ชุมพล ชง ครม.ขอ 2.5 พันล้านบาท ปิดอีลิทการ์ด ชดเชยสมาชิก อ้างหมดสิทธิ์วีซ่า ก็หมดความน่าสนใจ ด้านบอร์ดอีลิท ยังฝืนทำงานต่อ ล่าสุด ตั้ง 2 กรรมการ แทนคนเดิม ที่ชักแถวลาออกเป็นระลอก เผย ขอทำงานให้ดีที่สุด ยื้อต่อไปถึงปีหน้า ถ้าเงินหมด ก็เป็นหน้าที่ ททท.ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ดิ้น หาเงินมาอุดหนุน
แหล่งข่าวจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ในวันนี้ (26 เม.ย.) นายชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) พิจารณา ปิดกิจการ บริษัท ไทยแลนด์ พรีวิเลจ คาร์ด จำกัด ผู้บริหารโครงการบัตรไทยแลนด์ อีลิทการ์ด พร้อมขออนุมัติเงิน 2,500 ล้านบาท เพื่อชดเชยให้แก่สมาชิกผู้ถือบัตร 2,500 ราย
โดยให้เหตุผลว่า สืบเนื่องจากผลการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ยืนยันว่า ไม่สามารถโอนสิทธิการให้วีซ่า แก่เอกชนที่สนใจประมูลซื้อกิจการได้ ทำให้ บริษัทไม่เป็นที่สนใจให้เอกชนมาประมูลซื้อ แต่หากจะโอนกิจการให้ ททท.บริหารต่อก็เท่ากับสร้างภาระให้แก่ ททท. ในการตั้งงบประมาณเพื่อบริหารโครงการต่อไปทุกปี
นางจันทิมา สิริแสงทักษิณ รักษาการผู้อำนวยการ บริษัท ไทยแลนด์ พรีวิเลจ คาร์ด จำกัด หรือ ทีพีซี ผู้ดำเนินโครงการ บัตรไทยแลนด์ อีลิท การ์ด เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ(บอร์ด) ทีพีซี เห็นชอบ แต่งตั้งกรรมการ 2 ท่าน คือ นายสรรเสริญ เงารังษี รองผู้ว่าการด้านตลาดต่างประเทศ เอเชีย และแปซิฟิกใต้ ททท.และ นายธวัชชัย อรัญญิก รองผู้ว่าการ ด้านตลาดในประเทศการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) แทนคนเดิมที่ยื่นหนังสือลาออก คือ น.ส.เพ็ญสุดา ไพรอร่าม และ นายอักกพล พฤกษะวัน ซึ่งเป็นตัวแทนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดยให้เหตุผลการลาออกว่า ติดเรื่องระเบียบ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และ เหตุผลเรื่องสุขภาพ ตามลำดับ
ขณะเดียวกัน ยังเห็นชอบในหลักการให้ ทีพีซี ดำเนินการปรับปรุง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริการแก่สมาชิก ได้แก่ การปรับปรุงเว็บไซต์ เพื่ออัพเดทข้อมูลข่าวสารความเคลื่อนไหวของการให้บริการของบริษัท และปรับปรุงเพิ่มอำนวยความสะดวกให้กับการทำงานของพนักงาน เพื่อการให้บริการแก่สมาชิกได้สะดวกสบายเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับแนวทางการทำงานของบริษัทที่เน้นด้านการบริการแก่สมาชิกให้เกิดความพึงพอใจสูงสุด
ทั้งนี้ ยอมรับว่า ทีพีซี ไม่สามารถดำเนินงานอะไรได้มากนัก เนื่องจากติดคำสั่งห้ามดำเนินธุรกรรมใดๆทั้งสิ้น จึงทำได้แต่เพียงการปรับปรุงบริการ เพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้แก่สมาชิก 2,500 ราย ให้ดีที่สุดไม่ว่านโยบายจากรัฐบาลจะเป็นอย่างไรก็ตาม ภายใต้เงินสดที่บริษัทมีอยู่ขณะนี้ราว 200 ล้านบาท และมีค่าใช้จ่ายจากต้นทุนดำเนินงานและการให้บริการสมาชิกเฉลี่ยเดือนละ 10-12 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถให้บริการได้ถึงปีหน้า
“ช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา จำนวนการใช้บริการกอล์ฟ และ สปา ของสมาชิก มีจำนวนเพิ่มขึ้นราว 5-10% จากยอดสมาชิกที่เข้ามาใช้บริการราว 50% ของยอดรวม โดยเพิ่มสูงมากในช่วง ไฮซีซั่น และ ช่วงการเมืองในประเทศสงบ สะท้อนว่า ประเทศไทยยังเป็นเดสติเนชั่นที่ต่างชาติชื่นชอบ”
สำหรับ กระบวนการจำหน่ายกิจการ หรือ การย้ายโอน บริษัท ไปอยู่กับ ททท.เป็นเรื่อง ระดับนโยบาย ที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ททท.สำนักนักคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) จะต้องทำเรื่องเสนอต่อที่ประชุม คณะรัฐมนตรี (ครม.) ตัดสินใจ โดยทีพีซี เป็นเพียงผู้รับนโยบายมาปฏิบัติเท่านั้น ซึ่งหากเงินสดที่มีอยู่หมดลง และยังไม่มีความชัดเจนใดๆ ออกมาก็เป็นหน้าที่ของ ททท.ในฐานะผ้ถือหุ้น 100% จะต้องเป็นผู้หาเงินสดมาให้ ทีพีซี มาใช้ในการบริหารองค์กร
