กาญจนบุรี - ตำรวจพิสูจน์หลักฐานกาญจนบุรี ลงพื้นที่สังขละบุรี ตรวจวิถีกระสุน จนท.อุทยานแห่งชาติเขาแหลม ยิงวัยรุ่นหาปลาจนได้รับบาดเจ็บ คาด 1 เดือนสรุปผลได้ ผกก.ยันให้ความเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายและจะเร่งรัดสอบสวนสรุปสำนวนส่งฟ้องให้เร็วที่สุด ขณะที่กำนันตำบลหนองลู เผยชาวบ้านจับตาการทำงานของ จนท.อย่างใกล้ชิด เพราะต้องการให้ความเป็นธรรมแก่ผู้เสียหาย และเป็นบทเรียนของเจ้าหน้าที่อุทยานฯ
วานนี้( 24 ม.ค.) พ.ต.อ.จิตร วิจิตรจินดา ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรสังขละบุรี (ผกก.สภ.สังขละบุรี ) จ.กาญจนบุรี เปิดเผยถึงความคืบหน้าคดีเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาแหลม ยิงปืนใส่ชาวบ้านขณะกำลังหาปลาได้รับบาดเจ็บในพื้นที่ ต.หนองลู อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี เหตุเกิดเมื่อวันที่ 15 ม.ค.ที่ผ่านมาว่า การสอบสวนคดีนี้คืบหน้าไปมาก โดยเมื่อวันที่ 23 ม.ค.พ.ต.ท.ชุมพล เฉลิมวิบูลย์ นักวิทยาศาสตร์ (สบ.2 ) พิสูจน์หลักฐาน ภ.จว.กาญจนบุรี พร้อมกับ พ.ต.ท.สมชาย โตเฟื่อง สว.สส.สภ.สังขละบุรี และ ร.ต.อ.เดชอดุลย์ ก้อนคำ รอง สว.สส.สภ.สังขละบุรี เจ้าของคดีฯ ร่วมตรวจพิสูจน์หลักฐานในที่เกิดเหตุ บริเวณลำห้วยบ้านใหม่พัฒนา หมู่ 7 ต.บ้านใหม่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี โดยมีคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่ายให้ความร่วมมือในการตรวจสอบด้วย
"เจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน ได้ตรวจสอบวิถีกระสุนปืนที่ยิงใส่เรือยนต์ของผู้เสียหาย และตรวจวิถีกระสุนที่ยิงใส่นายศราวุธ สังขโสภา อายุ 16 ปี จนบาดเจ็บ ส่วนผลการตรวจสอบอาวุธปืนใช้ก่อเหตุเป็นอาวุธปืนชนิดใด คาดว่าอีกประมาณ 1 เดือนคงจะรู้ผล ซึ่งทุกอย่างได้ถูกนำมารวบรวมเพื่อประกอบสำนวนการสอบสวน โดยยืนยันว่าให้ความเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายและทำคดีอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งจะพยายามเร่งรัดสอบสวนสรุปสำนวนส่งฟ้องให้เร็วที่สุด"
ด้าน พ.ต.ท.ชุมพล เฉลิมวิบูลย์ นักวิทยาศาสตร์ (สบ.2) พิสูจน์หลักฐาน ภ.จว.กาญจนบุรี เปิดเผยผลการตรวจพิสูจน์เบื้องต้นว่า หลังจากที่ตำรวจ สภ. สังขละบุรี ได้นำส่งของกลางคือ อาวุธปืน เอชเค และอาวุธปืนลูกซองยาว 5 นัด รวม 2 กระบอก พร้อมปลอกกระสุนปืนและหัวกระสุนปืนเพื่อตรวจสอบว่าเป็นอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุหรือไม่ ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบของกองพิสูจน์หลักฐาน 7 นครปฐม คาดว่าน่าจะรู้ผลภายใน 1 เดือน
ส่วนผลการตรวจพิสูจน์วิถีกระสุนในที่เกิดเหตุ ต้องรอการนำหลักฐานทั้งหมดประมวลเปรียบเทียบกับพยานวัตถุในคดี จากนั้นจึงสามารถสรุปผลการตรวจพิสูจน์ เสนอต่อพนักงานสอบสวนประกอบสำนวนสอบสวนต่อไป
