เมืองไทยเราวันนี้มีของเก่าดีๆ ที่สะสมไว้มาก แต่ของใหม่ที่ไม่ดีที่แทรกเข้ามาก็มีไม่น้อย โดยเฉพาะส่วนหลังนี้กำลังมีแรงแซงหน้าส่วนแรกไปแล้วก็ว่าได้ ส่งผลให้สังคมไทยเรากำลังเคลื่อนไปสู่ความน่าสะพรึงกลัวในหลายประการ
การจะสร้างเมืองไทยใหม่เอี่ยม (หรือ “นิวไทยแลนด์” ตามสำเนียงภาษานอกของรัฐบาลยิ่งลักษณ์) นั้น ถ้าถามกันไปมาว่าลึกๆ แล้วจะเริ่มต้นกันที่ไหน ก็มักมาลงกันที่เด็ก (อนาคตของชาติ) แล้วผมขอถามต่อว่า เด็กมาจากไหน..ก็ต้องตอบว่าพ่อแม่และครู (แม่พิมพ์ของชาติ) ถ้าถามต่อว่า..แล้วพ่อแม่และครูถูกสร้างมาจากไหน...อ้อ..ร.ร.ฝึกหัดครูไง แต่เรามี ร.ร.ฝึกหัดพ่อแม่ไหม อีกทั้ง ร.ร.ฝึกหัดครูนั้นมาจากไหน
ดูเหมือนว่ายิ่งถามลึกลงไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งตอบยากขึ้นทุกที ที่ผ่านมาผมยังไม่เคยเห็นรัฐบาลชุดไหนที่คิดวางแผน และทำเพื่ออนาคตของชาติกันอย่างจริงจังเป็นระบบสักที อย่างมากก็คิดกันได้แบบฉาบฉวยเพียงแค่ต่ออินเทอร์เน็ต แจกไอแพดเท่านั้นเอง
ก็โธ่..จะเอาอะไรกันหนักหนากับนักการเมืองส่วนใหญ่ที่จ้างตั้งกันมา
ผมได้เคยเสนอให้จัดมี “วันคนแก่แห่งชาติ” ด้วยเห็นว่าคนแก่นั่นแหละคืออนาคตของชาติที่แท้จริง เพราะท่านเป็นคณะกรรมการวางแผนบริหารจัดการเด็กๆ รวมทั้งจัดสรรนโยบาย ลองช่วยกันคิดหน่อยสิครับว่าในวันนี้ จะเปิดสถานที่ราชการอะไรให้ชม หรือมีนิทรรศการอะไรบ้าง (เมรุเผาศพวัดสำคัญ นั่งเก้าอี้นายกฯ หรือประกวดเรียงความ “ถ้าข้าพเจ้าได้เป็นนายกฯ” )
แต่อนิจจา..วันนี้คนแก่ไทยเรานั้นไม่อาจหวังเป็นที่พึ่งได้เลย เพราะเห็นมีแต่คนแก่โลภโมโทสัน ที่รวยเท่าไรไม่รู้จักพอ คนแก่ที่ไม่เคยปล่อยวาง ไม่เสียสละ ให้อภัย ยอมเจ็บปวดแต่คนเดียว คนแก่ที่เงินเต็มกระเป๋าซื้อคะแนนเสียงได้แต่วิสัยทัศน์สั้นกระจู๋ คนแก่ที่มีทั้งเงิน ดีกรี ป.เอกจากนอก และอำนาจมหาศาล (ประธานคณะกรรมการสำคัญหลายชุด) แต่สุดงก หวงตำแหน่ง อำนาจ และไม่ยอมฟังความเห็นใคร (นอกจากทฤษฎีฝรั่งเก่าๆ ที่เคยเรียนมาและที่ปรึกษาฝรั่งต่างชาติที่จ้างมา)
คนแก่แบบนี้เต็มประเทศ ..แล้วแบบนี้ “อนาคตของชาติไทย” มันจะเหลืออะไรไว้ให้เราหวังได้หรือ
เมืองไทยใหม่เอี่ยม ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์วาดหวังไว้นั้น ตราบเท่าที่เรายังมีคนแก่แบบเดิมๆ เป็นคนกำหนดแนวทางและกติกาแล้วไซร้ ผมว่ามันน่าสะพรึงกลัวเสียยิ่งกว่าเมืองไทยแบบเดิมๆ เสียอีก