อย่างไรก็ตาม ทีพีซี มีทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท โดยชำระแล้วเพียง 500 ล้านบาท ดังนั้น ก็มีความเป็นไปได้ว่า หากบริษัทต้องการเงินสดเพื่อมาใช้บริหารองค์กร จะสามารถเรียกให้ผู้ถือหุ้นมาชำระทุนในส่วนที่เหลืออีก 500 ล้านบาท โดยต้องดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบราชการ
แหล่งข่าวจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ในวันนี้ (26 เม.ย.) นายชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) พิจารณา ปิดกิจการ บริษัท ไทยแลนด์ พรีวิเลจ คาร์ด จำกัด ผู้บริหารโครงการบัตรไทยแลนด์ อีลิทการ์ด พร้อมขออนุมัติเงิน 2,500 ล้านบาท เพื่อชดเชยให้แก่สมาชิกผู้ถือบัตร 2,500 ราย
โดยให้เหตุผลว่า สืบเนื่องจากผลการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ยืนยันว่า ไม่สามารถโอนสิทธิการให้วีซ่า แก่เอกชนที่สนใจประมูลซื้อกิจการได้ ทำให้ บริษัทไม่เป็นที่สนใจให้เอกชนมาประมูลซื้อ แต่หากจะโอนกิจการให้ ททท.บริหารต่อก็เท่ากับสร้างภาระให้แก่ ททท. ในการตั้งงบประมาณเพื่อบริหารโครงการต่อไปทุกปี
นางจันทิมา สิริแสงทักษิณ รักษาการผู้อำนวยการ บริษัท ไทยแลนด์ พรีวิเลจ คาร์ด จำกัด หรือ ทีพีซี ผู้ดำเนินโครงการ บัตรไทยแลนด์ อีลิท การ์ด เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ(บอร์ด) ทีพีซี เห็นชอบ แต่งตั้งกรรมการ 2 ท่าน คือ นายสรรเสริญ เงารังษี รองผู้ว่าการด้านตลาดต่างประเทศ เอเชีย และแปซิฟิกใต้ ททท.และ นายธวัชชัย อรัญญิก รองผู้ว่าการ ด้านตลาดในประเทศการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) แทนคนเดิมที่ยื่นหนังสือลาออก คือ น.ส.เพ็ญสุดา ไพรอร่าม และ นายอักกพล พฤกษะวัน ซึ่งเป็นตัวแทนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดยให้เหตุผลการลาออกว่า ติดเรื่องระเบียบ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และ เหตุผลเรื่องสุขภาพ ตามลำดับ
ขณะเดียวกัน ยังเห็นชอบในหลักการให้ ทีพีซี ดำเนินการปรับปรุง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริการแก่สมาชิก ได้แก่ การปรับปรุงเว็บไซต์ เพื่ออัพเดทข้อมูลข่าวสารความเคลื่อนไหวของการให้บริการของบริษัท และปรับปรุงเพิ่มอำนวยความสะดวกให้กับการทำงานของพนักงาน เพื่อการให้บริการแก่สมาชิกได้สะดวกสบายเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับแนวทางการทำงานของบริษัทที่เน้นด้านการบริการแก่สมาชิกให้เกิดความพึงพอใจสูงสุด
ทั้งนี้ ยอมรับว่า ทีพีซี ไม่สามารถดำเนินงานอะไรได้มากนัก เนื่องจากติดคำสั่งห้ามดำเนินธุรกรรมใดๆทั้งสิ้น จึงทำได้แต่เพียงการปรับปรุงบริการ เพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้แก่สมาชิก 2,500 ราย ให้ดีที่สุดไม่ว่านโยบายจากรัฐบาลจะเป็นอย่างไรก็ตาม ภายใต้เงินสดที่บริษัทมีอยู่ขณะนี้ราว 200 ล้านบาท และมีค่าใช้จ่ายจากต้นทุนดำเนินงานและการให้บริการสมาชิกเฉลี่ยเดือนละ 10-12 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถให้บริการได้ถึงปีหน้า
“ช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา จำนวนการใช้บริการกอล์ฟ และ สปา ของสมาชิก มีจำนวนเพิ่มขึ้นราว 5-10% จากยอดสมาชิกที่เข้ามาใช้บริการราว 50% ของยอดรวม โดยเพิ่มสูงมากในช่วง ไฮซีซั่น และ ช่วงการเมืองในประเทศสงบ สะท้อนว่า ประเทศไทยยังเป็นเดสติเนชั่นที่ต่างชาติชื่นชอบ”
สำหรับ กระบวนการจำหน่ายกิจการ หรือ การย้ายโอน บริษัท ไปอยู่กับ ททท.เป็นเรื่อง ระดับนโยบาย ที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ททท.สำนักนักคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) จะต้องทำเรื่องเสนอต่อที่ประชุม คณะรัฐมนตรี (ครม.) ตัดสินใจ โดยทีพีซี เป็นเพียงผู้รับนโยบายมาปฏิบัติเท่านั้น ซึ่งหากเงินสดที่มีอยู่หมดลง และยังไม่มีความชัดเจนใดๆ ออกมาก็เป็นหน้าที่ของ ททท.ในฐานะผ้ถือหุ้น 100% จะต้องเป็นผู้หาเงินสดมาให้ ทีพีซี มาใช้ในการบริหารองค์กร
อย่างไรก็ตาม ทีพีซี มีทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท โดยชำระแล้วเพียง 500 ล้านบาท ดังนั้น ก็มีความเป็นไปได้ว่า หากบริษัทต้องการเงินสดเพื่อมาใช้บริหารองค์กร จะสามารถเรียกให้ผู้ถือหุ้นมาชำระทุนในส่วนที่เหลืออีก 500 ล้านบาท โดยต้องดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบราชการ
