ASTVผู้จัดการรายวัน : กสิกรฯแฟคเตอรี แอนด์ อีควิปเมนท์ ตั้งเป้าปีนี้กวาดยอดสินเชื่อโตอย่างน้อย 25% ทะลุหมื่นล้าน ชู 4 กลยุทธเจาะทุกกลุ่มลูกค้า หวังขึ้นแท่นเบอร์ 1 ด้านสิสซิ่งเครื่องจักรภายใน 2 ปีข้างหน้า
นายศาศวัต วีระปรีย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แฟคเตอรี แอนด์ อีควิปเมนท์ กสิกรไทย (KF&E) เปิดเผยว่า ในปี 2555 บริษัทตั้งเป้าเพิ่มยอดสินเชื่อคงค้างเป็น 10,000 ล้านบาท หรือเติบโตจากปี 2554 ประมาณ 25% เนื่องจากคาดว่า ความต้องการสินเชื่อลีสซิ่งเครื่องจักรจะมีสูงขึ้น ตามนโยบายของรัฐบาลที่จะเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่หลายโครงการ ในขณะที่ภาคเอกชนก็มีโครงการก่อสร้างและลงทุนโครงการใหม่ ๆ รวมทั้งมีการซ่อมแซม หรือสั่งเครื่องจักรใหม่มาชดเชยส่วนที่เสียหายจากภาวะน้ำท่วมใหญ่ในปีที่ผ่านมา
โดยบริษัทจะใช้ 4 กลยุทธ์หลัก เจาะกลุ่มลูกค้าของเครือธนาคารกสิกรไทยและลูกค้าใหม่ให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ด้วยกลยุทธ์ 1) การเข้าใจความต้องการของลูกค้า 2) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า 3) การเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่ายการให้บริการและช่องทางการขายแบบมืออาชีพ 4) การบริหารความเสี่ยงเชิงบูรณาการ โดยจะให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจร่วมกับตัวแทนจำหน่ายเครื่องจักรอย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก KF&E ต้องการสนับสนุนตัวแทนฯ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีบทบาทในตลาดลีสซิ่งเครื่องจักรและเป็นช่องทางให้ตัวแทนฯ สามารถขายเครื่องจักรให้กับลูกค้าได้ง่ายและเร็วขึ้น โดยบริษัทตั้งเป้าที่จะขยายความสัมพันธ์กับตัวแทนฯ ให้ได้อย่างน้อย 120 ราย ในกลุ่มตัวแทนจำหน่ายเครื่องจักรประเภทที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ หรือ CNC เครื่องพิมพ์ และเครื่องจักรที่ใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง เช่น รถขุด รถตัก รถเครน พร้อมตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อประเภทนี้ให้มากขึ้น เนื่องจากอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะเติบโตสูงในปีนี้
สำหรับกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ (Multi-Corporate Business และ Large Corporate Business) จะเน้นการให้บริการลีสซิ่งเครื่องจักรให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละราย มีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขในลักษณะของ Structured Deal เช่น การปรับค่าเช่าให้สอดคล้องกับกระแสเงินสดของลูกค้า การรับค่าเช่าเป็นเงินสกุลอื่น เพื่อตอบสนองความต้องการและโครงสร้างทางธุรกิจของลูกค้าแต่ละกลุ่มอย่างเหมาะสม
ส่วนกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (Medium & Small Business) บริษัทฯ จะเน้นให้ความรู้ในเรื่องประโยชน์ของการทําลีสซิ่งเครื่องจักรแก่ลูกค้าเพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นทางเลือกในการหาแหล่งเงินทุนในการซื้อเครื่องจักรใหม่ หรือในกรณีที่ลูกค้าต้องการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อเสริมสภาพคล่องธุรกิจจากเครื่องจักรที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าปัจจุบันของเครือธนาคารกสิกรไทยหรือลูกค้าใหม่ที่จะเข้ามาใช้บริการ
ทั้งนี้ ในปี 2554 ที่ผ่านมา บริษัทมียอดสินเชื่อคงค้างกว่า 8,000 ล้านบาท เติบโตจากปี 2553 ที่มียอดสินเชื่อคงค้างประมาณ 3,000 ล้านบาท หรือเติบโตเกือบ 3 เท่าตัว โดยบริษัทสามารถก้าวเข้ามาอยู่ในอันดับที่ 2 ของตลาดธุรกิจ ลีสซิ่งเครื่องจักร หลังรุกตลาดธุรกิจลีสซิ่งเครื่องจักรอย่างเต็มตัวได้เพียง 2 ปี
