00 เรียบร้อยโรงเรียน “แม้ว” สำหรับโผรายชื่อครม.ชุดใหม่ ที่มีทั้งโยก-สลับกันไปรวม 16 ตำแหน่ง ส่วนใครเป็นใครก็รับรู้กันดี เพราะมีการเปิดเผยรายชื่อให้เห็นครบถ้วนกันไปแล้ว อย่างไรก็ดี นาทีนี้จะแยกมาพิจารณาเฉพาะรายย่อย ระดับลิ่วล้อที่ตกรางวัลว่ามันมี “ระดับชั้นความไว้ใจ” อยู่เหมือนกัน เพราะเมื่อวัดระดับเปรียบเทียบกัน ทำไมคนๆนี้ ถึงไม่ได้เป็นรัฐมนตรี หรือบางคนก็ตั้งหน้าตั้งตารับใช้แทบตาย โชว์ออฟแทบตาย ทำไมถึงไม่ให้เลื่อนชั้น มันเป็นเพราะอะไร
00 ว่ากันเฉพาะ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่ยังนั่งเก้าอี้รองนายกฯ และการปรับครม.เที่ยวนี้ ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงหรือขยับไปไหน แต่สำหรับคนอย่างเขาถือว่า “แก่พรรษา” การเมือง คงไม่อยาก “ขาลอย” แบบนี้แน่นอน และที่ผ่านมาแม้ไม่เคยพูดออกมาจากปาก แต่ก็พอรับรู้ในใจว่า อยากได้งานที่ถนัด เช่น มท.1 รมว.ยุติธรรม หรือว่าการกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง มีอำนาจสั่งการบริหารได้โดยตรง ถามว่าปัจจุบันก็ได้เป็นประธาน ก.ตร.ดูแลสำนักงานตำรวจ ก็ถือว่าใหญ่โตแล้วนะ แต่ปัญหาก็คือ มันไม่มีอำนาจโดยตรง ไม่สนุก ว่างั้นเถอะ แล้วทำไมถึงไม่ได้เลื่อนชั้นล่ะ ทั้งที่ดูจากอาการแล้วตั้งใจทำงานให้เข้าตา “นาย” ผลักดันจนสำเร็จบ้าง ล้มเหลวบ้าง แต่อย่างน้อยก็เป็นข่าวได้ทุกวัน ดังนั้นเมื่อไม่ได้รางวัล นั่นก็หมายความว่า “เจ้าของยังไม่วางใจ” อีกทั้งเมื่อไปเทียบกับคนที่นั่งเก้าอี้อยู่เดิมอย่าง ยงยุทธ วิชัยดิษฐ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก แม้จะห่วยแตกอย่างไร มันก็โยกคลอนไม่ได้หรอก เพราะความซื่อสัตย์มันต่างกัน
00 ขณะเดียวกัน รายของ จตุพร พรหมพันธุ์ ที่ชวดเก้าอี้ รมต. ทั้งที่เมื่อเทียบพรรษาการเมืองกับ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ก็ถือว่าเหนือกว่า เป็น ส.ส.มาก่อน เข้าสู่วงการมาก่อน ถ้าจะอ้างว่าติดคดีก่อการร้าย คดีล้มเจ้า เป็นสายล่อฟ้า เป็นหัวโจกเสื้อแดง มันก็อ้างได้ แล้วที ณัฐวุฒิ ล่ะ ต่างกันตรงไหน ดังนั้นถ้าจะให้คิดก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องของ “ระดับชั้นความวางใจ” ต่างกันอีกนั่นแหละ เพราะที่ผ่านมาหากให้สังเกตก็จะพบว่าในระดับ “หัวโจก” เสื้อแดง ระหว่างคนสองคนดังกล่าว ก็ต้องถือว่า ณัฐวุฒิ เข้าถึง “วงใน” กว่า และบุคลิกภาพแบบอ่อนน้อมก็ต่างกัน และเมื่อถึงเวลาสรุปที่จะต้อง “จิ้ม” เลือกใครมาสักคนเพื่อหวังผลทางด้านมวลชนในวันหน้า มันก็ต้องเลือก ณัฐวุฒิ วันยังค่ำ
00 อีกคนที่น่าจะแฮปปี้ที่สุดในเวลานี้น่าจะรวมเอา “อ้ายปึ้ง” สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ที่ยังได้ต่อวีซ่านั่งเก้าอี้ รมว.ต่างประเทศ อีกช่วงหนึ่ง แต่อย่างน้อยก็ “จับทาง” ได้แล้วว่า “ถ้ารับใช้แบบถวายหัว” ไม่ต้องสนใจความถูกผิด ขอให้ “ถูกใจแม้ว” เป็นใช้ได้ เพราะถ้าถามถึงผลงานในรอบกว่า 4 เดือนที่อยู่ในเก้าอี้ ไม่เห็นมีสักเรื่องเดียวที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประเทศจนน่าจดจำ ยกเว้นแต่เรื่องผลประโยชน์ ทักษิณ ชินวัตร เป็น “งานส่วนตัว” ล้วนๆ
00 นับจากนี้ไปเมื่อคนพร้อม เงินพร้อม ได้ตกรางวัลกันถ้วนหน้า ก็ถึงเวลาเดินหน้าทำงานกันจริงจังเสียที และงานใหญ่ที่รออยู่ข้างหน้า หากไม่นับเรื่อง “ธุรกิจพลังงาน” แล้วก็มีเรื่องเดินหน้าแก้ไข รธน. เพื่อลบล้างความผิดให้ “เจ้าของ” ตอบแทนกันได้แล้ว และเมื่อหยั่งกระแสดูแล้ว กระแสสังคม “ไม่มีน้ำยา” ก็อาจใช้สูตรของ “นิติบริกรคนใหม่” อุกฤษ มงคลนาวิน เสนอตั้งพวก “กูรู้” ขึ้นมาสัก 30-40 คน มายกร่างใหม่แล้วก็มัดมือชกให้ชาวบ้านโหวตรับ ก็เรียบร้อยเร็วรอเสริฟแบบ “จานด่วน” มีอะไรมั๊ย คนไทย !!
