นายนิพนธ์ จัยสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัทคิวทีซี เอนเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ QTC เปิดเผยว่า โรงงานผลิตหม้อแปลงไฟฟ้า ( เฟส2 ) ซึ่งเป็นส่วนต่อขยาย จะแล้วเสร็จ และสามารถดำเนินการในเชิงพาณิชย์ ได้ภายในไตรมาส 2 ปี 55 ส่งผลให้บริษัทฯ จะมีกำลังการผลิตรวมของหม้อแปลงไฟฟ้า ตั้งแต่ขนาด 30 – 30,000 KVA เพิ่มขึ้น 20% จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 952,000 KVA
ทั้งนี้ การที่บริษัทฯขยายโรงงานส่วนต่อขยายเพิ่ม เนื่องจากมองว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจ และภาคอุตสาหกรรมภายในประเทศ มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของจำนวนประชากร ซึ่งส่งผลให้ปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าขยายตัวตามค่าเฉลี่ยในแต่ละปีที่เพิ่มขึ้น
" หากโรงงานดังกล่าวแล้วเสร็จ บริษัทฯสามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่ายเฉลี่ยแต่ละปีลงได้ ซึ่งนั่นก็จะทำให้มาร์จิ้น โดยรวมปรับตัวเพิ่มตามต้นทุนที่ลดลง โดยจะเริ่มเห็นความชัดเจนของต้นทุนที่ลดลงได้อย่างชัดเจนในปี 56 เป็นต้นไป " นายนิพนธ์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีแผนในการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ อาทิ ลาว , พม่า และ อินโดนีเซีย เนื่องจากกลุ่มประเทศดังกล่าวมีการขยายตัวของจำนวนประชากรรวมถึงภาพอุตสาหกรรมพลังงานยังคงมีความต้องการใช้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ในเบื้องต้น บริษัทฯคาดว่าแผนการขยายไปยังตลาดต่างประเทศ จะเริ่มมีความชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลังของปี 55 ซึ่งจะทำให้สัดส่วนการส่งออกเพิ่มขึ้น เป็น 20-25% จากปัจจุบันสัดส่วนการส่งออกไปยังประเทศ ออสเตรเลีย และ มาเลเซีย อยู่ประมาณ 15-18% ของยอดขายรวมทั้งหมด
นายนิพนธ์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า หากแผนการขยายธุรกิจแล้วเสร็จตามที่กล่าวมาในข้างต้น บริษัทฯได้ตั้งเป้าอัตราการเติบโตของรายได้ในอีก 3 ปีข้างหน้า ( 56- 58) เพิ่มขึ้น เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 30% เมื่อเทียบกับปีจากปี 54 ที่บริษัทฯประมาณการรายได้รวมไว้ที่ 650 ล้านบาท
โดยปี 55 บริษัทฯประมาณการรายได้ เพิ่มขึ้น 20% เนื่องจากยอดคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) ที่ทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดบริษัทฯ ได้รับออเดอร์ จากประเทศออสเตรเลีย เข้ามาเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบจากปีก่อน และจากออเดอร์ปีก่อนที่ทยอยเข้ามารับรู้ในปีนี้ อีกกว่า 250 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯมียอด Back Log ในมือปัจจุบัน 300 ล้านบาท
" ขณะนี้บริษัทฯกำลังอยู่ระหว่างการหว่านเม็ดพันธ์ โดยการเพิ่มกำลังการผลิต และการขยายสัดส่วนไปยังตลาดต่างประเทศ ซึ่งจะเริ่มทยอยเห็นภาพอย่างชัดเจนตั้งช่วงกลางปี 55 และคาดว่าบริษัทฯจะสามารถรอเก็บเกี่ยวผลผลิต หรือผลประกอบการโดยรวมทั้งหมดได้ตั้งแต่ปี 56 เป็นต้นไป " นายนิพนธ์ กล่าว
ทั้งนี้ การที่บริษัทฯขยายโรงงานส่วนต่อขยายเพิ่ม เนื่องจากมองว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจ และภาคอุตสาหกรรมภายในประเทศ มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของจำนวนประชากร ซึ่งส่งผลให้ปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าขยายตัวตามค่าเฉลี่ยในแต่ละปีที่เพิ่มขึ้น
" หากโรงงานดังกล่าวแล้วเสร็จ บริษัทฯสามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่ายเฉลี่ยแต่ละปีลงได้ ซึ่งนั่นก็จะทำให้มาร์จิ้น โดยรวมปรับตัวเพิ่มตามต้นทุนที่ลดลง โดยจะเริ่มเห็นความชัดเจนของต้นทุนที่ลดลงได้อย่างชัดเจนในปี 56 เป็นต้นไป " นายนิพนธ์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีแผนในการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ อาทิ ลาว , พม่า และ อินโดนีเซีย เนื่องจากกลุ่มประเทศดังกล่าวมีการขยายตัวของจำนวนประชากรรวมถึงภาพอุตสาหกรรมพลังงานยังคงมีความต้องการใช้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ในเบื้องต้น บริษัทฯคาดว่าแผนการขยายไปยังตลาดต่างประเทศ จะเริ่มมีความชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลังของปี 55 ซึ่งจะทำให้สัดส่วนการส่งออกเพิ่มขึ้น เป็น 20-25% จากปัจจุบันสัดส่วนการส่งออกไปยังประเทศ ออสเตรเลีย และ มาเลเซีย อยู่ประมาณ 15-18% ของยอดขายรวมทั้งหมด
นายนิพนธ์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า หากแผนการขยายธุรกิจแล้วเสร็จตามที่กล่าวมาในข้างต้น บริษัทฯได้ตั้งเป้าอัตราการเติบโตของรายได้ในอีก 3 ปีข้างหน้า ( 56- 58) เพิ่มขึ้น เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 30% เมื่อเทียบกับปีจากปี 54 ที่บริษัทฯประมาณการรายได้รวมไว้ที่ 650 ล้านบาท
โดยปี 55 บริษัทฯประมาณการรายได้ เพิ่มขึ้น 20% เนื่องจากยอดคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) ที่ทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดบริษัทฯ ได้รับออเดอร์ จากประเทศออสเตรเลีย เข้ามาเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบจากปีก่อน และจากออเดอร์ปีก่อนที่ทยอยเข้ามารับรู้ในปีนี้ อีกกว่า 250 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯมียอด Back Log ในมือปัจจุบัน 300 ล้านบาท
" ขณะนี้บริษัทฯกำลังอยู่ระหว่างการหว่านเม็ดพันธ์ โดยการเพิ่มกำลังการผลิต และการขยายสัดส่วนไปยังตลาดต่างประเทศ ซึ่งจะเริ่มทยอยเห็นภาพอย่างชัดเจนตั้งช่วงกลางปี 55 และคาดว่าบริษัทฯจะสามารถรอเก็บเกี่ยวผลผลิต หรือผลประกอบการโดยรวมทั้งหมดได้ตั้งแต่ปี 56 เป็นต้นไป " นายนิพนธ์ กล่าว