียกชำระเพิ่มทุน 500 ล้านบาท ก็ยังไม่ได้รับการพิจารณาจากคณะรัฐมนตรีแต่อย่างใด
“ตอนนี้โจทย์ของทีพีซี ตามที่นายชุมพล ศิลปอาชา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว ให้มาก็คือ ต้องประหยัดการใช้จ่ายทุกทางให้ได้มากที่สุด การใช้จ่ายใดๆที่ไม่จำเป็นต้องตัดออกไป และต้องการให้ ทีพีซี เดินหน้าชี้แจงสมาชิกของอีลิททั้งหมดให้ทราบถึงฐานะของบริษัทว่าเป็นอย่างไร รวมถึงการทำความเข้าใจต่อมติครม. ที่ให้ ยุบเลิกกิจการ ซึ่งขณะนี้ บริษัทก็กำลังดำเนินการอยู่”
อย่างไรก็ตาม กรณีเงินค่าหุ้น 500 ล้านบาท ที่ บริษัท ทีพีซี เรียกให้ผู้ถือหุ้นนำมาชำระ ซึ่งทางบอร์ด ททท.ได้ผ่านความเห็นชอบในกรอบเบื้องต้นไปแล้ว รอเพียงการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี(ครม.)เป็นลำดับต่อไป แต่เชื่อว่า ครม. คงไม่อนุมัติ วงเงินทั้งหมดดังกล่าวเพราะเป็นจำนวนที่มาก แต่คงพิจารณาให้เท่าที่จำเป็นเพราะขณะนี้รัฐบาลมีภาระที่ต้องใช้เงินงบประมาณจำนวนมากในการฟื้นฟูประเทศและช่วยเหลือประชาชนจากเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นและเร่งด่วนมากกว่า
ส่วนกรณีวงเงินที่จะนำมาใช้ชดเชยให้แก่สมาชิกอีลิทกรณีที่จะต้องยุบเลิกกิจการอีลิทนั้น ทาง ททท.ได้นำข้อมูลทั้งหมดที่มีการศึกษาไว้ก่อนหน้านี้แล้วมาพิจารณาอย่างคร่าวๆ วึ่ทงถือเป็นจำนวนเงินที่มาก เพราะต้องประหยัดการใช้เงินในทุกทาง เบื้องต้นน่าจะใช้เงินไม่น้อยกว่า 2,500 ล้านบาท ตามจำนวนสมาชิกผู้ถือบัตร แต่ยังไม่นับรวมกรณีเกิดการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเพิ่มเติม ที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาและต้องใช้เงินอีกจำนวนมากด้วย ซึ่งก็ยังไม่รู้ด้วยว่าจะนำเงินมากมายขนาดนั้นมาจากไหน
รายงานข่าวแจ้งว่า ปัจจุบัน บริษัท ทีพีซี ยังคงเหลือเงินสดที่จะใช้จ่ายได้ประมาณ 80 ล้านบาทเท่านั้นเอง คาดว่าคงจะเพียงพอที่จะใช้ดำเนินงานได้อีกประมาณ 8 เดือนจากนี้ หรือไม่เกินกลางปีหน้า (2555) โดยที่บริษัทมีภาระค่าใช้จ่ายต่อเดือน ทั้งเงินเดือนพนักงานและค่าใช้จ่ายด้านสมาชิก รวมกันแล้วประมาณเดือนละ 10 ล้านบาท
โดยสถานการณ์ล่าสุด มีคำสั่งให้บริษัทปรับลดเบี้ยประชุมลงครึ่งหนึ่ง เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ส่วนการศึกษาวงเงินที่จะใช้ชดเชยแก่สมาชิก รวมกรณีถูกฟ้องร้อง หาก บริษัทต้องปิดกิจการ คาดว่าจะต้องใช้มากถึง 4 หรือ 5 พันล้านบาท หาก ครม.ไม่มีมติอนุมัติวงเงิน ชำระค่าหุ้นและเงินชดเชยสมาชิก บริษัท ทีพีซีก็ไม่สามารถปิดกิจการได้