เมืองไทยใหม่เอี่ยมที่ดีๆ นั้น ผมว่าไม่อาจกำหนดได้หรอกต้องเริ่มต้นที่ใคร แต่ถ้าพูดรวมๆ ก็ต้องว่ามันต้องเริ่มพร้อมกันทุกจุดนั่นแหละ ทั้งเด็ก คนหนุ่มสาว สื่อมวลชน ครู พระ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักการเมือง
มีหลายท่านเสนอว่า เราต้องพึ่งตัวเอง อย่าไปหวังพึ่งนักการเมืองเลย เพราะพวกนี้มันซื้อเสียงมา มันก็ต้องถอนทุนกันเป็นส่วนใหญ่..ซึ่งอันนี้พูดอีกก็ถูกอีกอยู่นั่นหละ แต่ถ้าเราได้นักการเมืองดีๆ มาช่วยเสริม (หรือถึงขนาดมานำเสียเอง) มันก็ยิ่งดีไปใหญ่ไม่ใช่หรือ
คำถามคือ เราจะสร้างนักการเมืองดีๆ ได้อย่าไร ถ้าเราทำได้ อะไรๆ มันก็ง่ายนิดเดียว เปรียบเสมือนการสร้างคานงัดที่ทุ่นแรง ทำให้เราไม่ต้องลงแรงดีดงัดสังคมมากเกินไป ซึ่งมันอาจเกินกำลังของเราด้วยซ้ำไป
ผมเห็นว่า การลงแรงสร้างนักการเมืองและระบบการเมืองที่ดีนั้น มันเป็นคานงัดที่ง่ายกว่าการสร้างเมืองด้วยตัวเอง (พึ่งตนเอง) หลายร้อยพันเท่า
พวกฝรั่งนั้นเขาสร้างระบบการเมืองด้วยมือของเขาเอง แต่ของไทยเราไม่ได้เป็นเช่นนั้น พวก “คณะราษฎร์” เพียงหยิบมือเดียวที่จบนอกและเห่อฝรั่ง ไปถอดเอายอดชฎา ปชต.ฝรั่งมาสวมให้ละครการเมืองไทย แล้วบอกเราว่า เอ้า..สูเจ้าเป็น ปชต.แล้วนะ จากนี้ไปขอให้จงเจริญเหมือนฝรั่ง
ผมขอเสนอว่า เมืองไทยใหม่เอี่ยม ที่ง่ายที่สุดต้องเริ่มที่การเมืองใหม่เอี่ยม ที่ปรับ ปชต.ฝรั่งให้เข้ากันได้กับลักษณะนิสัยของสังคมไทย พึงระลึกด้วยว่า ปชต.นั้นมีทั้งแบบทางตรง (เลือกตั้ง) และแบบทางอ้อม ซึ่งแบบหลังนี้ฝรั่งไม่รู้จักแต่สังคมไทยเราใช้กันมาช้านานแล้วด้วยซ้ำไป แม้ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์แต่สมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์
ผมได้เขียนบทความนำเสนอระบบ ปชต.ที่สอดคล้องกับสังคมไทยไว้มากหลาย แต่ได้รับคำด่ามากกว่าคำชมสิบเท่า เช่น หาว่าล้าสมัย (ไม่เหมือนฝรั่ง) สวนกระแส (กระแสฝรั่ง) ไม่เป็นประชาธิปไตย (ทั้งที่เป็น ปชต.มากกว่าปชต.ฝรั่งเสียอีก)
ความหวังของเมืองไทยใหม่เอี่ยมเรามีศูนย์รวมอยู่ที่ “คนไทยในแถวหน้าๆ” ที่ต้องคิดกันให้ออกสักทีว่า การลอกระบบ ปชต.ฝรั่งเขามาใช้ทั้งดุ้นแบบที่ผ่านมานั้น มันคือระบบที่กำลังทำลายชาติไทยอย่างรุนแรงที่สุด เพราะมันนำมาซึ่งการซื้อเสียงถอนทุน ที่ซึ่งไม่อาจกระทำได้ในระบบฝรั่ง เพราะคนฝรั่งเขามีนิสัยอิงตน (ปัจเจกชนนิยม) ซึ่งต่างจากคนไทยเราโดยสิ้นเชิงที่มีนิสัย “อิงอำนาจ”