ด้านนายพุทธชาย หลวงวิเศษ กำนันตำบลหนองลู ต.หนองลู อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี กล่าวว่า การสอบสวนคดีนี้มีความคืบหน้า แต่ชาวบ้านต่างจับตาดูการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างใกล้ชิด เพราะต้องการให้ผู้เสียหายได้รับความเป็นธรรมและต้องการให้เป็นบทเรียนสำหรับเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ในการปฏิบัติหน้าที่ต่อไปเช่นกัน
วานนี้( 24 ม.ค.) พ.ต.อ.จิตร วิจิตรจินดา ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรสังขละบุรี (ผกก.สภ.สังขละบุรี ) จ.กาญจนบุรี เปิดเผยถึงความคืบหน้าคดีเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาแหลม ยิงปืนใส่ชาวบ้านขณะกำลังหาปลาได้รับบาดเจ็บในพื้นที่ ต.หนองลู อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี เหตุเกิดเมื่อวันที่ 15 ม.ค.ที่ผ่านมาว่า การสอบสวนคดีนี้คืบหน้าไปมาก โดยเมื่อวันที่ 23 ม.ค.พ.ต.ท.ชุมพล เฉลิมวิบูลย์ นักวิทยาศาสตร์ (สบ.2 ) พิสูจน์หลักฐาน ภ.จว.กาญจนบุรี พร้อมกับ พ.ต.ท.สมชาย โตเฟื่อง สว.สส.สภ.สังขละบุรี และ ร.ต.อ.เดชอดุลย์ ก้อนคำ รอง สว.สส.สภ.สังขละบุรี เจ้าของคดีฯ ร่วมตรวจพิสูจน์หลักฐานในที่เกิดเหตุ บริเวณลำห้วยบ้านใหม่พัฒนา หมู่ 7 ต.บ้านใหม่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี โดยมีคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่ายให้ความร่วมมือในการตรวจสอบด้วย
"เจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน ได้ตรวจสอบวิถีกระสุนปืนที่ยิงใส่เรือยนต์ของผู้เสียหาย และตรวจวิถีกระสุนที่ยิงใส่นายศราวุธ สังขโสภา อายุ 16 ปี จนบาดเจ็บ ส่วนผลการตรวจสอบอาวุธปืนใช้ก่อเหตุเป็นอาวุธปืนชนิดใด คาดว่าอีกประมาณ 1 เดือนคงจะรู้ผล ซึ่งทุกอย่างได้ถูกนำมารวบรวมเพื่อประกอบสำนวนการสอบสวน โดยยืนยันว่าให้ความเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายและทำคดีอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งจะพยายามเร่งรัดสอบสวนสรุปสำนวนส่งฟ้องให้เร็วที่สุด"
ด้าน พ.ต.ท.ชุมพล เฉลิมวิบูลย์ นักวิทยาศาสตร์ (สบ.2) พิสูจน์หลักฐาน ภ.จว.กาญจนบุรี เปิดเผยผลการตรวจพิสูจน์เบื้องต้นว่า หลังจากที่ตำรวจ สภ. สังขละบุรี ได้นำส่งของกลางคือ อาวุธปืน เอชเค และอาวุธปืนลูกซองยาว 5 นัด รวม 2 กระบอก พร้อมปลอกกระสุนปืนและหัวกระสุนปืนเพื่อตรวจสอบว่าเป็นอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุหรือไม่ ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบของกองพิสูจน์หลักฐาน 7 นครปฐม คาดว่าน่าจะรู้ผลภายใน 1 เดือน
ส่วนผลการตรวจพิสูจน์วิถีกระสุนในที่เกิดเหตุ ต้องรอการนำหลักฐานทั้งหมดประมวลเปรียบเทียบกับพยานวัตถุในคดี จากนั้นจึงสามารถสรุปผลการตรวจพิสูจน์ เสนอต่อพนักงานสอบสวนประกอบสำนวนสอบสวนต่อไป
ด้านนายพุทธชาย หลวงวิเศษ กำนันตำบลหนองลู ต.หนองลู อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี กล่าวว่า การสอบสวนคดีนี้มีความคืบหน้า แต่ชาวบ้านต่างจับตาดูการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างใกล้ชิด เพราะต้องการให้ผู้เสียหายได้รับความเป็นธรรมและต้องการให้เป็นบทเรียนสำหรับเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ในการปฏิบัติหน้าที่ต่อไปเช่นกัน