นายศาศวัต วีระปรีย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แฟคเตอรี แอนด์ อีควิปเมนท์ กสิกรไทย (KF&E) เปิดเผยว่า ในปี 2555 บริษัทตั้งเป้าเพิ่มยอดสินเชื่อคงค้างเป็น 10,000 ล้านบาท หรือเติบโตจากปี 2554 ประมาณ 25% เนื่องจากคาดว่า ความต้องการสินเชื่อลีสซิ่งเครื่องจักรจะมีสูงขึ้น ตามนโยบายของรัฐบาลที่จะเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่หลายโครงการ ในขณะที่ภาคเอกชนก็มีโครงการก่อสร้างและลงทุนโครงการใหม่ ๆ รวมทั้งมีการซ่อมแซม หรือสั่งเครื่องจักรใหม่มาชดเชยส่วนที่เสียหายจากภาวะน้ำท่วมใหญ่ในปีที่ผ่านมา
โดยบริษัทจะใช้ 4 กลยุทธ์หลัก เจาะกลุ่มลูกค้าของเครือธนาคารกสิกรไทยและลูกค้าใหม่ให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ด้วยกลยุทธ์ 1) การเข้าใจความต้องการของลูกค้า 2) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า 3) การเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่ายการให้บริการและช่องทางการขายแบบมืออาชีพ 4) การบริหารความเสี่ยงเชิงบูรณาการ โดยจะให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจร่วมกับตัวแทนจำหน่ายเครื่องจักรอย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก KF&E ต้องการสนับสนุนตัวแทนฯ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีบทบาทในตลาดลีสซิ่งเครื่องจักรและเป็นช่องทางให้ตัวแทนฯ สามารถขายเครื่องจักรให้กับลูกค้าได้ง่ายและเร็วขึ้น โดยบริษัทตั้งเป้าที่จะขยายความสัมพันธ์กับตัวแทนฯ ให้ได้อย่างน้อย 120 ราย ในกลุ่มตัวแทนจำหน่ายเครื่องจักรประเภทที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ หรือ CNC เครื่องพิมพ์ และเครื่องจักรที่ใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง เช่น รถขุด รถตัก รถเครน พร้อมตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อประเภทนี้ให้มากขึ้น เนื่องจากอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะเติบโตสูงในปีนี้
สำหรับกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ (Multi-Corporate Business และ Large Corporate Business) จะเน้นการให้บริการลีสซิ่งเครื่องจักรให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละราย มีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขในลักษณะของ Structured Deal เช่น การปรับค่าเช่าให้สอดคล้องกับกระแสเงินสดของลูกค้า การรับค่าเช่าเป็นเงินสกุลอื่น เพื่อตอบสนองความต้องการและโครงสร้างทางธุรกิจของลูกค้าแต่ละกลุ่มอย่างเหมาะสม
ส่วนกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (Medium & Small Business) บริษัทฯ จะเน้นให้ความรู้ในเรื่องประโยชน์ของการทําลีสซิ่งเครื่องจักรแก่ลูกค้าเพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นทางเลือกในการหาแหล่งเงินทุนในการซื้อเครื่องจักรใหม่ หรือในกรณีที่ลูกค้าต้องการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อเสริมสภาพคล่องธุรกิจจากเครื่องจักรที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าปัจจุบันของเครือธนาคารกสิกรไทยหรือลูกค้าใหม่ที่จะเข้ามาใช้บริการ
ทั้งนี้ ในปี 2554 ที่ผ่านมา บริษัทมียอดสินเชื่อคงค้างกว่า 8,000 ล้านบาท เติบโตจากปี 2553 ที่มียอดสินเชื่อคงค้างประมาณ 3,000 ล้านบาท หรือเติบโตเกือบ 3 เท่าตัว โดยบริษัทสามารถก้าวเข้ามาอยู่ในอันดับที่ 2 ของตลาดธุรกิจ ลีสซิ่งเครื่องจักร หลังรุกตลาดธุรกิจลีสซิ่งเครื่องจักรอย่างเต็มตัวได้เพียง 2 ปี