การจะสร้างเมืองไทยใหม่เอี่ยม (หรือ “นิวไทยแลนด์” ตามสำเนียงภาษานอกของรัฐบาลยิ่งลักษณ์) นั้น ถ้าถามกันไปมาว่าลึกๆ แล้วจะเริ่มต้นกันที่ไหน ก็มักมาลงกันที่เด็ก (อนาคตของชาติ) แล้วผมขอถามต่อว่า เด็กมาจากไหน..ก็ต้องตอบว่าพ่อแม่และครู (แม่พิมพ์ของชาติ) ถ้าถามต่อว่า..แล้วพ่อแม่และครูถูกสร้างมาจากไหน...อ้อ..ร.ร.ฝึกหัดครูไง แต่เรามี ร.ร.ฝึกหัดพ่อแม่ไหม อีกทั้ง ร.ร.ฝึกหัดครูนั้นมาจากไหน
ดูเหมือนว่ายิ่งถามลึกลงไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งตอบยากขึ้นทุกที ที่ผ่านมาผมยังไม่เคยเห็นรัฐบาลชุดไหนที่คิดวางแผน และทำเพื่ออนาคตของชาติกันอย่างจริงจังเป็นระบบสักที อย่างมากก็คิดกันได้แบบฉาบฉวยเพียงแค่ต่ออินเทอร์เน็ต แจกไอแพดเท่านั้นเอง
ก็โธ่..จะเอาอะไรกันหนักหนากับนักการเมืองส่วนใหญ่ที่จ้างตั้งกันมา
ผมได้เคยเสนอให้จัดมี “วันคนแก่แห่งชาติ” ด้วยเห็นว่าคนแก่นั่นแหละคืออนาคตของชาติที่แท้จริง เพราะท่านเป็นคณะกรรมการวางแผนบริหารจัดการเด็กๆ รวมทั้งจัดสรรนโยบาย ลองช่วยกันคิดหน่อยสิครับว่าในวันนี้ จะเปิดสถานที่ราชการอะไรให้ชม หรือมีนิทรรศการอะไรบ้าง (เมรุเผาศพวัดสำคัญ นั่งเก้าอี้นายกฯ หรือประกวดเรียงความ “ถ้าข้าพเจ้าได้เป็นนายกฯ” )
แต่อนิจจา..วันนี้คนแก่ไทยเรานั้นไม่อาจหวังเป็นที่พึ่งได้เลย เพราะเห็นมีแต่คนแก่โลภโมโทสัน ที่รวยเท่าไรไม่รู้จักพอ คนแก่ที่ไม่เคยปล่อยวาง ไม่เสียสละ ให้อภัย ยอมเจ็บปวดแต่คนเดียว คนแก่ที่เงินเต็มกระเป๋าซื้อคะแนนเสียงได้แต่วิสัยทัศน์สั้นกระจู๋ คนแก่ที่มีทั้งเงิน ดีกรี ป.เอกจากนอก และอำนาจมหาศาล (ประธานคณะกรรมการสำคัญหลายชุด) แต่สุดงก หวงตำแหน่ง อำนาจ และไม่ยอมฟังความเห็นใคร (นอกจากทฤษฎีฝรั่งเก่าๆ ที่เคยเรียนมาและที่ปรึกษาฝรั่งต่างชาติที่จ้างมา)
คนแก่แบบนี้เต็มประเทศ ..แล้วแบบนี้ “อนาคตของชาติไทย” มันจะเหลืออะไรไว้ให้เราหวังได้หรือ
เมืองไทยใหม่เอี่ยม ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์วาดหวังไว้นั้น ตราบเท่าที่เรายังมีคนแก่แบบเดิมๆ เป็นคนกำหนดแนวทางและกติกาแล้วไซร้ ผมว่ามันน่าสะพรึงกลัวเสียยิ่งกว่าเมืองไทยแบบเดิมๆ เสียอีก