00 ว่ากันเฉพาะ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่ยังนั่งเก้าอี้รองนายกฯ และการปรับครม.เที่ยวนี้ ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงหรือขยับไปไหน แต่สำหรับคนอย่างเขาถือว่า “แก่พรรษา” การเมือง คงไม่อยาก “ขาลอย” แบบนี้แน่นอน และที่ผ่านมาแม้ไม่เคยพูดออกมาจากปาก แต่ก็พอรับรู้ในใจว่า อยากได้งานที่ถนัด เช่น มท.1 รมว.ยุติธรรม หรือว่าการกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง มีอำนาจสั่งการบริหารได้โดยตรง ถามว่าปัจจุบันก็ได้เป็นประธาน ก.ตร.ดูแลสำนักงานตำรวจ ก็ถือว่าใหญ่โตแล้วนะ แต่ปัญหาก็คือ มันไม่มีอำนาจโดยตรง ไม่สนุก ว่างั้นเถอะ แล้วทำไมถึงไม่ได้เลื่อนชั้นล่ะ ทั้งที่ดูจากอาการแล้วตั้งใจทำงานให้เข้าตา “นาย” ผลักดันจนสำเร็จบ้าง ล้มเหลวบ้าง แต่อย่างน้อยก็เป็นข่าวได้ทุกวัน ดังนั้นเมื่อไม่ได้รางวัล นั่นก็หมายความว่า “เจ้าของยังไม่วางใจ” อีกทั้งเมื่อไปเทียบกับคนที่นั่งเก้าอี้อยู่เดิมอย่าง ยงยุทธ วิชัยดิษฐ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก แม้จะห่วยแตกอย่างไร มันก็โยกคลอนไม่ได้หรอก เพราะความซื่อสัตย์มันต่างกัน
00 ขณะเดียวกัน รายของ จตุพร พรหมพันธุ์ ที่ชวดเก้าอี้ รมต. ทั้งที่เมื่อเทียบพรรษาการเมืองกับ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ก็ถือว่าเหนือกว่า เป็น ส.ส.มาก่อน เข้าสู่วงการมาก่อน ถ้าจะอ้างว่าติดคดีก่อการร้าย คดีล้มเจ้า เป็นสายล่อฟ้า เป็นหัวโจกเสื้อแดง มันก็อ้างได้ แล้วที ณัฐวุฒิ ล่ะ ต่างกันตรงไหน ดังนั้นถ้าจะให้คิดก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องของ “ระดับชั้นความวางใจ” ต่างกันอีกนั่นแหละ เพราะที่ผ่านมาหากให้สังเกตก็จะพบว่าในระดับ “หัวโจก” เสื้อแดง ระหว่างคนสองคนดังกล่าว ก็ต้องถือว่า ณัฐวุฒิ เข้าถึง “วงใน” กว่า และบุคลิกภาพแบบอ่อนน้อมก็ต่างกัน และเมื่อถึงเวลาสรุปที่จะต้อง “จิ้ม” เลือกใครมาสักคนเพื่อหวังผลทางด้านมวลชนในวันหน้า มันก็ต้องเลือก ณัฐวุฒิ วันยังค่ำ
00 อีกคนที่น่าจะแฮปปี้ที่สุดในเวลานี้น่าจะรวมเอา “อ้ายปึ้ง” สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ที่ยังได้ต่อวีซ่านั่งเก้าอี้ รมว.ต่างประเทศ อีกช่วงหนึ่ง แต่อย่างน้อยก็ “จับทาง” ได้แล้วว่า “ถ้ารับใช้แบบถวายหัว” ไม่ต้องสนใจความถูกผิด ขอให้ “ถูกใจแม้ว” เป็นใช้ได้ เพราะถ้าถามถึงผลงานในรอบกว่า 4 เดือนที่อยู่ในเก้าอี้ ไม่เห็นมีสักเรื่องเดียวที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประเทศจนน่าจดจำ ยกเว้นแต่เรื่องผลประโยชน์ ทักษิณ ชินวัตร เป็น “งานส่วนตัว” ล้วนๆ
00 นับจากนี้ไปเมื่อคนพร้อม เงินพร้อม ได้ตกรางวัลกันถ้วนหน้า ก็ถึงเวลาเดินหน้าทำงานกันจริงจังเสียที และงานใหญ่ที่รออยู่ข้างหน้า หากไม่นับเรื่อง “ธุรกิจพลังงาน” แล้วก็มีเรื่องเดินหน้าแก้ไข รธน. เพื่อลบล้างความผิดให้ “เจ้าของ” ตอบแทนกันได้แล้ว และเมื่อหยั่งกระแสดูแล้ว กระแสสังคม “ไม่มีน้ำยา” ก็อาจใช้สูตรของ “นิติบริกรคนใหม่” อุกฤษ มงคลนาวิน เสนอตั้งพวก “กูรู้” ขึ้นมาสัก 30-40 คน มายกร่างใหม่แล้วก็มัดมือชกให้ชาวบ้านโหวตรับ ก็เรียบร้อยเร็วรอเสริฟแบบ “จานด่วน” มีอะไรมั๊ย คนไทย !!