เมืองไทยใหม่เอี่ยมที่ดีๆ นั้น ผมว่าไม่อาจกำหนดได้หรอกต้องเริ่มต้นที่ใคร แต่ถ้าพูดรวมๆ ก็ต้องว่ามันต้องเริ่มพร้อมกันทุกจุดนั่นแหละ ทั้งเด็ก คนหนุ่มสาว สื่อมวลชน ครู พระ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักการเมือง
มีหลายท่านเสนอว่า เราต้องพึ่งตัวเอง อย่าไปหวังพึ่งนักการเมืองเลย เพราะพวกนี้มันซื้อเสียงมา มันก็ต้องถอนทุนกันเป็นส่วนใหญ่..ซึ่งอันนี้พูดอีกก็ถูกอีกอยู่นั่นหละ แต่ถ้าเราได้นักการเมืองดีๆ มาช่วยเสริม (หรือถึงขนาดมานำเสียเอง) มันก็ยิ่งดีไปใหญ่ไม่ใช่หรือ
คำถามคือ เราจะสร้างนักการเมืองดีๆ ได้อย่าไร ถ้าเราทำได้ อะไรๆ มันก็ง่ายนิดเดียว เปรียบเสมือนการสร้างคานงัดที่ทุ่นแรง ทำให้เราไม่ต้องลงแรงดีดงัดสังคมมากเกินไป ซึ่งมันอาจเกินกำลังของเราด้วยซ้ำไป
ผมเห็นว่า การลงแรงสร้างนักการเมืองและระบบการเมืองที่ดีนั้น มันเป็นคานงัดที่ง่ายกว่าการสร้างเมืองด้วยตัวเอง (พึ่งตนเอง) หลายร้อยพันเท่า
พวกฝรั่งนั้นเขาสร้างระบบการเมืองด้วยมือของเขาเอง แต่ของไทยเราไม่ได้เป็นเช่นนั้น พวก “คณะราษฎร์” เพียงหยิบมือเดียวที่จบนอกและเห่อฝรั่ง ไปถอดเอายอดชฎา ปชต.ฝรั่งมาสวมให้ละครการเมืองไทย แล้วบอกเราว่า เอ้า..สูเจ้าเป็น ปชต.แล้วนะ จากนี้ไปขอให้จงเจริญเหมือนฝรั่ง
ผมขอเสนอว่า เมืองไทยใหม่เอี่ยม ที่ง่ายที่สุดต้องเริ่มที่การเมืองใหม่เอี่ยม ที่ปรับ ปชต.ฝรั่งให้เข้ากันได้กับลักษณะนิสัยของสังคมไทย พึงระลึกด้วยว่า ปชต.นั้นมีทั้งแบบทางตรง (เลือกตั้ง) และแบบทางอ้อม ซึ่งแบบหลังนี้ฝรั่งไม่รู้จักแต่สังคมไทยเราใช้กันมาช้านานแล้วด้วยซ้ำไป แม้ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์แต่สมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์
ผมได้เขียนบทความนำเสนอระบบ ปชต.ที่สอดคล้องกับสังคมไทยไว้มากหลาย แต่ได้รับคำด่ามากกว่าคำชมสิบเท่า เช่น หาว่าล้าสมัย (ไม่เหมือนฝรั่ง) สวนกระแส (กระแสฝรั่ง) ไม่เป็นประชาธิปไตย (ทั้งที่เป็น ปชต.มากกว่าปชต.ฝรั่งเสียอีก)
ความหวังของเมืองไทยใหม่เอี่ยมเรามีศูนย์รวมอยู่ที่ “คนไทยในแถวหน้าๆ” ที่ต้องคิดกันให้ออกสักทีว่า การลอกระบบ ปชต.ฝรั่งเขามาใช้ทั้งดุ้นแบบที่ผ่านมานั้น มันคือระบบที่กำลังทำลายชาติไทยอย่างรุนแรงที่สุด เพราะมันนำมาซึ่งการซื้อเสียงถอนทุน ที่ซึ่งไม่อาจกระทำได้ในระบบฝรั่ง เพราะคนฝรั่งเขามีนิสัยอิงตน (ปัจเจกชนนิยม) ซึ่งต่างจากคนไทยเราโดยสิ้นเชิงที่มีนิสัย “อิงอำนาจ”